บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2555

เนื้อหาหนังสือ “Conversations with Thaksin


โดย ทอม เพลท
ที่มา เจแปน ไทม์

พากย์ไทยโดยไทยอีนิวส์

: บทสนทนานี้เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือ “Conversations with Thaksin: From Exile to Deliverance”, ซึ่งเป็นซีรี่หนึ่งของ Tom Plate’s “Giants of Asia” series.


รัฐประหารที่เขย่าขวัญ: “สถานการณ์ไม่ค่อยดี”


ดู ไบ – “มันเกิดขึ้นได้ทุกเวลา” รัฐมนตรีระดับสูงคนหนึ่งบอกกับท่าน “เรามีเวลาไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่พวกเขาจะลงมือ” รัฐมนตรีอีกคนหนึ่งกล่าว “เวลาเราเหลือไม่กี่วัน”

ก่อนที่วันที่ ๑๗ กย. ๒๕๔๙ จะมาถึง ณ กรุงนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา แม้แต่ทักษิณขณะที่รอที่จะกล่าวสุนทรพจน์ในนามของประเทศต่อที่ประชุมสมัชชา สหประชาชาติ ก็ยังกระสับกระส่าย “ผมคิดว่าคุณถูก” เขากล่าวกับผู้ร่วมงาน “ผมควรจะกลับไป สถานการณ์ไม่ดี”

แต่ทุกอย่างได้สายไปเสียแล้ว

ที่กรุงเทพฯ ในตอนเช้าตรู่ของวันอังคารที่ ๑๙ กย. ๒๕๔๙ อากาศร้อนอบอ้าว ผู้คนรู้แล้วว่ามีอะไรไม่ปกติ

เวลาประมาณ ๒ ทุ่มของคืนนั้น การรัฐประหารกำลังดำเนินไปอย่างเต็มพลัง

ถึง แม้ว่าประเทศไทยจะมีการรัฐประหารบ่อยครั้ง แต่การเข็นรถถังออกมายังท้องถนนครั้งนี้ ห่างจากครั้งก่อนหลายปี เวลา ๔ ทุ่ม กองกำลังทหารได้โอบล้อมทำเนียบรัฐบาลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

รุ่งอรุณ กองกำลังทหารได้ปิดล็อคจุดสำคัญ ตั้งป้อมตรวจค้นรถที่เดินทางตามถนนราชดำเนิน

เวลา ๙.๑๖ นาฬิกาของวันถัดไป คณะรัฐประหารออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ การรัฐประหารรัฐบาลทักษิณ ในแถลงการณ์กล่าวว่าทักษิณ “ได้สร้างความขัดแย้งแบ่งฝ่ายอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน, การบริหารราชการแผ่นดินส่อไปในทางทุจริตอย่างกว้างขวาง, หน่วยงานอิสระถูกครอบงำทางการเมือง ทำให้การดำเนินกิจกรรมทางการเมืองเกิดปัญหา ถ้าปล่อยให้รัฐบาลทักษิณปกครองบ้านเมืองต่อไป จะทำให้ประเทศเสียหาย และพวกเขายังมีพฤติกรรมที่หมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแห่งองค์พระ มหากษัตริย์ ดังนั้นคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุขจึงทำการยึดอำนาจ”

และนั่นคือวิธีที่ทำให้วาระการดำรง ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยสิ้นสุด ลง โดยการใช้รถถัง ในความเป็นจริงแล้วการรัฐประหารครั้งนี้ไม่มีความรุนแรงที่ร้ายแรง คนไทยจำนวนมากอยู่ในบ้าน และรู้ว่าอะไรเกิดขึ้นเพราะสถานีโทรทัศน์หยุดการถ่ายทอดโปรแกรมตามปกติ แต่เปิดเพลงรักชาติ

กระสุนไม่ได้ถูกยิงแม้แต่นัดเดียว ไม่มีใครตาย มันเป็นการรัฐประหารที่เงียบเชียบมาก

ตอน จบแล้วก็ยังเงียบ... ยกเว้นอาชีพทางการเมืองของนายกทักษิณที่ถูกทำให้จบลงแต่ยังมีเสียงคึกโครม ดังเหมือนเสียงรถถังที่วิ่งบดตามท้องถนน

ในบ่ายวันนั้น ความตึงเครียดเริ่มผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัด เห็นเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า ทักษิณจบแน่
อย่างน้อย ผู้นำรัฐประหารคิดเช่นนั้น

ความขัดแย้งของทักษิณ: “ครอบครัวของผมมีความปราถนาดี”

ทักษิณ พูดว่า “ตอนนั้นผมโกรธมาก...เต็มไปด้วยความโกรธ และการที่ผมเป็นคนโกรธง่าย มันโชว์ให้ทุกคนเห็นว่า ผมเป็นคนโกรธง่ายเกินไป” เขาพูดด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย

“นี่คือคุณลักษณะที่ไม่ดีของผม ส่วนดีของผมคือคิดสร้างสรรค์ แต่ถ้าเมื่อใดผมไม่สามารถรับเพรสเชอร์ได้ ผมจะโกรธ”

นี่เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า เขารู้สึกเสียใจกับการที่มีอารมณ์เช่นนี้


ฉัน ถาม: “ตอนนี้เขาบอกว่าศาลไทยได้ฟ้องร้องคุณ คุณทักษิณ ขณะที่คุณไม่ได้อยู่ในประเทศ กรณีบทบาทของคุณที่ยั่วเย้าให้เกิดการประท้วง คุณเคยถูกฟ้องร้องจากศาลไทยบ้างหรือเปล่า?”

“ไม่เคย ผมไม่เคยถูกฟ้องร้องเรื่องนี้ ผมถูกฟ้องร้องเรื่องคดีที่ดิน”

“คดีที่ดินของภรรยาคุณเมื่อปี ๒๕๔๖?”

“ครับ ภรรยาผมชนะการประมูลซื้อที่ดินสาธารณะที่มาจากสมัยวิกฤตการณ์ทางการเงิน”

“โอเค”

“ซึ่ง เปิดให้ทุกคน ต่อมาพวกเขาบอกว่า โอ เธอเป็นภรรยาของนายกฯ เธอต้องโกง ตอนหลังศาลพิพากษาตัดสินให้คดีนี้เป็นโมฆะ คืนเงินให้ภรรรยาผมแต่ยังไม่ยอมปล่อยผมจากคำพิพากษา”

“คุณถูกกล่าวหา และถูกพิพากษาขณะที่ไม่อยู่ในเมืองไทยด้วยข้อหาอะไร?”
(การที่สื่อต่างประเทศรายงานข่าวว่า ข้อกล่าวหาเกี่ยวพันกับคดีคอรัปชั่นนั้น ไม่ถูกต้อง)

“พวก เขาบอกว่าผมทำผิดกฏหมายที่ว่าด้วยสมาชิกคณะรัฐมนตรีห้ามมีส่วนร่วมเป็น คู่สัญญากับรัฐ เจตนาของกฏหมายคือห้ามพวกเราไม่ให้มีส่วนได้ส่วนเสียที่ไม่แฟร์ในสัญญาหรือ สัมปทานใด ๆที่ทำกับหน่วยงานของรัฐ แต่ข้อกล่าวหานี้มาจากการประมูลซื้อที่ดินที่กองทุนพื้นฟูและพัฒนาระบบ สถาบันการเงิน ซื้อต่อมาจากบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่มีปัญหา ซึ่งที่ดินเหล่านี้ไม่ได้เป็นของรัฐบาล”

“และภรรยาของคุณซื้อในนามของเธอเอง?”

ใน ความเป็นจริง การซื้อขายนี้ ซื้ออย่างซื่อตรง เธอไม่ได้ซ่อนอะไร เธอเซ็นต์เช็ค ๒๔ ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งปิดไม่ได้ เงินจำนวนมากเช่นนี้อาจทำให้คนอิจฉา

ทักษิณตอบต่อ “ไม่หรอก ถ้าเธอต้องการปกปิด เธอสามารถใช้ชื่อคนอื่นเป็นตัวแทน หรือใช้ชื่บริษัท”

“แต่เธอไม่ได้ทำ เธออาจจะทำถ้าเธอต้องการปกปิด ดังนั้นถ้าผิดอย่างเลวร้ายที่สุดก็เป็นเรื่องทางเท็คนิค”
เขาพยักหน้า

“ตอนนี้ มีคนเขียนว่าคุณถูกศาลตัดสินคดีคอรัปชั่นอื่น ๆอีกขณะที่ลี้ภัยนอกประเทศ”

“ไม่มี พวกเขากล่าวหา เป็นข้อกล่าวหา”

“ที่ตัดสินแล้วมีคดีเดียว คดีที่ดิน”

“คดีเดียว คดีเดียวเท่านั้น”

มัน เป็นการยากที่จะบอกว่าทักษิณเป็นผู้ร้ายทางการเมืองที่เลวร้ายของโลก เพียงแค่เป็นจำเลยคดีที่ดิน ในความเป็นจริง เขาไม่มีชื่อติดอยู่ในหมายจับใดๆ ขององกรณ์ตำรวจสากล

แน่นอน ยังมีข้อกล่าวหาอีกหลายข้อหา ซึ่งยากที่จะบอกว่ามาจากกลุ่มคนที่ไม่ชอบเขาฝ่ายเดียว

“ยก ตัวอย่างเรื่องการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปที่เกี่ยวข้องกับสิงคโปร์ ถ้าคุณรู้ว่าเรื่องนี้จะสร้างความเสียหาย คุณจะทำอะไรที่แตกต่างจากเดิมหรือเปล่าในวันนี้?”

การซื้อขายขาย หุ้นของบริษัทชินคอร์ปในปี ๒๕๔๙ เป็นเรื่องการขายหุ้นจำนวนมหาศาลของเขาในบริษัทด้านสื่อสารโทรคมนาคมของไทย กับสิงคโปร์เทเลคอม มันเป็นรายการขนาดใหญ่ ซึ่งคนไทยจำนวนมากมีความรู้สึกไม่พอใจ ดูเหมือนเป็นการขายความมั่นคงของการสื่อสารแห่งชาติให้กับต่างชาติ ชาติใดก็ได้ที่ยอมจ่ายค่าประมูลสูงสุด และการซื้อขายนี้ถูกนักวิจารณ์พบว่าเป็นการทำธุรกรรมแบบทักษิณ คือ ให้หลีกเลี่ยงภาษี

แม้ว่าการจัดการนี้จะถูกต้องตามกฏหมาย แต่มันสร้างความรู้สึกที่ไม่ดีให้กับประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการหลีกเลี่ยงภาษีจากนายกรัฐมนตรีที่ร่ำรวย

ทักษิณ ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ และตอบว่า “พวกเราทุกคนในครอบครัวผมมีความปราถนาดี ลูกๆมาหาผมและบอกว่า ‘คุณพ่อกำลังถูกโจมตีเรื่องความขัดแย้งของผลประโยชน์ ถ้าเราขายหุ้นของบริษัท และคุณพ่อไม่มีบทบาทในการบริหารแล้ว คุณพ่อคงไม่ถูกโจมตีอีกต่อไป เพราะฉะนั้นการขายหุ้นนี้อาจจะเป็นผลดีกับเรา’ ดังนั้นพวกเราตกลงที่จะขาย แต่ด้วยเหตุที่ศัตรูของผมต้องการที่จะจัดการผม ความตั้งใจดีที่จะหลีกเลี่ยงความขัดแย้งของผลประโยชน์ถูกนำมาโจมตี ถ้าผมรู้ว่าเรื่องนี้จะสร้างความยุ่งยากมากมายเช่นนี้ ผมคงแนะนำเขา ‘นี่ เธอเก็บไว้เองเถอะ และนี่เธอเก็บส่วนนี้ให้ฉัน ฉันไม่ต้องการยุ่งกับมัน’ แต่เนื่องจากเรื่องมันผ่านไปแล้ว ผมจะไม่เสียใจกับมันต่อไป มันจบแล้ว”

ถึง แม้ว่าคำอธิบายนี้จะดูจริงใจ แต่อาจจะมองได้ว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมสำหรับบุรุษที่มีความทะเยอทะยาน ที่จะให้ประเทศไทยขึ้นติดอยู่บนแผนที่โลกเพื่อให้เขากลายเป็นรัฐบุรุษของโลก คนหนึ่ง ยอดสุทธิของเรื่องชินคอร์ปสำหรับผู้ที่เริ่มฟังเรื่องนี้ คือบางครั้งมันทำให้ทักษิณเป็น “ผู้น่าสงสัย” (prime suspect) พอๆกับการเป็น prime minister (นายกรัฐมนตรี)

บางทีมันเป็นความ จริงที่ว่าบ่อเกิดของการไม่ได้รับความเป็นธรรม เกิดจากการดำรงพฤติกรรมเช่นเดิมของเขา ซึ่งศัตรูของเขาใช้ป้ายสีว่าเป็นผู้ต้องสงสัยอย่างสม่ำเสมอ แม้ขณะที่เป็นนายกรัฐมนตรี เขายังคงทำงานอย่างนักธุรกิจ สิ่งซึ่งนักวิจารณ์ คนไทยจำนวนมาก รวมทั้งผู้สังเกตการณ์ภายนอก เห็นว่าเขารับเอารูบแบบ

“ซีอีโอ โมเดล” มาใช้มากเกินไป

และ ฉันสงสัยว่าว่าเขาจะตอบเช่นไรกับคำถาม “คุณคิดว่าวงการใหนโหดกว่ากันระหว่างธุรกิจกับการเมือง? หรือมันพอ ๆกัน? หรือไม่สามารถตอบได้?”

คำตอบเขา: “ในแวดวงธุรกิจมีกฏระเบียบการเล่นที่ชัดเจนที่ทุกคนเคารพยอมรับ แต่ในการเมืองโดยเฉพาะในประเทศที่เป็นประชาธิปไตยปลอม กฎระเบียบยังไม่ได้รับการเคารพยอมรับ และกรรมการผู้ตัดสินไม่เคยมีความยุติธรรม”

คนรวย คนจน: “ผมรักที่จะแก้ปัญหาให้คน”

“ตาม ที่ผมเข้าใจความคิดของคุณ คุณเชื่อว่าปัญหาความยากจนสามารถทำให้ลดน้อยลงได้อย่างมาก หากไม่สามารถกำจัดมันให้หมด นี่เป็นความคิดที่ยิ่งใหญ่ คุณเชื่ออย่างนั้นจริงหรือ?”

เขาพยักหน้า

“คุณรู้ใหมว่าคุณปู่ผมเคยพูดว่า ‘ความยากจนจะอยู่ตลอดไป’ แต่คุณเป็นคนมองเรื่องนี้ในแง่ดี เพราะเหตุใด?”

ทักษิณ ตอบว่า “ลองคิดถึงคนจนที่เกิดในชนบท ที่พ่อแม่เขาก็ยากจน มันไม่จำเป็นที่ลูกหลานเขาในรุ่นต่อไปที่จะต้องยากจนตามไปด้วย ถ้าเขาถูกเลี้ยงดูด้วยสภาพสังคมที่ดีกว่าในสมัยของพ่อแม่ หรือไม่ก็พ่อแม่เขาสามารถเลี้ยงดูให้ดีกว่าสมัยปู่ย่าของเขา สภาพเขาก็จะดีขึ้น ผลของโภชนาการที่ดี การศึกษาที่ดี และโอกาสที่ดีมีผลมหาศาล

“แต่มันต้องใช้เงิน”

เขาพยัก หน้า “ครับ ต้องใช้เงิน แต่พวกเขาไม่จำเป็นต้องได้เงินมาก คุณไม่จำเป็นต้องให้เงินครอบครัวละ ๑ ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อให้เขาร่ำรวย และเราไม่ต้องการให้เขาเป็นคนรวยอย่างง่าย ๆเช่นนั้น เราต้องการให้เขาสามารถหายใจและเจริญได้ แต่ในขณะนี้ที่เมืองไทยเขากำลังจมน้ำตาย ถ้าเราสามารถไปถีงเขาพยุงหัวให้สูงให้เขาหายใจ เขาก็จะหาทางว่ายกลับถึงฝั่งเอง เมื่อเขามีแรงแล้ว เขาจะใช้แรงของตัวเอง เขาจะไม่ยอมจมน้ำอีก เพราะเขารู้แล้วว่าการจมน้ำหายใจไม่ออกเป็นอย่างไรทรมาณแค่ใหน”

การพูดเรื่องนี้แบบไม่ต้องหายใจแสดงถึงความเชื่อมัน่ในเรื่องนี้ของทักษิณ

เขาขยับตัวแล้วกล่าวต่อ “ด้วยการช่วยพวกเขา มันไม่ใช่เหมือนกับว่าเราให้เขาทุกอย่างอย่างเปล่า ๆ ตอนนี้

เขา เหมือนผู้ป่วยพวกเขาไม่แข็งแรงแล้วเราจะให้เขาแบกน้ำหนักที่หนัก อึ้งทำไม รัฐบาลตัวโตกว่าสามารถที่จะรับน้ำหนักแทนเขาได้ระยะหนึ่ง เมื่อเขาแข็งแรงแล้วเราก็คืนน้ำหนักไป”

นี่คือประเด็นที่ทักษิณ คิดเรื่องคนจน: พยายามช่วยเหลืออย่างเป็นขั้นตอนจะมีผลระยะยาว เช่นการให้เด็กที่ไม่มีปัญญาซื้อคอมพิวเตอร์แทปเบล็ต

ทักษิณบอก ว่า “คุณต้องสร้างความแข็งแกร่งให้กับภาคคนรากหญ้า คุณต้องช่วยให้ชนบทเจริญขึ้น ถ้าคุณจะยกภาคใดภาคหนึ่งให้สูงขึ้นที่สามารถทำให้อีกภาคหนึ่งสูงตาม ไม่ใช่เฉพาะบางส่วนของเศรษฐกิจ คุณต้องยกจากด้านล่างสุด ถ้าคุณยกจากข้างล่างสุด ข้างบนก็สูงตาม วิธีนี้ไม่ได้หมายความว่าคุณละเลยเมือง ถ้าเศรษฐกิจของชนบทดีขึ้น ทุกอย่างแม้แต่การท่องเที่ยวจะดีขึ้นกว่าเดิม ถ้าเราเปรียบเทียบทั้งองค์กรของสังคมเหมือนกับร่างกาย ถ้ามีบางส่วนกำลังจะตาย ร่างกายทั้งหมดจะแข็งแรงได้อย่างไร? เราต้องเสริมกำลังความเข้มแข็งให้แต่ละภาค นั่นคือต้องพยายามช่วยเหลือคนจนจากชนบท”

ฉัน: “คุณเข้าใจคนยากคนจนได้อย่างไร?”

“ผม เติบโตมาจากชนบท ผมรู้ ผมพูดคุยกับพวกเขาเมื่อตอนเป็นเด็ก คุณพ่อผมจ้างเขามาทำสวน เขาทำงานขุดดิน ตอนกลางวันเขาทำกับข้าวทานกันเอง ทานเสร็จก็ทำงานต่อ ผมดูอาหารการกินของเขา พวกเขาไม่ได้ไปตลาด เขาจับกบที่อยู่ตามทุ่งมาทำกับข้าวกิน พวกเขาไม่มีอะไรเลย มีแต่ข้าวเปล่า พวกเขามีชีวิตอยู่ได้อย่างไร?”

ถ้าเขาเสแสร้งความปราถนาดีนี้ แสดงว่าเขาเสแสร้งได้ดีมาก

“ผม เข้าใจ ผมเห็นสิ่งเหล่านี้ เมื่อผมได้อำนาจมา ซึ่งไต่เต้ามาจากความสำเร็จทางธุรกิจมาก่อน ผมบอกว่า โอเค เราต้องทำบางสิ่งบางอย่างที่จะช่วยพวกเขา”

“บางทีอาจเป็นเพราะผม ยังมีความทรงจำที่ยังประทับใจของการอยู่ในชนบท และผมยังจำได้เมื่อตอนไปโรงเรียน ผมนั่งซ้อนท้ายข้างหลังรถมอเตอร์ไซค์ของพ่อมองทุ่งนาข้าวตามรายทาง ผมยังสามารถจำมันได้ดี และด้วยเหตุนี้กระมังผมจึงสงสารคนชนบทที่แสนจนและด้อยโอกาส เราจะสามารถให้โอกาสเขาให้มากกว่านี้ได้อย่างไร เราจะให้ความหวังแก่เขามากกว่านี้ได้อย่างไร นี่คือความรู้สึกที่แรงกล้าที่ผมอยากจะทำ”

“นี่คือความรู้สึกที่จริงจังของคุณ?”

“ใช่ ความต้องการอย่างแรงกล้าของผมไม่ใช่การเป็นนายกรัฐมนตรี ความต้องการผมคือต้องการแก้ปัญหาให้ประชาชน การเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นแค่เพียงยานพาหนะที่นำพาผมไปทำสิ่งที่ผมพยายามทำ”
บ่อเกิดคอรัปชั่น: “นั่นคือวิถีที่เขาทำกันในประเทศไทย”

ใน วันนี้ ทักษิณยอมรับด้วยตัวเองแล้วว่า ไม่มากก็น้อยปัญหาที่เขาประสบในสมัยที่เขาปกครองประเทศนั้นมาจากตัวเขาเอง ธรรมชาติที่เขาไม่ค่อยอดทน ซึ่งโดยทั่วไปเป็นบวกในแวดวงธุรกิจ ได้กลายเป็นลบเมื่อเขาพยายามที่จะสรรหาฉันทามติสำหรับแนวทางของนโยบายอัน ใหม่

ฉันเริ่มต้นสนทนาในรอบนี้ดังนี้ “ขณะนี้ผมรู้จักคุณไม่นาน แต่ผมสามารถดูออกว่าคุณเป็นคนที่แข็ง ผมอยากทราบว่ามีใครในทีมงานของคุณหรือไม่ที่กล้าเข้ามาพูดกับคุณตรง ๆว่า ‘ท่านนายกฯ ถ้าเราไม่ทำสิ่งเหล่านี้หรือสิ่งเหล่านั้น เราจะมีปัญหาร้ายแรงอย่างแน่นอน’ ผมคิดว่าคงไม่มีใครที่กล้าเสนอเช่นนั้นกับคุณ”

เขาถอนหายใจอย่าง เบาๆ และพยักหน้า: “นี่คือจุดอ่อนของสังคมไทย คนไทยไม่กล้าพูดในสิ่งที่เป็นเชิงลบกับเจ้านาย สิ่งที่เป็นเชิงลบหรือความเห็นที่เป็นลบที่อาจทำให้เจ้านายไม่พอใจ พวกเขาจะพยายามหลีกเลี่ยง”

“ใช่”

“แต่ผมมีคนคนหนึ่งที่คอยพูดในสิ่งที่จำเป็นจะต้องพูด แต่เธอไม่ได้อยู่กับผมตลอดเวลา เธอคือภรรยาของผม”

ผมหัวเราะอย่างเข้าใจ ผมก็มี สิ่งหนึ่งที่ทักษิณอยากให้มีการแก้ไขคือเรื่องค่าตอบแทนเรื่องเงินเดือนของข้าราชการ

“คุณ รู้ใหมว่าเงินเดือนของนายกรัฐมนตรีเท่าไหร่? แค่ ๓ พันเหรียญสหรัฐ ไม่มีบำนาญ คุณรู้ใหมผมจ่ายค่า รปภ. เดือนละเท่าไหร่? เขาให้ รปภ.ผม ซึ่งเป็นข้าราชการ ผมเลยจ่ายเขาเพิ่ม ทั้งหมด ๑๕,๐๐๐ เหรียญต่อเดือน เฉพาะ รปภ.”

“จากเงินส่วนตัวของคุณ?”

“และผมมีเงินเดือนแค่ ๓,๐๐๐ เหรียญต่อเดือนฐานะนายกรัฐมนตรี”

“คน ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีได้คือคนที่มีฐานะดีอยู่แล้วหรือเป็นคนที่มีรายได้ จากที่อื่น จะพูดอย่างไรดี จากที่ๆบอกหลักฐานไม่ได้ นั่นเป็นสูตรสำหรับรัฐบาลที่ไม่ดี”

“นี่คือวิถีที่เป็นในประเทศไทย”

“มัน ไม่ถูก ถ้าคุณไม่ให้เงินเดือนเขาอย่างเหมาะสม ไม่ใครก็ใครต้องจ่ายให้เขาให้พอ ผมว่ามันน่าหัวเราะ คุณอยู่ไมได้หรอกเงินเดือนแค่นี้ถ้าไม่รวยอยู่แล้ว แต่ถ้าคุณไม่รวยอยู่แล้วไม่ใครก็ใครก็ต้องจ่ายให้เขาพออยู่ได้”

“เขา ต้องทำตัวให้เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่และฐานะทางสังคม ถ้าเขาไม่มีรายได้พอพียง เขาก็จะหาจากที่อื่น ไม่อย่างนั้นเขาจะอยู่ได้อย่างไร? เราต้องรับความจริงข้อนี้”

“มันก็จะเป็นบ่อเกิดของการคอรัปชั่น”

“ถูกต้อง คุณกำลังบังคับเขาให้คอรัปฯ”

“และนี่คือสิ่งที่จะต้องแก้ไข?”

“ถูกต้อง”

สมานฉันท์เพื่อกลับบ้าน: “ร่างกายของผมอยู่ดูไบ จิตวิญญาณผมอยู่ที่เมืองไทย”

ทักษิณนั่งอยู่ด้านซ้ายของโซฟาในห้องนั่เล่น โดยปรกติเขาจะนั่งพิงหลังแต่ตอนนี้เขยิบมาอยู่ที่ขอบข้างหน้าแล้ว

“ดังนั้น ผมคิดว่ามีสิ่งเดียวที่เราสามารถทำในเรื่องนี้คือขอการสมานฉันท์ พวกเขากลัวผม พวกเขาไม่ไว้ใจว่าว่าผมไม่ต้องการแก้แค้น”

ฉัน ถาม: “เมื่อไหร่ที่คุณกลับไป คุณจะให้สัญญาได้ไหมกับทหาร พธม. และคนอื่นๆ ที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามเรื่อง นิรโทษกรรม? การไห้อภัยซึ่งกันและกัน?”

“ครับ ได้”

“ไม่มีการล่าแม่มด?”

“ไม่ มีการล่าแม่มด ผมคิดว่าการให้อภัยเป็นกุญแจสำคัญ ผมเชื่ออย่างนั้นจริง ๆ ผมต้องการให้อภัยและอยากให้คนทั้งประเทศให้อภัยซึ่งกันละกัน เพราะถ้าคุณไม่มีการให้อภัย การประนีประนอมไม่เกิด ประเทศก็จะไม่เป็นหนึ่งเดียวอีกต่อไป”

ฉันถามต่อ “แต่มีบางคนบอกว่าสี่งที่จะทำให้ประเทศไทยดีขึ้นคือทักษิณบอกว่า ‘ผมจะไม่กลับประเทศไทยอีก’ แต่คุณไม่เคยพูดเช่นนั้นเพราะจริงๆแล้วคุณต้องการที่จะกลับไป”

“ผมต้องการกลับไปอย่างแน่นอน”

“เข้าใจ เพราะคุณคิดว่าการที่คุณกลับไปจะเป็นผลดีกับประเทศไทยกว่าการไม่กลับ?”

“ถ้า ผมได้กลับไป กลุ่มคนที่ต่อต้านผมขณะนี้จะหยุด และถ้าผมกลับไปอย่างไม่มีการล้างแค้น ให้อภัยกับทุกคน คนที่ไม่ชอบผมก็จะรู้สึกดีขึ้น”

“ถ้าคุณกลับจำเป็นหรือไม่ที่ ต้องกลับไปเล่นการเมืองเป็นนายกรัฐมนตรีอีก? คุณสามารถเป็นแค่พี่เลี้ยงได้หรือไม่เหมือนลี กวนยูของสิงคโปร์ที่เคยเป็นปีๆ”

“ผมไม่จำเป็นต้องเป็นอะไร”

“คุณสามารถกลับไปเป็นแบบซอนเนีย คานธี ผู้มีอำนาจเบื้องหลังของของอินเดีย?”

เขา ถอนหายใจ มองออกนอกหน้าต่าง: “คนบางคนอาจจะไม่สบายใจถ้าผมกลับและมีอำนาจทางการเมืองจะโดยตรงหรือโดยอ้อม แต่ผมสามารถเสนอว่าผมอยู่ในตำแหน่งไหนก็ได้ โดยไม่ต้องเกี่ยวข้องตัวเองกับการเมือง ผมต้องการพิสูจน์ว่าผมไม่รังเกียจแต่ผมต้องการที่จะพิสูจน์ว่าผมเป็น ประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน”

(นับตั้งแต่การเลือกตั้งทั่วไป เมื่อปีที่แล้วที่ยกยิ่งลักษณ์น้องสาวเขาให้ เป็นนายกรัฐมนตรี สื่อได้รายงานว่าทักษิณเป็นผู้อยู่หลังฉากชักใยทางการเมือง)

“แต่ทำไม”

“เพราะ ผมห่วงคนจน และเพราะผมรู้สึกเป็นหนี้พวกที่สนับสนุนผมซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนจน และผมยังรู้สึกเสียใจต่อนักธุรกิจที่ต้องเดือดร้อนกับภาวะเศนษฐกิจไทยตกต่ำ ผมเป็นหนี้เขา เขาต่อสู้ให้ผม เขาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ผมยังจะต้องมอบพลังของผมที่ยังเหลืออยู่ทำงานตอบแทนหนี้เขา”

เขา พูดต่อ: “ผมเชื่อว่าสถานะการณ์เช่นนี้ไม่สามารถถูกปล่อยให้เป็นอยู่อย่างนี้ออกไป นานๆ การปรองดองต้องเกิดขึ้นแน่นอน ถ้าการปรองดองเกิด ซึ่งก็หมายความว่าผมกลับบ้านได้ เมื่อกลับไปแล้ว ผมควรที่จะได้รับการแต่งตั้งตำแหน่งอะไรก็ได้ที่จะเป็นประโยชน์สำหรับประเทศ และประชาชน”

“คุณกำลังบอกว่าคุณจะมีความสุขมากที่ได้กลับไปเมือง ไทยแม้ไม่ได้เป็นนายก รัฐมนตรี แต่มีตำแหน่งที่ต่ำกว่า กว่าการอยู่ที่ดูไบอีก ๑๐? ที่นี่รื่นรมย์นะ แต่จิตวิญญาณคุณเจ็บปวดอยู่ในความทุกข์ทรมานที่นี่”

“ถูกต้อง ถูกต้อง ร่างกายผมอยู่ที่ดูไป จิตวิญญาณผมอยู่เมืองไทย”

ปฏิบัติการของน้องสาว: “ผมมั่นใจทุกอย่างจบด้วยดี”

วันนี้ทักษิณ ชินวัตรจะเป็นคนแรกที่ยอมรับว่าบุคคลที่เหมาะสมที่จะขับเคลื่อนระบอบทักษิณให้ก้าวหน้าอาจจะไม่ใช่คนชื่อทักษิณ

บุคคลที่ดีเลิศและเหมาะสมอาจจะเป็นน้องสาวคนสุดท้องที่ชื่อยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศ ทักษิณพูดว่าคำว่า “หุ่น”

ทักษิณกล่าวว่า: “เธอทำงานดีเกินคาด ซึ่งทุกคนรวมทั้งตัวผมเองและครอบครัวคิดไม่ถึง แม้แต่พรรคก็แปลกใจ”

ทุก วันนี้มองจากหลายๆ ด้านน้องสาวคนเล็กน่าสนใจกว่าพี่ชายคนโต ผู้เฝ้ามองเธออยู่ด้วยความชื่นชมและห่วงใย เขาบอกว่า เมื่อมองย้อนกลับไป เธอมีมนุษยสัมพันธ์ มีเสน่ห์ มีสัญชาตญาณทักษะการจัดการองค์กร ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้แปลงเป็นประโยชน์ต่อการเมือง

เธอมี ประสบการณ์เป็นผู้บริหารบริษัทอย่างกว้างขวางในบริษัทในเคลือทักษิณ ซึ่งอยู่ในอาณาจักรธุรกิจชิน ที่รู้จักกันดีคือเป็นประธานบริษัท AIS ซึ่งครั้งหนึ่งเป็นบริษัทมือถือที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง แต่เขารู้ว่ารากฐานที่โตมาจากชนบทไม่สามารถถูกชะล้างออกได้จากความสำเร็จของ เธอในทางธุรกิจ “เธอเข้าใจชนทุกชั้น” เขาว่า

“เธอคือแธทเช่อร์ที่นุ่มนวลและทันสมัย”

ทักษิณ เป็นกองเชียร์ที่ใหญ่ที่สุดของเธอ แน่นอน: “เธอไม่มีสัมภาระทางการเมืองและเธอเป็นสุภาพสตรีด้วย เธอจึงสามารถพูดคุยกับทุกคนง่ายกว่าผู้ชายที่มีประวัติการเมืองอันยาวเหยียด ผมไม่อยู่ในฐานะที่ดีกว่าเธอที่จะเสนอเรื่องการสมานฉันท์”

แล้ว เรื่องการลอบสังหารผู้นำหละ? การเป็นสุภาพสตรีไม่ได้ช่วยป้องกันเรื่องนี้เลย ดูอย่างเบนนาเซีย บูโตของปากีสถานที่ประสบจุดจบอันน่าเศร้าเช่นนั้น แต่ทักษิณคิดว่าวัฒนธรรมของสังคมไทย และเพศของเธอช่วยเป็นภูมิคุ้มกัน” เขาเพิ่มเติม “ยิ่งลักษณ์กล้าหาญมาก”

“ผมสามารถบอกคุณได้ว่าผมมองใน แง่ดี ผมมั่นใจว่าทุกอย่างจะลงเอยด้วยดี ผมหวังว่าอย่างงั้น เขาพยายามฆ่าผม ๔ ครั้ง ผมยังมีชีวิตอยู่ ผมยังมีภาระกิจที่ยังทำไม่เสร็จ”

การ ที่ยิ่งลักษณ์ผงาดอยู่ในเวทีการเมืองระดับชาติอย่างน่าตื่นใจ มีรากฐานจากวัฒนธรรม(ทางการเมือง)ของครอบครัวเธอ เธอกำลังช่วยขัดภาพพจน์และมรดกครอบครัวของเธอ นี่เป็นสิ่งที่คนไทยหลายๆคนเคารพ พวกเขารู้ว่าเธอสามารถอยู่ข้างหลังฉากการเมืองได้โดยให้ผู้อื่นรับความร้อน แรงทางการเมืองแทน แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ดูเหมือนว่ายิ่งลักษณ์ จะลงเล่นเกมส์เองอย่างเต็มที่

แสดงเมื่อ 1/30/2012 01:48:00 หลังเที่ยง

1 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

At this time it seems like Expression Engine is the top blogging platform available right now.
(from what I've read) Is that what you're using
on your blog?

Also visit my blog :: signalling

แสดงความคิดเห็น

รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง