(เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)
Thailand's Thaksin prepares for war
By John Cole and Steve Sciacchitano
ในขณะที่นายกรัฐมนตรีไทย
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
พยายามที่จะแสวงหาอำนาจควบคุมเหนือการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารระดับอาวุโส
ตลอดจนพยายามลบล้างลดทอนความสามารถของกองทัพที่จะกระทำการรัฐประหารยึดอำนาจ
อีกครั้งภายหลังที่ได้โค่นล้มพี่ชายของเธอลงไปในปี 2006 อยู่นั้น
พวกที่จงรักภักดีต่ออดีตนายกรัฐมนตรีผู้หลบหนีโทษจำคุกอยู่ในต่างแดนผู้นั้น
ยังกำลังวางแผนการที่จะรื้อฟื้นกองบัญชาการลับของ “พวกเสื้อแดง” ในปี 2010
ขึ้นมาใหม่ แผนการจัดตั้ง “วอร์รูม” อีกคำรบหนึ่งดังกล่าว
เป็นสัญญาบ่งบอกให้ทราบว่า ฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้น
มองอย่างจริงจังขนาดไหน
ในเรื่องความเป็นไปได้ที่จะเกิดสถานการณ์ความขัดแย้งแบบเปิดเผยขึ้นใหม่อีก
ยกหนึ่ง
มีรายงานระบุว่า พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต
ผู้ได้รับแต่งตั้งให้เข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของไทยคน
ใหม่ อาจจะกำลังวางแผนการอย่างเงียบๆ เพื่อเปิดใช้งาน “วอร์รูม”
ซึ่งหมายถึง ศูนย์บัญชาการลับๆ อย่างไม่เป็นทางการ แห่งใหม่แห่งหนึ่งขึ้นมา
วอร์รูมนี้จะทำหน้าที่สั่งการกำหนดทิศทางให้แก่การชุมนุมเดินขบวนของมวลชนคน
เสื้อแดงนิยมรัฐบาลชุดปัจจุบัน
ซึ่งได้รับการวางแผนเอาไว้ว่าจะมีขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนต่อจากนี้
ทั้งนี้เป็นการเปิดเผยของแหล่งข่าวหลายๆ
รายซึ่งเป็นทหารไทยระดับอาวุโสที่คุ้นเคยกับสถานการณ์
วอร์รูมดังกล่าวนี้ ซึ่งก่อตั้งขึ้นตามคำชี้แนะคำบัญชาของ
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
อดีตนายกรัฐมนตรีผู้กำลังหลบหนีโทษจับคุกอยู่ในต่างประเทศ
จะเริ่มการปฏิบัติการได้ภายในเดือนมิถุนายนนี้ แหล่งข่าวหลายรายเจ้าเดิมๆ
ระบุ นอกจากนั้น แหล่งข่าวทหารอาวุโสเหล่านี้กล่าวด้วยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ
ที่ปัจจุบันเนรเทศตนเองไปพำนักอาศัยอยู่ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์นั้น
ได้ออกคำสั่งให้ปกปิดอย่าให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันผู้เป็นน้องสาวของเขา
ทราบเรื่องเกี่ยวกับการก่อตั้งวอร์รูมนี้
เพื่อที่ว่าถ้าหากถูกสื่อมวลชนซักถาม เธอจะได้ให้คำตอบด้วยความซื่อสัตย์
และปฏิเสธเด็ดขาดว่าไม่มีเรื่องนี้
การชุมนุมเดินขบวนของพวกเสื้อแดงตามที่กำหนดออกมานี้
ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่ามันจะเป็นแผนการในลักษณะลงมือจู่โจมก่อนเพื่อเข้าควบ
คุมท้องถนนของกรุงเทพฯเอาไว้ ตั้งแต่ก่อนที่อาจจะเกิดวิกฤตครั้งใหม่ขึ้นมา
หรือว่าจะเป็นกลอุบายในลักษณะของยุทธศาสตร์ตั้งรับเพื่อตอบโต้ความเคลื่อน
ไหวใดๆ ของฝ่ายทหารหรือของกลุ่มประท้วงต่อต้านรัฐบาลกลุ่มต่างๆ
แต่การก่อตั้งวอร์รูมแห่งใหม่ขึ้นมาเช่นนี้ ย่อมเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า
ฝ่ายทักษิณมองสถานการณ์อย่างจริงจังเคร่งเครียดถึงขนาดไหน
ในเรื่องความเป็นไปได้ที่จะเกิดการขัดแย้งกันอย่างเปิดเผยยกใหม่ขึ้นมา
แท้ที่จริงแล้ว ในเวลานี้ก็มีประเด็นอยู่ 2 ประเด็นแล้ว
ที่สามารถเป็นตัวเติมเชื้อโหมไฟให้เกิดความไร้เสถียรภาพระลอกใหม่
ประเด็นแรกคือการที่พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นแกนนำของคณะรัฐบาลชุดปัจจุบัน
ได้เริ่มต้นเดินเครื่องกระบวนการที่จะทำให้รัฐสภาอนุมัติรับรองการแก้ไขรัฐ
ธรรมนูญ
อันเป็นความเคลื่อนไหวซึ่งพวกวิพากษ์วิจารณ์ทักษิณมองเห็นกันอย่างกว้างขวาง
ว่า
จุดมุ่งหมายสำคัญที่สุดอยู่ตรงที่ต้องการทำให้คำพิพากษาของศาลที่ตัดสินว่า
พ.ต.ท.ทักษิณ กระทำความผิดจริงในข้อหาอันเกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชั่น
และให้ลงโทษเขาด้วยการจำคุก 2 ปีนั้น กลายเป็นโมฆะ
เพื่อที่เขาจะสามารถกลับคืนมาประเทศไทยได้ในฐานะเสรีชน
ส่วนอีกประเด็นหนึ่ง
คือแผนการริเริ่มที่จะทำให้ฝ่ายพลเรือนมีอำนาจมากขึ้นในการควบคุมสั่งการ
เรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารระดับอาวุโส
เรื่องนี้มีความเป็นไปได้ที่จะจุดชนวนให้ฝ่ายทหารเปิดการตอบโต้โดยตรง
มากกว่าเรื่องแรกเสียด้วยซ้ำ ในปัจจุบัน กฎหมายของไทยในทางปฏิบัติแล้ว
ให้อำนาจการตัดสินใจในเรื่องดังกล่าวเหล่านี้แก่ผู้บัญชาการของ 3 เหล่าทัพ
นั่นคือ ผู้บัญชาการทหารบก, ผู้บัญชาการทหารเรือ, และผู้บัญชาการทหารอากาศ
อย่างไรก็ตาม รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์
กำลังพยายามผลักดันเพื่อให้มีการแก้ไขกฎหมาย
ซึ่งจะให้อำนาจเพิ่มมากขึ้นแก่รัฐมนตรีกลาโหม ที่ทางรัฐบาลเป็นผู้แต่งตั้ง
ในการตัดสินใจเรื่องดังกล่าว
ถ้าหากมีการแก้ไขกฎหมายได้สำเร็จ
ฝ่ายทักษิณก็จะอยู่ในฐานะที่เข้มแข็งขึ้นมากในการเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งพวก
ที่จงรักภักดีต่อเขาให้ขึ้นสู่ตำแหน่งบังคับบัญชาทหารที่ทรงความสำคัญ
และโยกย้ายผู้ที่กล่าวโทษว่าร้ายเขาออกไป
โดยที่นายทหารสำคัญที่สุดซึ่งถูกระบุว่าอยู่ในข่ายนี้ ได้แก่ พล.อ.ประยุทธ์
จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกคนปัจจุบัน
ซึ่งเป็นที่ทราบกันอยู่ทั่วไปว่าเป็นผู้ที่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหา
กษัตริย์
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อที่จะลบล้างลดทอนความสามารถของ
กองทัพในการกระทำการรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งชุด
ปัจจุบัน ซึ่งมีน้องสาวของเขาเองเป็นนายกรัฐมนตรี
สถานการณ์ในปัจจุบันมีความหนักหน่วงร้ายแรงขนาดไหน
อาจจะเปรียบเทียบได้จากสิ่งที่เกิดขึ้นในปี 2006
ซึ่งการต่อสู้ช่วงชิงกันในเรื่องการแต่งตั้งโยกย้านนายทหารชั้นผู้ใหญ่ทำนอง
เดียวกันนี้ กลายเป็นสาเหตุใกล้เคียง (proximate cause)
ของการก่อรัฐประหารของฝ่ายทหารซึ่งโค่นล้มคณะรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของ
พ.ต.ท.ทักษิณ
ทั้งนี้ก่อนหน้าที่จะมีการประกาศแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารชั้นผู้ใหญ่ประจำปี
ในเดือนตุลาคม 2005 พ.ต.ท.ทักษิณได้พยายามที่จะให้ผู้ที่จงรักภักดีต่อเขา
ได้อยู่ในตำแหน่งสำคัญๆ ซึ่งจะทำให้ในปีถัดไป
นายทหารเหล่านี้ก็จะอยู่ในลำดับที่สมควรจะได้รับการพิจารณาแต่งตั้งให้ครอง
ตำแหน่งระดับสูงสุด เป็นต้นว่า ผู้บัญชาการทหารของ 3 เหล่าทัพ
มีรายงานว่า เมื่อ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี
ซึ่งเป็นทั้งอดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตผู้บัญชาการทหารบก
ได้ทราบเรื่องการเข้าไปแทรกแซงของ พ.ต.ท.ทักษิณ
ก็ได้มีการโต้แย้งบัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายดังกล่าว
และไม่มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งจนกระทั่งได้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขแล้ว
การต่อสู้ช่วงชิงอำนาจเบื้องหลังฉากในที่สุดแล้วก็ได้ต่อเนื่องติดตามมาด้วย
การก่อรัฐประหารยึดอำนาจในปี 2006 ทั้งนี้ในระหว่างการต่อสู้กันในตอนต้นๆ
นี้เอง ที่ทำให้พวกนายทหารระดับท็อปเริ่มตระหนักรับรู้ความเป็นจริงที่ว่า
พ.ต.ท.ทักษิณนั้นมีจุดอ่อน และสามารถที่จะโค่นล้มให้ตกลงจากอำนาจได้
**ศูนย์บัญชาการลับ**
ในช่วงเวลาแห่งฤดูใบไม้ผลิของปี 2006
ก่อนหน้าที่จะเกิดการรัฐประหารยึดอำนาจในเดือนกันยายนของปีนั้น มีรายงานว่า
พ.ต.ท.ทักษิณได้ออกคำสั่งให้ก่อตั้งศูนย์ปฏิบัติการลับแห่งหนึ่งขึ้นมา
อันเป็นความเคลื่อนไหวที่ในหมู่นายทหารใหญ่ของกองทัพยังไม่เป็นที่รับรู้กัน
อย่างกว้างขวางอะไรในตอนนั้น (อย่างไรก็ตาม วอร์รูมที่ พ.ต.ท.ทักษิณ
ให้ก่อตั้งขึ้นเพื่อกำกับสั่งการการประท้วงของพวกเสื้อแดงในปี 2010
ซึ่งได้บานปลายกลายเป็นความรุนแรงนั้น
เป็นที่ทราบกันของพวกนายทหารอาวุโสอย่างกว้างขวางมากกว่า)
ตอนต้นปี 2006
เกิดข่าวลือแพร่สะพัดว่าฝ่ายทหารกำลังจะทำรัฐประหารยึดอำนาจในเร็ววัน
มีรายงานว่า นายทหารระดับนายพล
ที่เป็นเพื่อนนักเรียนซึ่งเรียนจบจากโรงเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 10 (ตท.10)
อันเป็นรุ่นเดียวกันกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เสนออย่างลับๆ
ให้ดำเนินการตอบโต้ด้วยการก่อตั้งศูนย์ปฏิบัติการแบบนอกตำรา
เพื่อติดตามตรวจสอบหน่วยกำลังของกลุ่มที่มีข่าวจะก่อรัฐประหาร
ตลอดจนบรรดาผู้เข้าร่วมคนสำคัญๆ ในที่สุดแล้วดูเหมือนว่า
พ.ต.ท.ทักษิณจะตัดสินใจว่า
ศูนย์ปิดลับดังกล่าวควรที่จะจัดตั้งขึ้นในกองบัญชาการกองพลทหารปืนใหญ่
ต่อสู้อากาศยาน ของกองทัพบก ซึ่งตั้งอยู่ในเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร
ทั้งนี้ตามคำบอกเล่าของแหล่งข่าวทางทหารหลายราย
ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทำรัฐประหารที่นำโดย ตท.10 ดังกล่าวนี้
ได้รับมอบหมายภารกิจให้ติดตามตรวจสอบความเคลื่อนไหวและสถานที่ตั้งต่างๆ
ของบรรดากองกำลังที่อาจจะก่อการรัฐประหารได้ทั้งหมด
โดยที่ในเวลานั้นคิดกันว่าน่าจะมีศูนย์กลางอยู่ที่
หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ของกองทัพบก ในจังหวัดลพบุรี
ที่อยู่ห่างจากกรุงเทพฯไปทางเหนือประมาณ 160 กิโลเมตร
ถึงแม้การปฏิบัติหน้าที่ของศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทำรัฐประหารนี้
ไม่เคยเปิดเผยต่อสื่อมวลชนเลย
แต่มีรายงานว่าศูนย์แห่งนี้ประสบความสำคัญเป็นอย่างมากในการติดตามตรวจสอบ
พวกวางแผนก่อรัฐประหาร และก็มีส่วนรับผิดชอบอย่างมากที่ทำให้ พล.อ.สนธิ
บุญรัตกลิน
ซึ่งกลายเป็นผู้นำการก่อรัฐประหารในที่สุดและเวลานั้นดำรงตำแหน่งผู้
บัญชาการทหารบก ต้องสั่งยกเลิกแผนการต่างๆ
ที่วางไว้สำหรับการทำรัฐประหารครั้งดั้งเดิม
ซึ่งกำหนดเอาไว้ว่าจะลงมือในช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่จะมีการเปิดคูหา
หน่วยลงคะแนน เพื่อทำการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วประเทศ ในวันที่ 1
พฤษภาคม 2006 (หมายเหตุผู้แปล - แปลตามต้นฉบับ ในความเป็นจริงแล้ว
การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคราวนั้น จัดขึ้นในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ.
2549 หรือ ค.ศ.2006)
รายงานระบุว่า ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ
ไม่เคยแถลงต่อสาธารณชนว่าเขาได้ค้นพบแผนทำรัฐประหารยึดอำนาจ แต่
พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ทำให้ พล.อ.สนธิ ทราบว่าเขารู้พฤติการณ์ต่างๆ
ของพวกก่อการแล้ว
และจะจับกุมสมาชิกของกลุ่มรัฐประหารถ้าหากกลุ่มนี้ยังไม่ยอมยุติและเดินหน้า
ต่อไป อย่างไรก็ดี ภายหลังที่การเลือกตั้งเดือนพฤษภาคม 2006 นี้
ได้ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้เป็นโมฆะ
พล.อ.สนธิก็ได้หวนกลับมาวางแผนทำรัฐประหารอีกครั้งอย่างเงียบๆ
โดยที่คราวนี้ได้รวบรวมกำลังทหารเข้ามาร่วมมือด้วยมากขึ้นกว่าครั้งก่อน
เพื่อเป็นการเพิ่มเติมจากหน่วยทหารสงครามพิเศษ
ซึ่งเขาได้ไปชักชวนเอาไว้ในตอนแรก
การรัฐประหารยึดอำนาจที่วางแผนกันเป็นครั้งที่ 2 นี้
ได้เปิดฉากปฏิบัติการเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2006
และก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี โดยเหตุผลข้อหลักเป็นเพราะ 1
ในหมู่พันธมิตรกลุ่ม ตท.10 ของ พ.ต.ท.ทักษิณ เอง นั่นคือ พล.ท.อนุพงษ์
เผ่าจินดา
ซึ่งในเวลานั้นเป็นนายทหารผู้บังคับบัญชาที่รับผิดชอบกองทัพภาคที่ 1
อันมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด
เพราะทำหน้าที่ดูแลรับผิดชอบความมั่นคงปลอดภัยของกรุงเทพมหานคร ปรากฏว่า
พล.ท.อนุพงษ์ (ยศขณะนั้น) ได้ตีจากเพื่อนร่วมรุ่นของเขา และหันมาเป็น 1
ในคณะผู้นำกลุ่มก่อการรัฐประหาร ในเวลาต่อมาพวกผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ
ได้พยายามกล่าวหา พล.อ.เปรม ว่า
เป็นผู้บงการประสานงานการทำรัฐประหารยึดอำนาจคราวนั้นอยู่หลังฉาก
ทว่ารัฐบุรุษผู้อาวุโสผู้นี้ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านี้อย่างสิ้นเชิง
ในระหว่างการชุมนุมประท้วงของพวกเสื้อแดงในปี 2010
พวกผู้ชุมนุมเดินขบวนเหล่านี้ส่วนใหญ่เดินทางมาจากพื้นที่ภาคเหนือและภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ
อันเป็นที่มั่นทางภูมิศาสตร์ที่แข็งแกร่งของฝ่ายนิยมทักษิณ
พวกเขาได้ใช้เวลาอยู่หลายวันทีเดียวในพื้นที่แห่งหนึ่งทางแถบตอนกลางๆ
ของกรุงเทพฯ พื้นที่ดังกล่าวนี้ ตั้งอยู่ทางด้านเหนือของเมืองหลวง
และอยู่ทางฟากตะวันตกของถนนวิภาวดีรังสิต
ตลอดจนทางรถไฟสายหลักที่แล่นไปสู่ภาคเหนือ
ในเวลาต่อมาที่ตรงนี้ก็ได้กลายเป็นศูนย์ส่งกำลังบำรุงแห่งหลักสำหรับขบวนการ
คนเสื้อแดง
ศูนย์ส่งกำลังบำรุงแห่งนี้ ยังอยู่ติดๆ กับวัดดอนเมือง
วัดทางพุทธศาสนาขนาดใหญ่ ซึ่งตลอดหลายๆ
ปีที่ผ่านมาได้ทำหน้าที่เป็นผู้ตอบสนองความต้องการต่างๆ ในทางจิตใจ
ให้แก่ผู้คนที่อพยพมาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
พวกเขาเหล่านี้จำนวนมากมายอพยพโยกย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองหลวงในช่วงที่
เศรษฐกิจเฟื่องฟูเมื่อตอนทศวรรษ 1980 และทศวรรษ 1990 ด้วยเหตุนี้เอง
จึงเป็นเรื่องสมเหตุสมผลในทางการส่งกำลังบำรุง
ถ้าหากวอร์รูมดังที่กล่าวมาข้างต้น ก็ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกันนี้
ในเมื่อมันเป็นพื้นที่ซึ่งพวกคนเสื้อแดงที่มาชุมนุมประท้วง
จะมีฐานสนับสนุนที่เป็นมิตรและคุ้นเคย
ชาวบ้านแถบนั้นจำนวนมากต่างก็เป็นพวกที่เห็นอกเห็นใจพวกเขา
ตลอดจนการติดต่อเชื่อมโยงด้านการคมนาคมขนส่งกับจังหวัดบ้านเกิดของบรรดาผู้
ประท้วงก็พรักพร้อมมาก ทั้งนี้รวมถึงท่าอากาศยานดอนเมือง
ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากบริเวณนี้ด้วย
ถึงแม้ไม่เคยมีการเปิดเผยกันเลยว่า
สถานที่ตั้งวอร์รูมฝ่ายเสื้อแดงในปี 2010 นั้นอยู่ตรงจุดไหนแน่ๆ
แต่พวกเจ้าหน้าที่ซึ่งคุ้นเคยกับสถานการณ์บอกว่า
โรงแรมแห่งหนึ่งในพื้นที่เขตดอนเมือง
ซึ่งเป็นโรงแรมที่ประสบความยากลำบากทางการเงิน
ภายหลังที่มีการเปิดใช้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
เป็นท่าอากาศยานนานาชาติแห่งใหม่ของประเทศแทนที่ดอนเมืองแล้ว
คือจุดหนึ่งที่ถูกใช้เป็นฐานในคราวนั้น
เนื่องจากมีความเหมาะสมในด้านการรักษาความปลอดภัย
แล้วสภาพของโรงแรมซึ่งแทบจะว่างเปล่าทั้งหมดยังสามารถใช้การได้ดีสำหรับการ
ปฏิบัติการดังกล่าว โดยที่มีทั้งห้องพักว่างๆ
ให้พวกเจ้าหน้าที่ได้ใช้นอนหลับพักผ่อน, มีอาหารร้อนๆ บริการ,
ตลอดจนการสื่อสารคมนาคมก็สะดวกง่ายดาย ถึงแม้ในทางปฏิบัติแล้ว
คำสั่งคำชี้แนะของทางวอร์รูม ไปถึงบรรดามือปฏิบัติการของกลุ่มคนเสื้อแดง
โดยวิธีจัดให้คนไปส่งตรงถึงมือ
ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่ายรัฐบาลที่มีสมรรถนะในการดักฟังอุปกรณ์
อิเล็กทรอนิกส์ สามารถตรวจจับได้
ทั้งนี้ตามคำบอกเล่าของพวกแหล่งข่าวที่เป็นทหารซึ่งคุ้นเคยกับสถานการณ์
**โครงสร้างพื้นฐานที่พรักพร้อมอยู่แล้ว**
เมื่อพิจารณาจากเรื่องโครงสร้างพื้นฐานของพวกเสื้อแดงที่มีพรักพร้อม
อยู่แล้วเช่นนี้ พวกเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารจึงเชื่อว่า
วอร์รูมแห่งใหม่ตามการบงการของทักษิณและมีกระทรวงกลาโหมเป็นผู้นำนั้น
น่าจะเป็นสถานที่ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณใกล้ๆ วัดดอนเมืองเหมือนเดิม
พวกเขาชี้ว่า
ยิ่งเมื่อคำนึงถึงข้อเท็จจริงที่ว่าอาคารสิ่งปลูกสร้างแห่งใหม่ๆ
ของกระทรวงกลาโหม ก็ตั้งอยู่ทางด้านเหนือของกรุงเทพฯด้วยแล้ว
ทำให้ความเป็นไปได้ในเรื่องนี้ยิ่งเพิ่มสูงขึ้นอีก
ในปัจจุบันถึงแม้ห้องทำงานของตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ยังคงตั้งอยู่ในเขตตัวเมืองเก่าของกรุงเทพฯ ใกล้ๆ
กับพระบรมมหาราชวังและสนามหลวง แต่ตลอดระยะเวลา 14 ปีที่ผ่านมา
(เริ่มตั้งแต่ปี 1997) หน่วยงานต่างๆ ที่อยู่ใต้การบังคับบัญชาของกระทรวง
ส่วนใหญ่แล้วได้โยกย้ายไปตั้งอยู่ที่เมืองทองธานี ในอาคารสำนักงานสูง 14
ชั้นขนาดใหญ่หลังหนึ่ง
อาคารแห่งนี้ ซึ่งอยู่ห่างจากท่าอากาศยานดอนเมืองไปทางเหนือประมาณ
15 กิโลเมตร
และประชิดกับทางหลวงแผ่นดินสายที่มุ่งไปสู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
แรกเริ่มเดิมทีเป็นส่วนหนึ่งในโครงการพัฒนาที่ดินซึ่งประสบภาวะล้มละลายใน
ช่วงวิกฤตการเงินเอเชียปี 1997-98
แล้วต่อมากระทรวงกลาโหมก็ได้ไปซื้ออาคารหลังนี้ไว้
ในปี 2009 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในเวลานั้น ได้ริเริ่มโครงการสร้างอาคารสูง 20
ชั้นขนาดใหญ่โต 2 หลังขึ้นมา
เพื่อใช้เป็นที่พำนักอาศัยของบรรดานายทหารและนายทหารชั้นประทวนที่ได้รับคำ
สั่งให้มาปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่นั่น ตลอดจนครอบครัวของพวกเขา
ขณะที่ทั้งสถานที่ตั้งของกระทรวงทั้งที่ใกล้ๆ สนามหลวง
และที่อยู่ในเมืองทองธานีเวลานี้
ต่างยังคงมีฐานะเป็นพื้นที่สำนักงานกันทั้ง 2 แห่ง
แต่ตามแผนการที่กำหนดขึ้นในปี 2009 ดังกล่าวระบุว่า
ที่พักอาศัยที่ได้รับความอนุเคราะห์จากรัฐบาลสำหรับข้าราชการของกระทรวงนั้น
ส่วนใหญ่ที่สุดจะต้องไปรวมกันอยู่ในพื้นที่เมืองทองธานี
ด้วยเหตุนี้เอง จึงพอที่จะนึกภาพได้ว่า อาคารใหม่หลังหนึ่งใน 2
หลังเหล่านี้
ก็น่าจะยังมีพื้นที่เหลือใช้เพียงพอแก่การนำเอามาทำเป็นสถานที่ปฏิบัติการ
ลับอีกแห่งหนึ่งสำหรับวอร์รูมใหม่ของฝ่ายทักษิณ
มีรายงานว่าศูนย์บังคับบัญชาลับแห่งนี้
จะมีเจ้าหน้าที่ทำงานผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเป็น 4 ทีม แต่ละทีมมีกำลัง 30
คน และประกอบด้วยผู้นำทีมที่อยู่ในระดับอาวุโสคนหนึ่ง, รองหัวหน้าทีม,
และเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการระดับอาวุโส,
ทั้งนี้ตามปากคำของพวกนายทหารที่คุ้นเคยกับคำสั่งในเรื่องนี้
การที่มีทีมงานผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกัน 4 ทีมเช่นนี้
ก็เพื่อให้วอร์รูมสามารถปฏิบัติงานได้วันละ 24 ชั่วโมง และสัปดาห์ละ 7 วัน
นั่นเป็นคำบอกเล่าของพวกแหล่งข่าวทางทหารที่คุ้นเคยกับแผนการนี้เช่นกัน
บรรดาแหล่งข่าวทหารอาวุโสเดียวกันนี้กล่าวว่า
ได้มีการทาบทามดึงตัวผู้ที่สามารถจะเป็นหัวหน้าทีมระดับอาวุโสได้ให้เข้ามา
ร่วมอยู่วอร์รูมนี้แล้วรวม 3 คน ทุกคนต่างเป็นเพื่อนร่วมรุ่น ตท.10 ของ
พ.ต.ท.ทักษิณ
และต่างก็เคยปฏิบัติหน้าที่ในกองบัญชาการลับของพวกเสื้อแดงในปี 2010 มาแล้ว
นอกจากนั้น ยังจะมีทีมสนับสนุนด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอที)
ซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีจำนวนสิบกว่าคน
ทีมสนับสนุนนี้จะเป็นส่วนประกอบที่สำคัญยิ่งยวด
เมื่อพิจารณาจากเครื่องมืออุปกรณ์สื่อสารไฮเทคล่าสุดต่างๆ
ที่กำหนดไว้ว่าจะนำมาใช้งาน ตรงกันข้ามกับการประท้วงปี 2010 แผนการต่างๆ
ในปัจจุบันจะจัดให้พวกผู้นำขบวนแถวคนเสื้อแดงในแนวหน้า
มีอุปกรณ์สื่อสารแบบมือถือและเข้ารหัสใช้งานกัน
ซึ่งจะทำให้สามารถดำเนินการควบคุมแบบรวมศูนย์, ต่อเนื่อง, และทันทีทันใด
ได้ดียิ่งกว่าเมื่อปี 2010
ขณะเดียวกัน
นี่ก็อาจจะเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าวอร์รูมยุคปัจจุบันกำลังวางแผนจะควบคุมสั่ง
การการประท้วงที่มีขนาดใหญ่โตยิ่งกว่าการชุมนุมเดินขบวนของพวกเสื้อแดงในปี
2010 เสียอีก โดยที่การประท้วงในปีนั้นมักจะมีจำนวนผู้เข้าร่วมขึ้นๆ ลงๆ
ไม่แน่นอน
และได้ถูกวาดภาพเอาไว้อย่างกว้างขวางว่าเป็นขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยที่
มีชีวิตชีวาน่าประทับใจ อย่างไรก็ตาม เมื่อมองกันในมุมกลับ
เรื่องนี้อย่างน้อยที่สุดก็อาจทำให้วอร์รูมแห่งใหม่เกิดจุดอ่อนที่จะทำให้
ถูกเล่นงานโดยสมรรถนะในการดักจับสัญญาณและรบกวนสัญญาณการสื่อสารของทางกอง
ทัพ
**สันติภาพที่ง่อนแง่น**
แต่ถึงจะมีความเคลื่อนไหวและวางแผนใช้กลยุทธ์ต่างๆ เหล่านี้
มันก็ยังไม่ใช่เรื่องแน่นอนแล้วที่ประเทศไทยจะประสบกับความเจ็บปวดชอกช้ำซ้ำ
รอยความปั่นป่วนวุ่นวายและความรุนแรงที่ได้พบเห็นประจักษ์กันมาในปี 2010
ถ้าฝ่ายที่คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญประสบความล้มเหลวไม่สามารถรวบรวมผู้คน
ให้เป็นขบวนการมวลชนออกมาทำการตอบโต้ได้สำเร็จ และถ้าหากฝ่าย
พ.ต.ท.ทักษิณสามารถที่จะเดินหมากอย่างหลักแหลมแทนที่จะก่อให้เกิดการกระแทก
กระทั้นในการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารชั้นผู้ใหญ่
จนกระทั่งทหารฝ่ายที่จงรักภักดีต่อเขามีกำลังเพียงพอที่จะทำให้การลงมือ
กระทำการเล่นงานรัฐบาลน้องสาวของเขาเป็นไปด้วยความยากลำบากยิ่งขึ้นแล้ว
เขาก็อาจจะสามารถบรรลุจุดมุ่งหมายต่างๆ ของเขาได้โดยใช้วิธีการสันติ
สัญญาณบ่งชี้เกี่ยวกับเส้นทางความเป็นไปทางการเมืองในอนาคตประการ
หนึ่งที่จะปรากฏออกมาให้เห็นในเร็วๆ นี้
ได้แก่การแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารชั้นผู้ใหญ่ช่วงกลางปี
ซึ่งตามปกติจะประกาศกันในเดือนเมษายน
ทั้งนี้การแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของไทยนั้นในแต่ละปีจะทำกัน 2
ครั้ง ครั้งหนึ่งในเดือนเมษายน และอีกครั้งหนึ่งในเดือนตุลาคม
โดยที่การโยกย้ายเปลี่ยนแปลงบุคลากรสำคัญที่สุดจะเกิดขึ้นในเดือนตุลาคม
ดังนั้น ถ้าหาก พ.ต.ท.ทักษิณมีแผนการที่จะโยกย้าย พล.อ.ประยุทธ์
ดังที่มีบางคนเชื่อว่าการแต่งตั้ง
พล.อ.อ.สุกำพลเป็นเจ้ากระทรวงกลาโหมคือสิ่งบอกเหตุในเรื่องนี้
ความเคลื่อนไหวอันท้าทายยิ่งดังกล่าวก็เป็นไปได้มากที่สุดที่จะกระทำกันใน
เดือนตุลาคมไม่ใช่เดือนเมษายน
กระนั้นก็ตามที บัญชีรายชื่อการแต่งตั้งโยกย้ายในเดือนเมษายนนี้
พวกผู้จงรักภักดีต่อ
พ.ต.ท.ทักษิณในกองทัพจะได้รับตำแหน่งอันพึงปรารถนามากน้อยแค่ไหน
และพวกผู้นำกองทัพในปัจจุบันจะถูกโยกย้ายหรือไม่
ตลอดจนการต่อสู้ช่วงชิงเบื้องหลังฉากที่จะเกิดขึ้นในระหว่างการจัดทำบัญชี
รายชื่อซึ่งคาดหมายกันว่าจะเต็มไปด้วยการขับเคี่ยวชิงชัยกันอย่างเผ็ดร้อน
เหล่านี้ก็อาจจะเป็นสัญญาณบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่า
การประจันหน้ากันทางการเมืองกำลังจะบังเกิดขึ้นหรือไม่
อย่างไรก็ตาม จากการวางแผนจัดตั้งวอร์เรมแห่งใหม่ขึ้นมา
ย่อมเป็นสิ่งชี้แนะให้เห็นไปว่า ตัว
พ.ต.ท.ทักษิณเองคาดการณ์ว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเกิดความไร้เสถียรภาพครั้ง
ใหม่ และในเวลานี้กำลังฝ่ายจงรักภักดีต่อตัวเขากำลังชิงลงมือปฏิบัติการก่อน
แท้ที่จริงแล้ว เดิมพันที่กำลังต่อสู้ช่วงชิงกันอยู่
ก็มีความสำคัญอย่างลึกซึ้งยิ่ง
ต่างฝ่ายต่างก็เห็นว่าจำเป็นที่จะต้องมีอำนาจควบคุมเหนือระบบการเมืองใน
อนาคตอันใกล้นี้ รวมทั้งจะต้องมีอำนาจบังคับบัญชากองทัพด้วย
และนั่นอาจจะทำให้การประนีประนอมระหว่างฝ่ายที่ฝักใฝ่ทักษิณ
และฝ่ายที่ต่อต้านทักษิณ กลายเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เสียแล้ว
จอห์น โคล และ สตีฟ สกิอักกีตาโน
พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลาหลายปี
ขณะที่ประจำการอยู่ในกองทัพบกสหรัฐฯ
ทั้งคู่ได้รับการฝึกอบรมให้เป็นนายทหารประจำพื้นที่ต่างประเทศ (Foreign
Area Officers) ผู้มีความชำนาญเป็นพิเศษในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
และต่างก็สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนเสนาธิการทหารบกของไทย
ปัจจุบันทั้งสองคนเกษียณจากกองทัพแล้ว
และทัศนะความคิดเห็นที่แสดงไว้ในที่นี้เป็นของพวกเขาเอง
มิใช่ของหน่วยงานที่พวกเขาเคยทำงานอยู่
ASTV
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
รีโมท
ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน
คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค
บทความย้อนหลัง
-
▼
2012
(274)
-
▼
กุมภาพันธ์
(51)
-
▼
20 ก.พ.
(8)
- ดร.เสรี ฟันธง "คนที่ปีที่แล้วน้ำไม่ท่วม จะท่วมปีนี้"
- จาก "โจรกระจอก" ถึง "จิ๊กโก๋ปากซอย"...ปัญหาซ้ำรอยไ...
- ฝ่าย'ทักษิณ'ตระเตรียมเพื่อการทำ'สงคราม
- ลัทธิเพื่อไทย กางสูตรรัฐบาล + พล.อ.เปรม = การเมือง...
- เหตุผลที่อิสราเอลจะโจมตีอิหร่าน
- ฝันหวานของพรรคเพื่อไทย ! ?
- ใส่เกียร์เร่งงานการเมืองชิดซ้าย
- เปิดขุมทรัพย์“ธิดา”ประธาน นปช.
-
▼
20 ก.พ.
(8)
-
▼
กุมภาพันธ์
(51)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น