บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2555

"นวลน้อย" ชี้โครงสร้างประเทศเอื้อนักการเมืองแสวงหาประโยชน์


นวลน้อย ตรีรัตน์
ศูนย์ข้อมูลและข่าวสืบสวนเพื่อสิทธิพลเมือง (TCIJ) ร่วมกับสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย จัดเสวนาในหัวข้อเรื่อง "ขุมทรัพย์นักการเมือง" โดยเชิญ 3 วิทยากร ได้แก่ ศ.ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช อดีตกรรมการปฏิรูปประเทศ, ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และ นวลน้อย ตรีรัตน์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ศูนย์ข้อมูลและข่าวสืบสวนเพื่อสิทธิพลเมือง (Thailand Information Center for Civil Rights and Investigative Journalism: TCIJ) ร่วมกับสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย จัดเสวนาในหัวข้อเรื่อง “ขุมทรัพย์นักการเมือง” โดยเชิญ 3 วิทยากร ได้แก่ ศ.ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช อดีตกรรมการปฏิรูปประเทศ, ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และ นวลน้อย ตรีรัตน์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยทั้งสามได้ร่วมกันฉายภาพแหล่งขุมทรัพย์ทางการเมืองที่สำคัญ โดยไล่เรียงทั้งในเชิงประวัติศาสตร์จนถึงโครงสร้างทางการเมืองและเศรษฐกิจ ของประเทศ
 
ศูนย์ข้อมูลและข่าวสืบสวนเพื่อสิทธิพลเมือง (TCIJ) สรุปสาระสำคัญมานำเสนอดังนี้ 
 
นวลน้อย ตรีรัตน์
“เวลาที่เราพูดถึงขุมทรัพย์นักการเมือง เราจะพบว่าข้อที่หนึ่งรูปแบบที่จะเอาทรัพยากรส่วนรวมไปเป็นของตัวเองมันมี รูปแบบที่หลากหลาย ถ้าเราย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์จะพบว่ามีอยู่ 2 เรื่องเท่านั้น หนึ่งทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศว่าไปทางไหนอย่างไร โครงสร้างทางเศรษฐกิจเป็นอย่างไร เพราะเราปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นแหล่งที่มาของเงินที่เข้าไปฉกฉวยกัน อันที่ 2 คือนโยบายของรัฐบาลซึ่งมักจะสอดคล้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจนั่นเอง เพราะฉะนั้นถ้าเราเห็นสองอันนี้เราก็จะเข้าใจแหล่งที่มาของเงินของพรรคการ เมืองทั้งหลาย
 
“ถ้าเรามองกลับไปจุดที่เราเริ่มพัฒนาประเทศตั้งแต่เรามีแผนพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เราก็จะพบคำถามว่ายุคนั้นการคอร์รัปชั่นเกี่ยวข้องกับเรื่องอะไรบ้าง การคอร์รัปชั่นที่ใหญ่ๆ ในสมัยนั้นซึ่งยังมีสงครามเย็น มีเรื่องของงบราชการลับเยอะ เพราะฉะนั้นการเบียดบังเงินงบประมาณโดยตรงจะมีเยอะมาก แล้วก็จะมีการเบียดบังเงินงบประมาณในโครงการก่อสร้าง เพราะเรามีการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานเยอะแยะ
 
“อีกเรื่องที่เป็นเรื่องใหญ่คือการยึดทรัพย์สินสาธารณะมาเป็นของตัวเอง มีการยึดที่ดิน ยึดป่า เป็นจำนวนมาก และเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจ หลังจากที่ศึกษาเรื่องพวกนี้มาพอสมควร เราคิดว่ามันน่าจะหมดไป แต่น่าประหลาดใจว่าการยึดทรัพย์สินสาธารณะมาเป็นของตัวเอง ยังเป็นเรื่องที่มีการต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน จึงไม่ประหลาดใจเลยที่จะเห็นว่า การเปิดเผยเรื่องที่ดินสาธารณะ การบุกรุกที่ป่า ไม่ว่าจะที่สวนผึ้ง วังน้ำเขียว หรือที่ไหนก็ตาม เราจะพบเลยว่าตัวใหญ่ที่สุดจะเป็นนักการเมือง แล้วก็จะมีผู้มีอำนาจอื่นๆ เข้าไปผสมโรง แล้วก็จะมีธุรกิจ ชนชั้นกลาง ชาวบ้าน ผสมโรงเป็นเครือข่าย ซึ่งทรัพย์สินสาธารณะก็จะถูกยึดครองกันไปเรื่อยๆ
 
“ถามว่าแล้วยุคต่อๆ มา เช่นยุค 80-90 การเบียดบังงบประมาณหรืองบลับไม่ค่อยมีแล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะมาแทนคือการโครงการพัฒนา ในโครงการพัฒนาทั้งหลายค่าหัวคิวต่างๆ ก็จะออกมา ค่าหัวคิวเมื่อก่อนอาจจะสัก 10-15 เปอร์เซ็นต์ แต่ยุคสมัยนี้สูงมากเลย 20-30 เปอร์เซ็นต์ จนทำให้พบว่า ยิ่งการเมืองไม่มีเสถียรภาพมากเท่าไหร่ เปอร์เซ็นต์พวกนี้จะยิ่งสูง
 
“และเมื่อเรายิ่งเข้าสู่สมัยใหม่ที่เรามีการพัฒนา เคสก็จะมีเพิ่มมากขึ้น การใช้แหล่งระดมเงินในเศรษฐกิจสมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นก็จะเป็นกรณีที่ทำกันอยู่มากมาย แล้วหลายคนก็มีการตั้งข้อสมมติฐานว่าทุกครั้งที่จะมีการเลือกตั้ง ตลาดหุ้นก็จะมีความผันผวนมากหน่อย คำถามว่าเป็นเพราะอะไร มีความพยายามที่จะพิสูจน์ แต่ก็ต้องยอมรับว่าการพิสูจน์ในตลาดหุ้นซึ่งมีการซื้อขายเยอะมาก บางทีมันจับไม่ง่าย แต่ถามว่ามีร่องรอยมั้ย มี ซึ่งมันต้องการการตรวจสอบกันไป
 
“อย่างกรณีปิกนิคถือว่าเป็นรายที่ทำกันอย่างโจ๋งครึ่ม จับไม่ยากเท่าไหร่ แต่ก็มีหลายกรณีที่มีแต่ข่าวลือ แต่ถ้าไปถามคนในวงการตลาดหุ้นเขาก็จะให้ข้อมูลที่เขาค่อนข้างมั่นใจ แต่ก็ลำบากเหมือนกันที่จะตรวจสอบ ตลาดหุ้นเอง นอกจากที่คุณประสงค์พูด มันมีงานศึกษาอันหนึ่งซึ่งกำลังจะเสร็จแล้ว เขาไปศึกษาการฟื้นฟูกิจการ ในปี 40 เรามีกิจการที่ล้มเยอะ เขาดูว่ากิจการประเภทไหนที่ฟื้นฟูสำเร็จ ก็พบว่ากิจการใดที่มีการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้อง มีเครือญาติที่เกี่ยวข้องกับการเมือง กับกลุ่มที่ไม่อิงการเมือง ข้อเท็จจริงประการหนึ่งคือกลุ่มแรกใช้ระยะเวลาในการฟื้นฟูเร็วกว่า แต่ว่าการถือครองไว้จะถือครองสั้นกว่า ปั่นหุ้น รีบขาย แล้วก็ออก
 
“เราก็จะเห็นว่าการเมืองเข้าไปแทรกในทุกๆ เรื่อง หรือมีงานศึกษาที่พูดชัดเจนที่พบว่าในประเทศกำลังพัฒนา บริษัทใดที่มีการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องจะเป็นบริษัทซึ่งสามารถเข้าถึงแหล่ง เงินทุนได้ง่ายกว่าบริษัททั่วไป
 
“เหล่านี้ก็เป็นตัวอย่าง ทีนี้อาจจะมีตัวอย่างอื่นๆ อีก เราจะพบว่าในช่วงหลังจะมีโครงการแปลกและพิสดาร เรามักจะคุยกันในหมู่นักเศรษฐศาสตร์ว่าจะดูยังไง ก็คิดว่าเรามีข้อสันนิษฐานข้อหนึ่งคือว่าโครงการประเภทไหนที่ทำแล้วผลตอบแทน ทางเศรษฐกิจใช้ไม่ได้ มีปัญหามาก โครงการนั้นพูดได้เลยว่ามักจะมีร่องรอยของการคอร์รัปชั่นแน่นอน มักจะมีคำพูดคำหนึ่งที่นักการเมืองจะติดปากเลยคือ โครงการนี้ทำเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน แต่ถามว่าสิ่งที่ประชาชนได้กับสิ่งที่สังคมต้องจ่าย ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของงบประมาณหรืออะไรก็ตามมันเท่ากันหรือเปล่า มันเป็นสิ่งที่ประชาชนได้ไปทั้งหมดหรือเปล่า ถ้าอันไหนเป็นสิ่งที่ประชาชนได้ไปทั้งหมดก็แปลว่าโครงการนั้นไม่มีปัญหา ใช้ได้ แต่โครงการไหนที่ประชาชนไม่ได้ ต้องจ่ายเงินเยอะ ก็รู้ไว้เถอะว่ามีการรั่วไหล
 
“แม้กระทั่งโครงการรับจำนำข้าวก็ได้มีงานวิจัยได้ตีแผ่ว่าใครเป็นผู้ ได้บ้าง คำตอบที่ได้คือผู้ที่ได้คือผู้ส่งออกรายใหญ่ ชาวนารายใหญ่ แต่ชาวนารายย่อยซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ได้น้อยมากหรือเข้าไม่ถึงเลย นอกจากนั้นแล้ว เมื่อเอาผลประโยชน์มารวมกันจากสิ่งที่รัฐต้องจ่ายมันขาดทุนทุกขั้นตอน ตั้งแต่ขั้นตอนการรับจำนำ การขาย ค่าเช่าโกดัง เพราะฉะนั้นสุดท้ายแล้วเงินที่ใช้ในโครงการรับจำนำไปอยู่ที่ใคร นั่นคือสิ่งที่เสียไป ชาวบ้านได้เงินหรือเปล่า ก็ไม่ได้ แล้วใครได้
 
“แล้วก็เรื่องท้องถิ่น คือโดยทั่วไปในทางวิชาการ เราถามว่าขุมทรัพย์ที่เกี่ยวกับการคอร์รัปชั่น มันมีแหล่งที่มายังไง เราจะพบว่ามี 2 ส่วนเท่านั้นเอง ประเภทหนึ่งคือส่วย จัดซื้อจัดจ้าง หัวคิว ส่วยจากธุรกิจผิดกฎหมาย คำถามคือแล้วไปเกี่ยวข้องยังไง ส่วนหนึ่งก็คือว่าเป็นเครือข่ายของนักการเมืองเอง อีกส่วนหนึ่งเป็นการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ แต่ถามว่าการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ในการหาเงินจากธุรกิจที่ผิดกฎหมาย นักการเมืองมีเอี่ยวมั้ย นักการเมืองก็จะมีเอี่ยวโดยผ่านการซื้อขายตำแหน่ง เพราะฉะนั้นในหน่วยงานใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจผิดกฎหมายเยอะ เราก็จะพบว่าการซื้อขายตำแหน่งในหน่วยงานนั้นจะสูงมากๆ
 
“อันที่สอง ตามหลักเศรษฐศาสตร์เราเรียกว่าค่าเช่าทางเศรษฐกิจ คือการใช้นโยบายเพื่อหาส่วนเกินทางเศรษฐกิจนั่นเอง ตรงนี้จะพบว่ามาจากนโยบายที่เอื้อประโยชน์ รวมถึงสัมปทานด้วย นโยบายที่เอื้อประโยชน์ต่างๆ ถ้าอ่านในคำตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง แม้ว่าในทางกฎหมายยังถกเถียงกัน กระบวนการกฎหมายมีปัญหาหรือไม่ อะไรก็แล้วแต่ เพราะเมื่อนักกฎหมายบางท่านเข้มงวดว่าถ้ากระบวนการบางส่วนไม่ถูกต้องก็ทำไม่ ได้เลย แต่ดิฉันเป็นนักเศรษฐศาสตร์ไม่ได้มองตรงนั้น ดิฉันมองว่าในแต่ละกรณีมันใช่หรือเปล่า ในคำตัดสินเราจะเห็นว่ามันเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่ธุรกิจเพื่อให้ได้รับ ผลประโยชน์ส่วนเกินที่มากกว่าธุรกิจทั่วไปจะได้รับ สิ่งเหล่านี้แหละเราเรียกว่าค่าเช่าทางเศรษฐกิจ ซึ่งเราจะพบว่าในช่วงหลังมันมีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย แต่การคอร์รัปชั่นประเภทกินหัวคิวไม่ได้หมดไป
 
“อีกอย่างที่คุณประสงค์พูดถึงงบท้องถิ่น เป็นที่น่าประหลาดใจนะคะว่า มีการกำหนดว่าเงินที่จะจัดสรรให้ท้องถิ่นจะต้องมีเป็นสัดส่วนเท่าไหร่ของราย ได้งบประมาณ ต้องไม่ต่ำกว่า 25 เปอร์เซ็นต์ และต้องมีทิศทางที่เพิ่มขึ้น ดูเหมือนกับว่าเวลาที่จะตัดสินใจงบประมาณในสภาก็ไม่ควรจะไปแตะเพราะเป็นส่วน ที่กำหนดไว้แล้ว แต่ในข้อเท็จจริงมันก็มีวิธีการ ยกตัวอย่างเช่นเมื่อเสนอขึ้นมาว่ารายได้ของท้องถิ่นต้องเป็นเท่านี้ รายได้ของท้องถิ่นก็จะประกอบไปด้วยส่วนที่เป็นภาษี ภาษีท้องถิ่น ภาษีที่รัฐบาลแบ่งให้ และก็มีอีกส่วนหนึ่งเราเรียกว่า เงินอุดหนุน เพราะว่าส่วนของภาษีอาจจะไม่ถึง 25 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นจึงต้องมีเงินอุดหนุนใส่เข้าไป เมื่อใส่เข้าไปเขาก็จะพยายามทำให้เป็นเงินอุดหนุนประเภททั่วไป เพื่อให้เป็นอำนาจของท้องถิ่น แต่เวลาเข้าไปในสภา หลายๆ ปีที่ผ่านมา สภาก็ตัดงบเงินอุดหนุนลง เมื่อตัดลงประเด็นก็เกิดขึ้นว่าสัดส่วนไม่ได้ ทำยังไง ก็มีการแปรญัติไปเพิ่มเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ ประเด็นคือเงินอุดหนุนเฉพาะกิจเป็นเงินที่ต้องเสนอโครงการเข้ามา เพราะฉะนั้นก็มีกระบวนการวิ่งกัน คิดดูแล้วกันว่าใครที่มาดูตรงนี้จะได้เท่าไหร่ มีข่าวลือกระทั่งว่ามีการตกลงกันว่าถ้าจะเอาอันนี้เสนอเข้ามาต้องมีค่าหัว คิวเท่าไหร่ มันแสดงให้เห็นว่าแม้จะมีการกระจายอำนาจ นักการเมืองก็สามารถเข้าไปแทรกได้อยู่ดี
 
“การคอร์รัปชั่นในภายภาคหน้าที่เราจะเจอมากมีอยู่ 3 เรื่องด้วยกันคือ หนึ่ง การเสนอทำโครงการขนาดใหญ่ เช่น พวกโครงการรถไฟฟ้าทั้งหลาย ซึ่งต้องใช้เงินกู้ เมื่อเป็นอย่างนี้ระเบียบก็ไม่เหมือนเดิม ซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องติดตาม ประเด็นที่ 2 คือโครงการประชานิยมที่บอกว่าแก้ปัญหาความเดือดร้อน เราจะพบเลยว่าการประกาศภัยพิบัติจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วตอนหลังจะเป็นแบบนี้ คือในพื้นที่จำนวนหนึ่งของประเทศไทยเคยทำเกษตรล็อตเดียว เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้วนะคะ เดี๋ยวได้รับคำบอกเล่าให้ทำไปเถอะ เพราะจะทำรอบหนึ่งก็ประกาศภัยแล้งได้รอบหนึ่ง คือไปถามชาวบ้านว่าทำได้ยังไง อดีตก็ไม่เคยทำ มาทำแล้วจะคุ้มเหรอ เขาบอกว่าไม่เป็นไรก็ทำแล้วทิ้งไง เดี๋ยวประกาศภัยแล้งก็ได้เงินมา คิดต่อไร่ไป ซึ่งก็มีการกินหัวคิว เพราะฉะนั้นจะมีโครงการประเภทช่วยประชาชน ซึ่งเราก็เห็นตัวอย่างมาหลายอันแล้ว อย่างโครงการชุมชนพอเพียงที่เมื่อก่อนก็เรียกว่าเอสเอ็มแอล พอมาสมัยรัฐบาลสุรยุทธ์ก็แก้เป็นชุมชนพอเพียง แล้วก็พบร่องรอยการทุจริตเพราะเล่นเอาแคตตาล็อกไปให้ชุมชนดูเลยว่าคุณจะทำ อะไร แล้วก็จะมีโครงการเหล่านี้มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่าตอนนี้นักการเมืองแข่งกันว่าจะเสนออะไรที่ช่วยเหลือประชาชน ซึ่งเราต้องรู้ให้ทัน
 
“แล้วที่ตอนนี้เป็นวิวาทะกันเยอะคือการแทรกแซงตลาด แล้วสุดท้ายเราก็จ่ายแพงขึ้นเยอะ อย่างกรณีน้ำมันปาล์ม ในการแทรกแซงตลาดก็จะพูดถึงการช่วยเหลือประชาชนไม่ต้องจ่ายแพง แต่เมื่อถามว่ามีความสมเหตุสมผลมั้ย ทำไมเราต้องเผชิญกรณีน้ำมันปาล์ม สุดท้ายแล้วใครได้ประโยชน์ แล้วก็คงมีโครงการอื่นๆ อีกเยอะ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่รัฐบาลพยายามจะช่วยประชาชนโดยฝืนกลไกตลาด ไม่มีทางหรอก เพราะหนึ่งรัฐบาลไม่มีทางข้อมูลที่ครบถ้วน มีการพิสูจน์แล้วว่าโดยทั่วไปภาครัฐมักจะมีข้อมูลทางเศรษฐกิจน้อยกว่าภาค เอกชน เมื่อมีข้อมูลน้อยกว่าการจะทำให้ได้ดีมันก็ยากแล้วในตัวมันเอง แต่ประเด็นที่สองก็คืออาศัยจุดนี้เพื่อไปฉกฉวยผลประโยชน์ต่างๆ เป็นสิ่งที่เราคงต้องจับตามอง
 
“คำถามก็คือหลังจากเราพูดเรื่องนี้ไปแล้ว ควรจะทำอย่างไร ดิฉันยังเชื่อว่าการเปิดเผยข้อมูลเป็นเรื่องสำคัญมาก และวันนี้ที่มาก็เพราะอยากจะสนับสนุนการทำเว็บไซต์นี้ การที่ต้องมีฐานข้อมูลจะต้องทำอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญ ถามว่าความสำเร็จในการต่อสู้กับคอร์รัปชั่นในประเทศเกาหลีอยู่ที่ไหน ทั้งหมดตอบได้ตรงกันเลย เพราะว่ามีการทำผังข้อมูลทางการเมือง ผังข้อมูลระบบศาล มีการทำผังข้อมูลหลายเรื่อง ทำกันอย่างลึกเลย แล้วมันตรวจสอบได้ โดยเฉพาะในสังคมไทยที่มักจะพูดว่าทุกคนลืมง่าย เพราะฉะนั้นการทำฐานข้อมูลไว้จะเป็นการทำให้การตรวจสอบทำได้ดีขึ้น ถามว่าฐานข้อมูลนั้นควรจะเป็นอะไรบ้าง ดิฉันคิดว่าการทำฐานข้อมูล เช่น ผู้บริจาคให้พรรคการเมืองอาจจะไม่มีอะไรก็ได้หรืออาจจะมีก็ได้ การทำฐานข้อมูลเพื่อให้เราสอบย้อนหลังได้ ฐานข้อมูลที่ปรึกษา กลุ่มธุรกิจที่มีความใกล้ชิด
 
“การแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นไม่ใช่แก้ปีสองปี ดิฉันคิดว่าคงต้องแก้กันสิบยี่สิบปี ถ้าเรายิ่งเริ่มช้าเท่าไหร่ก็ยิ่งต้องใช้เวลาในการแก้นานเท่านั้น เพราะฉะนั้นการทำฐานข้อมูลเหล่านี้เอาไว้มันจะเป็นประโยชน์ ถ้าเราเชื่อในเรื่องการสืบสวนสอบสวน ใครทำอะไรไว้จะต้องทิ้งร่องรอยใช่มั้ยคะ ก็เก็บไปเถอะ ร่องรอยเหล่านี้จะปรากฏ ทีนี้ถ้ามีคนทำตรงนี้ก็คิดว่าจะเป็นประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อมวลชนบ้านเราแข่งกันด้วยความเร็ว แต่ไม่ได้แข่งกันด้วยคุณภาพ อันนี้ต้องยอมรับนะคะ เพราะฉะนั้นสื่อมวลชนจะเผชิญอยู่สองอย่าง อันที่หนึ่ง ด้วยความเร็วสื่อต้องรีบรายงาน สอง สื่อก็กลายเป็นเครื่องมือ ใครอยากจะปล่อยข่าวอะไรก็ได้เลย เพราะสื่อกลัวจะตกข่าว แต่ไม่มีการตรวจสอบข้อมูล การที่จะมีฐานข้อมูลต่างๆ ไว้มันก็จะเป็นเครื่องมือสำหรับสื่อมวลชนสามารถตรวจสอบและทำข่าวเชิงลึกได้ อย่างรวดเร็ว เพราะดิฉันจะบอกว่าเธอต้องพัฒนาคุณภาพโดยไม่มีการสร้างเครื่องมือที่มีต้น ทุนต่ำ เราก็ไม่สามารถไปถึงตรงนั้นเพราะสื่อมวลชนเองก็มีข้อจำกัดเยอะ เพราะเรายังไม่ได้ลงแรงในการสร้างฐานบางอย่าง สร้างเครื่องมือบางอย่าง เพื่อให้สื่อมวลชนเข้าถึงง่าย คือถ้ามีเครื่องมือเหล่านี้ดิฉันเชื่อเลยว่าสื่อจะทำข่าวได้เร็วอย่างที่ ต้องการและก็มีคุณภาพขึ้น
 
“อีกฐานข้อมูลหนึ่งที่สำคัญ ทรัพย์สิน หนี้สิน ถึงแม้ว่าเดี๋ยวนี้นักการเมืองจะฉลาดขึ้น เก็บไปก็ไม่มีอะไร ไม่แน่อีก 4 ปีข้างหน้าเขาอาจจะหลุดอะไรไว้ก็ได้ ถ้าเราเชื่อว่าใครทำอะไรไว้ต้องมีร่องรอย
 
“ประเด็นต่อมาที่อยากพูดกับสื่อมวลชน ดิฉันเข้าใจว่าเรื่องคอร์รัปชั่นตอนนี้เป็นเรื่องใหญ่ของโลกด้วย ถ้าเราเปิดเข้าไปดูในเว็บไซต์ของธนาคารโลกปรากฏว่าเรื่องการต่อต้าน คอร์รัปชั่นเป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะเป็นเรื่องที่สะท้อนถึงอำนาจผูกขาดทางการเมือง เมื่อมีอำนาจผูกขาดทางการเมืองก็จะสามารถแสวงหาผลประโยชน์ต่างๆ ได้ คอร์รัปชั่นจึงเป็นเรื่องใหญ่ และจะเป็นว่าเรามีการประกวดข่าว ข่าวส่วนใหญ่ที่ส่งเข้าประกวดคือข่าวคอร์รัปชั่นเกือบทั้งนั้นและก็เป็น อย่างนี้มาหลายสิบปีแล้ว แต่ดิฉันก็อยากจะตั้งคำถามว่าคุณมีเซ็คชั่นของข่าวคอร์รัปชั่นมั้ยในสื่อ ต่างๆ ดิฉันเข้าใจว่าไม่มี ส่วนใหญ่ก็เป็นโต๊ะการเมือง โต๊ะเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้นเราอาจต้องคิดอะไรที่แตกต่าง เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่แล้วต้องการคนที่มีความเชี่ยวชาญชำนาญและทำ อย่างต่อเนื่อง เป็นข้อเสนอนะคะว่าน่าจะทำเรื่องนี้ขึ้นมา
 
“ข้อเสนอการปราบคอร์รัปชั่นมีเยอะ แต่หลักๆ คือการเมืองต้องแก้ โดยเฉพาะเมื่อไหร่ก็ตามที่เกิดอำนาจรวมศูนย์ คือถ้าเราเชื่อว่าประชาธิปไตยที่แท้จริงอำนาจต้องไม่รวมศูนย์ ตรงนี้จะเป็นตัวที่ช่วยได้ แต่เมื่อไหร่ที่อำนาจรวมศูนย์เราก็จะพบว่าคอร์รัปชั่นก็จะสูงไปด้วย ตรงนี้เองเขาถึงบอกว่าต้องแก้เรื่องการเมืองด้วย แก้เรื่องเศรษฐกิจคือต้องแก้นโยบายเศรษฐกิจ ส่วนที่หนึ่งคือทำยังไงให้ระบบเศรษฐกิจมีการแข่งขันกัน ไม่ใช่เป็นระบบผูกขาด ซึ่งเป็นปัญหามาก เมื่อไหร่ก็ตามที่เราสร้างกติกาให้เกิดการผูกขาดมันก็จะมีคนที่มีอำนาจที่จะ จัดสรรทรัพยากร เพราะธุรกิจที่ผูกขาดมักจะมีกำไรมากกว่าธุรกิจที่ต้องแข่งขัน เมื่อเป็นอย่างนี้ทุกคนก็อยากจะทำธุรกิจผูกขาดก็แสวงหา นักการเมืองก็จะอาศัยโอกาสนี้คอร์รัปชั่น แบ่งปันกัน
 
“ประเด็นที่ 2 คือเมื่อไหร่ก็ตามที่โครงสร้างเศรษฐกิจมีความเหลื่อมล้ำเยอะๆ มันก็จะกลายเป็นปมเงื่อนหนึ่งที่ทำให้เกิดการคอร์รัปชั่น และลักษณะสังคมอุปถัมภ์ก็จะเป็นสาเหตุอันหนึ่ง
 
“แต่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ต้องแก้แบบมีความเป็นหุ้นส่วนของทุกภาคสังคม ไม่ว่าจะเป็นภาคธุรกิจซึ่งตอนนี้ก็พยายามเคลื่อนไหวมาก แต่ว่าไม่ง่าย เพราะในแง่ของธุรกิจเอง คอร์รัปชั่นเป็นทั้งต้นทุนและโอกาสคือบางคนสู้คนอื่นไม่ได้หรอก แต่คอร์รัปชั่นทำให้ได้กำไร ดังนั้น คอร์รัปชั่นจึงกลายเป็นโอกาส แต่ขณะเดียวกันก็เป็นต้นทุนด้วย เมื่อไหร่ก็ตามที่โอกาสมีมากกว่าต้นทุนเขาก็คอร์รัปชั่น ตรงนี้จึงทำให้การเข้าร่วมของภาคธุรกิจไม่สม่ำเสมอและยังไม่สามารถเป็นอัน หนึ่งอันเดียวกันได้ อย่างกรณีที่เขาเคยจะสู้กับเงินใต้โต๊ะของศุลกากร เขาก็จับมือกันว่าจะไม่มีใครจ่ายเงินใต้โต๊ะ ปรากฏว่าทำได้ไม่กี่วัน เพราะไม่จ่ายก็ไม่เป็นไร แต่ของออกช้า ปรากฏว่าคำนวณแล้วถ้าของค้างอยู่ต้นทุนเป็นเท่าไหร่ๆ ก็จ่ายดีกว่า เราจะอาศัยนักธุรกิจเป็นหลักก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงต้องมีกลไกประชาสังคมเพื่อเป็นหุ้นส่วนด้วยในการตรวจสอบการทำ งานของภาครัฐต่างๆ
 
“ดังนั้น การแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นจึงเป็นเรื่องของการเป็นหุ้นส่วนของทุกภาคส่วนใน สังคม ประเด็นนี้เป็นประเด็นที่มีการพูดกันทั่วโลก เพียงแต่ว่าประเทศไหนจะสามารถสร้างหุ้นส่วนได้ ถ้าประเทศไหนสร้างหุ้นส่วนได้ดี การแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่นก็จะแก้ไขได้ดี แต่ถามว่าหายไปมั้ย ไม่หายไปหรอกเพราะจะมีกรณีในอังกฤษ เขาอุตส่าห์มีนโยบายดีๆ ส.ส. จะได้สะดวกสบายแต่ปรากฏว่ามีการเบิกเงินไปซ่อมบ้าน แล้วเอาให้คนอื่นเช่า แล้วก็เอาบ้านอีกหลังไปซ่อมใหม่ คอร์รัปชั่นมันเหมือนถ้าจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน มันก็ต้องไล่จับกันไปเรื่อยๆ”
 
ภาพจากสมาคมนักข่าว นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
 
 
  ศูนย์ข้อมูลและข่าวสืบสวนเพื่อสิทธิพลเมือง

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง