บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ฝ่าย'ทักษิณ'ตระเตรียมเพื่อการทำ'สงคราม

       (เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)
      
       Thailand's Thaksin prepares for war
       By John Cole and Steve Sciacchitano
  
      
        ในขณะที่นายกรัฐมนตรีไทย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พยายามที่จะแสวงหาอำนาจควบคุมเหนือการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารระดับอาวุโส ตลอดจนพยายามลบล้างลดทอนความสามารถของกองทัพที่จะกระทำการรัฐประหารยึดอำนาจ อีกครั้งภายหลังที่ได้โค่นล้มพี่ชายของเธอลงไปในปี 2006 อยู่นั้น พวกที่จงรักภักดีต่ออดีตนายกรัฐมนตรีผู้หลบหนีโทษจำคุกอยู่ในต่างแดนผู้นั้น ยังกำลังวางแผนการที่จะรื้อฟื้นกองบัญชาการลับของ “พวกเสื้อแดง” ในปี 2010 ขึ้นมาใหม่ แผนการจัดตั้ง “วอร์รูม” อีกคำรบหนึ่งดังกล่าว เป็นสัญญาบ่งบอกให้ทราบว่า ฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้น มองอย่างจริงจังขนาดไหน ในเรื่องความเป็นไปได้ที่จะเกิดสถานการณ์ความขัดแย้งแบบเปิดเผยขึ้นใหม่อีก ยกหนึ่ง
      
  
      
       มีรายงานระบุว่า พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต ผู้ได้รับแต่งตั้งให้เข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของไทยคน ใหม่ อาจจะกำลังวางแผนการอย่างเงียบๆ เพื่อเปิดใช้งาน “วอร์รูม” ซึ่งหมายถึง ศูนย์บัญชาการลับๆ อย่างไม่เป็นทางการ แห่งใหม่แห่งหนึ่งขึ้นมา วอร์รูมนี้จะทำหน้าที่สั่งการกำหนดทิศทางให้แก่การชุมนุมเดินขบวนของมวลชนคน เสื้อแดงนิยมรัฐบาลชุดปัจจุบัน ซึ่งได้รับการวางแผนเอาไว้ว่าจะมีขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนต่อจากนี้ ทั้งนี้เป็นการเปิดเผยของแหล่งข่าวหลายๆ รายซึ่งเป็นทหารไทยระดับอาวุโสที่คุ้นเคยกับสถานการณ์
      
       วอร์รูมดังกล่าวนี้ ซึ่งก่อตั้งขึ้นตามคำชี้แนะคำบัญชาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีผู้กำลังหลบหนีโทษจับคุกอยู่ในต่างประเทศ จะเริ่มการปฏิบัติการได้ภายในเดือนมิถุนายนนี้ แหล่งข่าวหลายรายเจ้าเดิมๆ ระบุ นอกจากนั้น แหล่งข่าวทหารอาวุโสเหล่านี้กล่าวด้วยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ปัจจุบันเนรเทศตนเองไปพำนักอาศัยอยู่ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์นั้น ได้ออกคำสั่งให้ปกปิดอย่าให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันผู้เป็นน้องสาวของเขา ทราบเรื่องเกี่ยวกับการก่อตั้งวอร์รูมนี้ เพื่อที่ว่าถ้าหากถูกสื่อมวลชนซักถาม เธอจะได้ให้คำตอบด้วยความซื่อสัตย์ และปฏิเสธเด็ดขาดว่าไม่มีเรื่องนี้
      
       การชุมนุมเดินขบวนของพวกเสื้อแดงตามที่กำหนดออกมานี้ ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่ามันจะเป็นแผนการในลักษณะลงมือจู่โจมก่อนเพื่อเข้าควบ คุมท้องถนนของกรุงเทพฯเอาไว้ ตั้งแต่ก่อนที่อาจจะเกิดวิกฤตครั้งใหม่ขึ้นมา หรือว่าจะเป็นกลอุบายในลักษณะของยุทธศาสตร์ตั้งรับเพื่อตอบโต้ความเคลื่อน ไหวใดๆ ของฝ่ายทหารหรือของกลุ่มประท้วงต่อต้านรัฐบาลกลุ่มต่างๆ แต่การก่อตั้งวอร์รูมแห่งใหม่ขึ้นมาเช่นนี้ ย่อมเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า ฝ่ายทักษิณมองสถานการณ์อย่างจริงจังเคร่งเครียดถึงขนาดไหน ในเรื่องความเป็นไปได้ที่จะเกิดการขัดแย้งกันอย่างเปิดเผยยกใหม่ขึ้นมา
      
       แท้ที่จริงแล้ว ในเวลานี้ก็มีประเด็นอยู่ 2 ประเด็นแล้ว ที่สามารถเป็นตัวเติมเชื้อโหมไฟให้เกิดความไร้เสถียรภาพระลอกใหม่ ประเด็นแรกคือการที่พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นแกนนำของคณะรัฐบาลชุดปัจจุบัน ได้เริ่มต้นเดินเครื่องกระบวนการที่จะทำให้รัฐสภาอนุมัติรับรองการแก้ไขรัฐ ธรรมนูญ อันเป็นความเคลื่อนไหวซึ่งพวกวิพากษ์วิจารณ์ทักษิณมองเห็นกันอย่างกว้างขวาง ว่า จุดมุ่งหมายสำคัญที่สุดอยู่ตรงที่ต้องการทำให้คำพิพากษาของศาลที่ตัดสินว่า พ.ต.ท.ทักษิณ กระทำความผิดจริงในข้อหาอันเกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชั่น และให้ลงโทษเขาด้วยการจำคุก 2 ปีนั้น กลายเป็นโมฆะ เพื่อที่เขาจะสามารถกลับคืนมาประเทศไทยได้ในฐานะเสรีชน
      
       ส่วนอีกประเด็นหนึ่ง คือแผนการริเริ่มที่จะทำให้ฝ่ายพลเรือนมีอำนาจมากขึ้นในการควบคุมสั่งการ เรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารระดับอาวุโส เรื่องนี้มีความเป็นไปได้ที่จะจุดชนวนให้ฝ่ายทหารเปิดการตอบโต้โดยตรง มากกว่าเรื่องแรกเสียด้วยซ้ำ ในปัจจุบัน กฎหมายของไทยในทางปฏิบัติแล้ว ให้อำนาจการตัดสินใจในเรื่องดังกล่าวเหล่านี้แก่ผู้บัญชาการของ 3 เหล่าทัพ นั่นคือ ผู้บัญชาการทหารบก, ผู้บัญชาการทหารเรือ, และผู้บัญชาการทหารอากาศ อย่างไรก็ตาม รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ กำลังพยายามผลักดันเพื่อให้มีการแก้ไขกฎหมาย ซึ่งจะให้อำนาจเพิ่มมากขึ้นแก่รัฐมนตรีกลาโหม ที่ทางรัฐบาลเป็นผู้แต่งตั้ง ในการตัดสินใจเรื่องดังกล่าว
      
       ถ้าหากมีการแก้ไขกฎหมายได้สำเร็จ ฝ่ายทักษิณก็จะอยู่ในฐานะที่เข้มแข็งขึ้นมากในการเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งพวก ที่จงรักภักดีต่อเขาให้ขึ้นสู่ตำแหน่งบังคับบัญชาทหารที่ทรงความสำคัญ และโยกย้ายผู้ที่กล่าวโทษว่าร้ายเขาออกไป โดยที่นายทหารสำคัญที่สุดซึ่งถูกระบุว่าอยู่ในข่ายนี้ ได้แก่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกคนปัจจุบัน ซึ่งเป็นที่ทราบกันอยู่ทั่วไปว่าเป็นผู้ที่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหา กษัตริย์ ความเคลื่อนไหวดังกล่าวนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อที่จะลบล้างลดทอนความสามารถของ กองทัพในการกระทำการรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งชุด ปัจจุบัน ซึ่งมีน้องสาวของเขาเองเป็นนายกรัฐมนตรี
      
       สถานการณ์ในปัจจุบันมีความหนักหน่วงร้ายแรงขนาดไหน อาจจะเปรียบเทียบได้จากสิ่งที่เกิดขึ้นในปี 2006 ซึ่งการต่อสู้ช่วงชิงกันในเรื่องการแต่งตั้งโยกย้านนายทหารชั้นผู้ใหญ่ทำนอง เดียวกันนี้ กลายเป็นสาเหตุใกล้เคียง (proximate cause) ของการก่อรัฐประหารของฝ่ายทหารซึ่งโค่นล้มคณะรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งนี้ก่อนหน้าที่จะมีการประกาศแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารชั้นผู้ใหญ่ประจำปี ในเดือนตุลาคม 2005 พ.ต.ท.ทักษิณได้พยายามที่จะให้ผู้ที่จงรักภักดีต่อเขา ได้อยู่ในตำแหน่งสำคัญๆ ซึ่งจะทำให้ในปีถัดไป นายทหารเหล่านี้ก็จะอยู่ในลำดับที่สมควรจะได้รับการพิจารณาแต่งตั้งให้ครอง ตำแหน่งระดับสูงสุด เป็นต้นว่า ผู้บัญชาการทหารของ 3 เหล่าทัพ
      
       มีรายงานว่า เมื่อ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ซึ่งเป็นทั้งอดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตผู้บัญชาการทหารบก ได้ทราบเรื่องการเข้าไปแทรกแซงของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ได้มีการโต้แย้งบัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายดังกล่าว และไม่มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งจนกระทั่งได้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขแล้ว การต่อสู้ช่วงชิงอำนาจเบื้องหลังฉากในที่สุดแล้วก็ได้ต่อเนื่องติดตามมาด้วย การก่อรัฐประหารยึดอำนาจในปี 2006 ทั้งนี้ในระหว่างการต่อสู้กันในตอนต้นๆ นี้เอง ที่ทำให้พวกนายทหารระดับท็อปเริ่มตระหนักรับรู้ความเป็นจริงที่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณนั้นมีจุดอ่อน และสามารถที่จะโค่นล้มให้ตกลงจากอำนาจได้
      
       **ศูนย์บัญชาการลับ**
      
       ในช่วงเวลาแห่งฤดูใบไม้ผลิของปี 2006 ก่อนหน้าที่จะเกิดการรัฐประหารยึดอำนาจในเดือนกันยายนของปีนั้น มีรายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้ออกคำสั่งให้ก่อตั้งศูนย์ปฏิบัติการลับแห่งหนึ่งขึ้นมา อันเป็นความเคลื่อนไหวที่ในหมู่นายทหารใหญ่ของกองทัพยังไม่เป็นที่รับรู้กัน อย่างกว้างขวางอะไรในตอนนั้น (อย่างไรก็ตาม วอร์รูมที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้ก่อตั้งขึ้นเพื่อกำกับสั่งการการประท้วงของพวกเสื้อแดงในปี 2010 ซึ่งได้บานปลายกลายเป็นความรุนแรงนั้น เป็นที่ทราบกันของพวกนายทหารอาวุโสอย่างกว้างขวางมากกว่า)
      
       ตอนต้นปี 2006 เกิดข่าวลือแพร่สะพัดว่าฝ่ายทหารกำลังจะทำรัฐประหารยึดอำนาจในเร็ววัน มีรายงานว่า นายทหารระดับนายพล ที่เป็นเพื่อนนักเรียนซึ่งเรียนจบจากโรงเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 10 (ตท.10) อันเป็นรุ่นเดียวกันกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เสนออย่างลับๆ ให้ดำเนินการตอบโต้ด้วยการก่อตั้งศูนย์ปฏิบัติการแบบนอกตำรา เพื่อติดตามตรวจสอบหน่วยกำลังของกลุ่มที่มีข่าวจะก่อรัฐประหาร ตลอดจนบรรดาผู้เข้าร่วมคนสำคัญๆ ในที่สุดแล้วดูเหมือนว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะตัดสินใจว่า ศูนย์ปิดลับดังกล่าวควรที่จะจัดตั้งขึ้นในกองบัญชาการกองพลทหารปืนใหญ่ ต่อสู้อากาศยาน ของกองทัพบก ซึ่งตั้งอยู่ในเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ตามคำบอกเล่าของแหล่งข่าวทางทหารหลายราย
      
       ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทำรัฐประหารที่นำโดย ตท.10 ดังกล่าวนี้ ได้รับมอบหมายภารกิจให้ติดตามตรวจสอบความเคลื่อนไหวและสถานที่ตั้งต่างๆ ของบรรดากองกำลังที่อาจจะก่อการรัฐประหารได้ทั้งหมด โดยที่ในเวลานั้นคิดกันว่าน่าจะมีศูนย์กลางอยู่ที่ หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ของกองทัพบก ในจังหวัดลพบุรี ที่อยู่ห่างจากกรุงเทพฯไปทางเหนือประมาณ 160 กิโลเมตร
      
       ถึงแม้การปฏิบัติหน้าที่ของศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทำรัฐประหารนี้ ไม่เคยเปิดเผยต่อสื่อมวลชนเลย แต่มีรายงานว่าศูนย์แห่งนี้ประสบความสำคัญเป็นอย่างมากในการติดตามตรวจสอบ พวกวางแผนก่อรัฐประหาร และก็มีส่วนรับผิดชอบอย่างมากที่ทำให้ พล.อ.สนธิ บุญรัตกลิน ซึ่งกลายเป็นผู้นำการก่อรัฐประหารในที่สุดและเวลานั้นดำรงตำแหน่งผู้ บัญชาการทหารบก ต้องสั่งยกเลิกแผนการต่างๆ ที่วางไว้สำหรับการทำรัฐประหารครั้งดั้งเดิม ซึ่งกำหนดเอาไว้ว่าจะลงมือในช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่จะมีการเปิดคูหา หน่วยลงคะแนน เพื่อทำการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วประเทศ ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2006 (หมายเหตุผู้แปล - แปลตามต้นฉบับ ในความเป็นจริงแล้ว การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคราวนั้น จัดขึ้นในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549 หรือ ค.ศ.2006)
      
       รายงานระบุว่า ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เคยแถลงต่อสาธารณชนว่าเขาได้ค้นพบแผนทำรัฐประหารยึดอำนาจ แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ทำให้ พล.อ.สนธิ ทราบว่าเขารู้พฤติการณ์ต่างๆ ของพวกก่อการแล้ว และจะจับกุมสมาชิกของกลุ่มรัฐประหารถ้าหากกลุ่มนี้ยังไม่ยอมยุติและเดินหน้า ต่อไป อย่างไรก็ดี ภายหลังที่การเลือกตั้งเดือนพฤษภาคม 2006 นี้ ได้ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้เป็นโมฆะ พล.อ.สนธิก็ได้หวนกลับมาวางแผนทำรัฐประหารอีกครั้งอย่างเงียบๆ โดยที่คราวนี้ได้รวบรวมกำลังทหารเข้ามาร่วมมือด้วยมากขึ้นกว่าครั้งก่อน เพื่อเป็นการเพิ่มเติมจากหน่วยทหารสงครามพิเศษ ซึ่งเขาได้ไปชักชวนเอาไว้ในตอนแรก
      
       การรัฐประหารยึดอำนาจที่วางแผนกันเป็นครั้งที่ 2 นี้ ได้เปิดฉากปฏิบัติการเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2006 และก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี โดยเหตุผลข้อหลักเป็นเพราะ 1 ในหมู่พันธมิตรกลุ่ม ตท.10 ของ พ.ต.ท.ทักษิณ เอง นั่นคือ พล.ท.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ซึ่งในเวลานั้นเป็นนายทหารผู้บังคับบัญชาที่รับผิดชอบกองทัพภาคที่ 1 อันมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เพราะทำหน้าที่ดูแลรับผิดชอบความมั่นคงปลอดภัยของกรุงเทพมหานคร ปรากฏว่า พล.ท.อนุพงษ์ (ยศขณะนั้น) ได้ตีจากเพื่อนร่วมรุ่นของเขา และหันมาเป็น 1 ในคณะผู้นำกลุ่มก่อการรัฐประหาร ในเวลาต่อมาพวกผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ได้พยายามกล่าวหา พล.อ.เปรม ว่า เป็นผู้บงการประสานงานการทำรัฐประหารยึดอำนาจคราวนั้นอยู่หลังฉาก ทว่ารัฐบุรุษผู้อาวุโสผู้นี้ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านี้อย่างสิ้นเชิง



           ในระหว่างการชุมนุมประท้วงของพวกเสื้อแดงในปี 2010 พวกผู้ชุมนุมเดินขบวนเหล่านี้ส่วนใหญ่เดินทางมาจากพื้นที่ภาคเหนือและภาค ตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ อันเป็นที่มั่นทางภูมิศาสตร์ที่แข็งแกร่งของฝ่ายนิยมทักษิณ พวกเขาได้ใช้เวลาอยู่หลายวันทีเดียวในพื้นที่แห่งหนึ่งทางแถบตอนกลางๆ ของกรุงเทพฯ พื้นที่ดังกล่าวนี้ ตั้งอยู่ทางด้านเหนือของเมืองหลวง และอยู่ทางฟากตะวันตกของถนนวิภาวดีรังสิต ตลอดจนทางรถไฟสายหลักที่แล่นไปสู่ภาคเหนือ ในเวลาต่อมาที่ตรงนี้ก็ได้กลายเป็นศูนย์ส่งกำลังบำรุงแห่งหลักสำหรับขบวนการ คนเสื้อแดง
      
       ศูนย์ส่งกำลังบำรุงแห่งนี้ ยังอยู่ติดๆ กับวัดดอนเมือง วัดทางพุทธศาสนาขนาดใหญ่ ซึ่งตลอดหลายๆ ปีที่ผ่านมาได้ทำหน้าที่เป็นผู้ตอบสนองความต้องการต่างๆ ในทางจิตใจ ให้แก่ผู้คนที่อพยพมาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พวกเขาเหล่านี้จำนวนมากมายอพยพโยกย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองหลวงในช่วงที่ เศรษฐกิจเฟื่องฟูเมื่อตอนทศวรรษ 1980 และทศวรรษ 1990 ด้วยเหตุนี้เอง จึงเป็นเรื่องสมเหตุสมผลในทางการส่งกำลังบำรุง ถ้าหากวอร์รูมดังที่กล่าวมาข้างต้น ก็ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกันนี้ ในเมื่อมันเป็นพื้นที่ซึ่งพวกคนเสื้อแดงที่มาชุมนุมประท้วง จะมีฐานสนับสนุนที่เป็นมิตรและคุ้นเคย ชาวบ้านแถบนั้นจำนวนมากต่างก็เป็นพวกที่เห็นอกเห็นใจพวกเขา ตลอดจนการติดต่อเชื่อมโยงด้านการคมนาคมขนส่งกับจังหวัดบ้านเกิดของบรรดาผู้ ประท้วงก็พรักพร้อมมาก ทั้งนี้รวมถึงท่าอากาศยานดอนเมือง ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากบริเวณนี้ด้วย
      
       ถึงแม้ไม่เคยมีการเปิดเผยกันเลยว่า สถานที่ตั้งวอร์รูมฝ่ายเสื้อแดงในปี 2010 นั้นอยู่ตรงจุดไหนแน่ๆ แต่พวกเจ้าหน้าที่ซึ่งคุ้นเคยกับสถานการณ์บอกว่า โรงแรมแห่งหนึ่งในพื้นที่เขตดอนเมือง ซึ่งเป็นโรงแรมที่ประสบความยากลำบากทางการเงิน ภายหลังที่มีการเปิดใช้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เป็นท่าอากาศยานนานาชาติแห่งใหม่ของประเทศแทนที่ดอนเมืองแล้ว คือจุดหนึ่งที่ถูกใช้เป็นฐานในคราวนั้น
      
       เนื่องจากมีความเหมาะสมในด้านการรักษาความปลอดภัย แล้วสภาพของโรงแรมซึ่งแทบจะว่างเปล่าทั้งหมดยังสามารถใช้การได้ดีสำหรับการ ปฏิบัติการดังกล่าว โดยที่มีทั้งห้องพักว่างๆ ให้พวกเจ้าหน้าที่ได้ใช้นอนหลับพักผ่อน, มีอาหารร้อนๆ บริการ, ตลอดจนการสื่อสารคมนาคมก็สะดวกง่ายดาย ถึงแม้ในทางปฏิบัติแล้ว คำสั่งคำชี้แนะของทางวอร์รูม ไปถึงบรรดามือปฏิบัติการของกลุ่มคนเสื้อแดง โดยวิธีจัดให้คนไปส่งตรงถึงมือ ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่ายรัฐบาลที่มีสมรรถนะในการดักฟังอุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์ สามารถตรวจจับได้ ทั้งนี้ตามคำบอกเล่าของพวกแหล่งข่าวที่เป็นทหารซึ่งคุ้นเคยกับสถานการณ์
      
       **โครงสร้างพื้นฐานที่พรักพร้อมอยู่แล้ว**
      
       เมื่อพิจารณาจากเรื่องโครงสร้างพื้นฐานของพวกเสื้อแดงที่มีพรักพร้อม อยู่แล้วเช่นนี้ พวกเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารจึงเชื่อว่า วอร์รูมแห่งใหม่ตามการบงการของทักษิณและมีกระทรวงกลาโหมเป็นผู้นำนั้น น่าจะเป็นสถานที่ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณใกล้ๆ วัดดอนเมืองเหมือนเดิม พวกเขาชี้ว่า ยิ่งเมื่อคำนึงถึงข้อเท็จจริงที่ว่าอาคารสิ่งปลูกสร้างแห่งใหม่ๆ ของกระทรวงกลาโหม ก็ตั้งอยู่ทางด้านเหนือของกรุงเทพฯด้วยแล้ว ทำให้ความเป็นไปได้ในเรื่องนี้ยิ่งเพิ่มสูงขึ้นอีก
      
       ในปัจจุบันถึงแม้ห้องทำงานของตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยังคงตั้งอยู่ในเขตตัวเมืองเก่าของกรุงเทพฯ ใกล้ๆ กับพระบรมมหาราชวังและสนามหลวง แต่ตลอดระยะเวลา 14 ปีที่ผ่านมา (เริ่มตั้งแต่ปี 1997) หน่วยงานต่างๆ ที่อยู่ใต้การบังคับบัญชาของกระทรวง ส่วนใหญ่แล้วได้โยกย้ายไปตั้งอยู่ที่เมืองทองธานี ในอาคารสำนักงานสูง 14 ชั้นขนาดใหญ่หลังหนึ่ง
      
       อาคารแห่งนี้ ซึ่งอยู่ห่างจากท่าอากาศยานดอนเมืองไปทางเหนือประมาณ 15 กิโลเมตร และประชิดกับทางหลวงแผ่นดินสายที่มุ่งไปสู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แรกเริ่มเดิมทีเป็นส่วนหนึ่งในโครงการพัฒนาที่ดินซึ่งประสบภาวะล้มละลายใน ช่วงวิกฤตการเงินเอเชียปี 1997-98 แล้วต่อมากระทรวงกลาโหมก็ได้ไปซื้ออาคารหลังนี้ไว้
      
       ในปี 2009 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในเวลานั้น ได้ริเริ่มโครงการสร้างอาคารสูง 20 ชั้นขนาดใหญ่โต 2 หลังขึ้นมา เพื่อใช้เป็นที่พำนักอาศัยของบรรดานายทหารและนายทหารชั้นประทวนที่ได้รับคำ สั่งให้มาปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่นั่น ตลอดจนครอบครัวของพวกเขา ขณะที่ทั้งสถานที่ตั้งของกระทรวงทั้งที่ใกล้ๆ สนามหลวง และที่อยู่ในเมืองทองธานีเวลานี้ ต่างยังคงมีฐานะเป็นพื้นที่สำนักงานกันทั้ง 2 แห่ง แต่ตามแผนการที่กำหนดขึ้นในปี 2009 ดังกล่าวระบุว่า ที่พักอาศัยที่ได้รับความอนุเคราะห์จากรัฐบาลสำหรับข้าราชการของกระทรวงนั้น ส่วนใหญ่ที่สุดจะต้องไปรวมกันอยู่ในพื้นที่เมืองทองธานี
      
       ด้วยเหตุนี้เอง จึงพอที่จะนึกภาพได้ว่า อาคารใหม่หลังหนึ่งใน 2 หลังเหล่านี้ ก็น่าจะยังมีพื้นที่เหลือใช้เพียงพอแก่การนำเอามาทำเป็นสถานที่ปฏิบัติการ ลับอีกแห่งหนึ่งสำหรับวอร์รูมใหม่ของฝ่ายทักษิณ มีรายงานว่าศูนย์บังคับบัญชาลับแห่งนี้ จะมีเจ้าหน้าที่ทำงานผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเป็น 4 ทีม แต่ละทีมมีกำลัง 30 คน และประกอบด้วยผู้นำทีมที่อยู่ในระดับอาวุโสคนหนึ่ง, รองหัวหน้าทีม, และเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการระดับอาวุโส, ทั้งนี้ตามปากคำของพวกนายทหารที่คุ้นเคยกับคำสั่งในเรื่องนี้ การที่มีทีมงานผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกัน 4 ทีมเช่นนี้ ก็เพื่อให้วอร์รูมสามารถปฏิบัติงานได้วันละ 24 ชั่วโมง และสัปดาห์ละ 7 วัน นั่นเป็นคำบอกเล่าของพวกแหล่งข่าวทางทหารที่คุ้นเคยกับแผนการนี้เช่นกัน
      
       บรรดาแหล่งข่าวทหารอาวุโสเดียวกันนี้กล่าวว่า ได้มีการทาบทามดึงตัวผู้ที่สามารถจะเป็นหัวหน้าทีมระดับอาวุโสได้ให้เข้ามา ร่วมอยู่วอร์รูมนี้แล้วรวม 3 คน ทุกคนต่างเป็นเพื่อนร่วมรุ่น ตท.10 ของ พ.ต.ท.ทักษิณ และต่างก็เคยปฏิบัติหน้าที่ในกองบัญชาการลับของพวกเสื้อแดงในปี 2010 มาแล้ว
      
       นอกจากนั้น ยังจะมีทีมสนับสนุนด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอที) ซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีจำนวนสิบกว่าคน ทีมสนับสนุนนี้จะเป็นส่วนประกอบที่สำคัญยิ่งยวด เมื่อพิจารณาจากเครื่องมืออุปกรณ์สื่อสารไฮเทคล่าสุดต่างๆ ที่กำหนดไว้ว่าจะนำมาใช้งาน ตรงกันข้ามกับการประท้วงปี 2010 แผนการต่างๆ ในปัจจุบันจะจัดให้พวกผู้นำขบวนแถวคนเสื้อแดงในแนวหน้า มีอุปกรณ์สื่อสารแบบมือถือและเข้ารหัสใช้งานกัน ซึ่งจะทำให้สามารถดำเนินการควบคุมแบบรวมศูนย์, ต่อเนื่อง, และทันทีทันใด ได้ดียิ่งกว่าเมื่อปี 2010
      
       ขณะเดียวกัน นี่ก็อาจจะเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าวอร์รูมยุคปัจจุบันกำลังวางแผนจะควบคุมสั่ง การการประท้วงที่มีขนาดใหญ่โตยิ่งกว่าการชุมนุมเดินขบวนของพวกเสื้อแดงในปี 2010 เสียอีก โดยที่การประท้วงในปีนั้นมักจะมีจำนวนผู้เข้าร่วมขึ้นๆ ลงๆ ไม่แน่นอน และได้ถูกวาดภาพเอาไว้อย่างกว้างขวางว่าเป็นขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยที่ มีชีวิตชีวาน่าประทับใจ อย่างไรก็ตาม เมื่อมองกันในมุมกลับ เรื่องนี้อย่างน้อยที่สุดก็อาจทำให้วอร์รูมแห่งใหม่เกิดจุดอ่อนที่จะทำให้ ถูกเล่นงานโดยสมรรถนะในการดักจับสัญญาณและรบกวนสัญญาณการสื่อสารของทางกอง ทัพ
      
       **สันติภาพที่ง่อนแง่น**
      
       แต่ถึงจะมีความเคลื่อนไหวและวางแผนใช้กลยุทธ์ต่างๆ เหล่านี้ มันก็ยังไม่ใช่เรื่องแน่นอนแล้วที่ประเทศไทยจะประสบกับความเจ็บปวดชอกช้ำซ้ำ รอยความปั่นป่วนวุ่นวายและความรุนแรงที่ได้พบเห็นประจักษ์กันมาในปี 2010 ถ้าฝ่ายที่คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญประสบความล้มเหลวไม่สามารถรวบรวมผู้คน ให้เป็นขบวนการมวลชนออกมาทำการตอบโต้ได้สำเร็จ และถ้าหากฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณสามารถที่จะเดินหมากอย่างหลักแหลมแทนที่จะก่อให้เกิดการกระแทก กระทั้นในการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารชั้นผู้ใหญ่ จนกระทั่งทหารฝ่ายที่จงรักภักดีต่อเขามีกำลังเพียงพอที่จะทำให้การลงมือ กระทำการเล่นงานรัฐบาลน้องสาวของเขาเป็นไปด้วยความยากลำบากยิ่งขึ้นแล้ว เขาก็อาจจะสามารถบรรลุจุดมุ่งหมายต่างๆ ของเขาได้โดยใช้วิธีการสันติ
      
       สัญญาณบ่งชี้เกี่ยวกับเส้นทางความเป็นไปทางการเมืองในอนาคตประการ หนึ่งที่จะปรากฏออกมาให้เห็นในเร็วๆ นี้ ได้แก่การแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารชั้นผู้ใหญ่ช่วงกลางปี ซึ่งตามปกติจะประกาศกันในเดือนเมษายน ทั้งนี้การแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของไทยนั้นในแต่ละปีจะทำกัน 2 ครั้ง ครั้งหนึ่งในเดือนเมษายน และอีกครั้งหนึ่งในเดือนตุลาคม โดยที่การโยกย้ายเปลี่ยนแปลงบุคลากรสำคัญที่สุดจะเกิดขึ้นในเดือนตุลาคม ดังนั้น ถ้าหาก พ.ต.ท.ทักษิณมีแผนการที่จะโยกย้าย พล.อ.ประยุทธ์ ดังที่มีบางคนเชื่อว่าการแต่งตั้ง พล.อ.อ.สุกำพลเป็นเจ้ากระทรวงกลาโหมคือสิ่งบอกเหตุในเรื่องนี้ ความเคลื่อนไหวอันท้าทายยิ่งดังกล่าวก็เป็นไปได้มากที่สุดที่จะกระทำกันใน เดือนตุลาคมไม่ใช่เดือนเมษายน
      
       กระนั้นก็ตามที บัญชีรายชื่อการแต่งตั้งโยกย้ายในเดือนเมษายนนี้ พวกผู้จงรักภักดีต่อ พ.ต.ท.ทักษิณในกองทัพจะได้รับตำแหน่งอันพึงปรารถนามากน้อยแค่ไหน และพวกผู้นำกองทัพในปัจจุบันจะถูกโยกย้ายหรือไม่ ตลอดจนการต่อสู้ช่วงชิงเบื้องหลังฉากที่จะเกิดขึ้นในระหว่างการจัดทำบัญชี รายชื่อซึ่งคาดหมายกันว่าจะเต็มไปด้วยการขับเคี่ยวชิงชัยกันอย่างเผ็ดร้อน เหล่านี้ก็อาจจะเป็นสัญญาณบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่า การประจันหน้ากันทางการเมืองกำลังจะบังเกิดขึ้นหรือไม่
      
       อย่างไรก็ตาม จากการวางแผนจัดตั้งวอร์เรมแห่งใหม่ขึ้นมา ย่อมเป็นสิ่งชี้แนะให้เห็นไปว่า ตัว พ.ต.ท.ทักษิณเองคาดการณ์ว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเกิดความไร้เสถียรภาพครั้ง ใหม่ และในเวลานี้กำลังฝ่ายจงรักภักดีต่อตัวเขากำลังชิงลงมือปฏิบัติการก่อน แท้ที่จริงแล้ว เดิมพันที่กำลังต่อสู้ช่วงชิงกันอยู่ ก็มีความสำคัญอย่างลึกซึ้งยิ่ง ต่างฝ่ายต่างก็เห็นว่าจำเป็นที่จะต้องมีอำนาจควบคุมเหนือระบบการเมืองใน อนาคตอันใกล้นี้ รวมทั้งจะต้องมีอำนาจบังคับบัญชากองทัพด้วย และนั่นอาจจะทำให้การประนีประนอมระหว่างฝ่ายที่ฝักใฝ่ทักษิณ และฝ่ายที่ต่อต้านทักษิณ กลายเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เสียแล้ว
       จอห์น โคล และ สตีฟ สกิอักกีตาโน พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลาหลายปี ขณะที่ประจำการอยู่ในกองทัพบกสหรัฐฯ ทั้งคู่ได้รับการฝึกอบรมให้เป็นนายทหารประจำพื้นที่ต่างประเทศ (Foreign Area Officers) ผู้มีความชำนาญเป็นพิเศษในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และต่างก็สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนเสนาธิการทหารบกของไทย ปัจจุบันทั้งสองคนเกษียณจากกองทัพแล้ว และทัศนะความคิดเห็นที่แสดงไว้ในที่นี้เป็นของพวกเขาเอง มิใช่ของหน่วยงานที่พวกเขาเคยทำงานอยู่


 ASTV

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง