สังคมไทยในขณะนี้เชิดชูประชาธิปไตยกันมาก อ้างเสรีภาพของพลเมืองกันจนเฟ้อ
เสรีภาพในการแสดงออกซึ่งความคิดเห็น ความเชื่อของตน แม้จะเป็นสิทธิพื้นฐานของพลเมือง แต่การแสดงเสรีภาพก็มีเรื่องที่ควรคำนึงอยู่มากด้วย
อย่างเช่น การแสดงความคิดเห็นนั้น ไปละเมิดสิทธิ์คนอื่น หรือไปให้ร้ายทำลายชื่อเสียงคนอื่น ละเมิดกฎหมาย ผิดประเพณีดีงามที่คนอื่นเขายึดถือเชื่อมั่นอยู่
หรือถึงแม้ไม่ผิดกฏหมาย แต่มันหมิ่นเหม่ต่อการสร้างความร้าวฉานในสังคม ก็ควรจะระมัดระวังในการอ้างถึงเสรีภาพ
ประชาธิปไตยนั้นจะมั่นคง พลเมืองก็ต้องเสียสละสิทธิเสรีภาพส่วนตัวบางส่วน และพลเมืองมีขันติธรรม
ลัทธิประชาธิปไตยคือลัทธิแห่งขันติธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้แก่ความอดทนในความคิดเห็นของผู้อื่นที่ไม่ตรงต่อความ คิดเห็นของตน เสรีภาพต่าง ๆ นั้นอาจมีได้ในระบอบการปกครองแทบทุกชนิด แม้ในระบอบการปกครองแบบที่เด็ดขาดที่สุด แต่ประเทศใดที่ผู้คนยังขาด ‘ขันติธรรม’ แล้ว ประชาธิปไตยจะเกิดขึ้นได้ยากที่สุด หรือพูดง่าย ๆ ว่าไม่ได้เลย ประชาธิปไตยนั้นต้องมีแพ้มีชนะในทางการเมือง หากผู้แพ้ขาดขันติธรรมอดทนต่อการพ่ายแพ้ไม่ได้ ประชาธิปไตยก็ไม่เกิด หรือหากผู้ชนะนั้นขาดขันติธรรมอดทนต่อชัยชนะรวมทั้งอำนาจวาสนาซึ่งจะติดตาม มานั้นไม่ได้ ประชาธิปไตยก็จะยังไม่เกิดเช่นเดียวกัน
พิจารณาเหตุการณ์ทางการเมืองของโลกทุกวันนี้แล้ว ก็จะเห็นว่าทั่วทั้งโลกนั้นคนเราชักจะขาดขันติธรรมมากขึ้น เมืองฝรั่งที่ว่าเคารพสิทธิมนุษยชน เคารพสิทธิส่วนบุคคลมาก ก็เริ่มเกิดความวุ่นวายจลาจลขึ้นได้ง่าย ๆ ความวุ่นวายในตะวันออกกลาง แม้ว่าภาพภายนอกจะดูเหมือนว่าเป็นการปฏิวัติเรียกร้องประชาธิปไตย แต่ความเป็นจริงก็คือความวุ่นวาย สงครามกลางเมือง พลเมืองเข่นฆ่ากันเอง โดยยังไม่รู้ว่าสุดท้ายจะเกิดประชาธิปไตยขึ้นในประเทศเหล่านั้นจริงหรือ เปล่า
กล่าวสำหรับประเทศไทย บ้านเมืองเราเกิดความเสียหายใหญ่หลวงมาแล้วสองสามปี จากสาเหตุที่พลเมืองไทยส่วนหนึ่งขาดขันติธรรม ก่อความรุนแรงวุ่นวายขึ้นต่าง ๆ เวรนั้นย่อมก่อเวรตอบเป็นหลักธรรมดา เมื่อฝ่ายหนึ่งใช้ความรุนแรงขึ้นมา อีกฝ่ายหนึ่งก็ย่อมจะรุนแรงตอบ
ความคิดเห็นทางการเมืองอย่างรุนแรงนั้น ย่อมเกิดปฏิกิริยาอย่างรุนแรงหรือการถอยหลังอย่างรุนแรงเช่นเดียวกัน
นี่เป็นสภาพการเมืองของไทย แต่ดู ๆ ไปแล้วก็เห็นว่าเป็นจริงในประเทศอื่น ๆ หลายประเทศด้วย แม้ในเมืองฝรั่งที่เขาเป็นประชาธิปไตยดีนั้น เขาปล่อยเสรีให้เป็นคอมมิวนสิต์กันก็ได้ ไม่มีใครเดือดร้อน เพราะทุกฝ่ายรวมทั้งคอมมิวนิสต์เองนั้นด้วย มีขันติธรรมเข้าหากัน แต่ระยะนี้ก็ชักจะวุ่นวายขึ้น เพราะความขาดขันติธรรมของพลเมือง
ประชาธิปไตยย่อมไม่ใช่การ เอาแต่ใจตน ประชาธิปไตยไทยที่กำลังฟื้นจากไข้หนัก อาจจะกลับไปสู่ห้วงอันตราย เพราะผู้คนจำนวนไม่น้อย ละทิ้ง “โลกปาลธรรม” อันได้แก่ หิริโอตตัปปะ -ความละอายและเกรงกลัวต่อบาป
เสรีภาพในการแสดงออกซึ่งความคิดเห็น ความเชื่อของตน แม้จะเป็นสิทธิพื้นฐานของพลเมือง แต่การแสดงเสรีภาพก็มีเรื่องที่ควรคำนึงอยู่มากด้วย
อย่างเช่น การแสดงความคิดเห็นนั้น ไปละเมิดสิทธิ์คนอื่น หรือไปให้ร้ายทำลายชื่อเสียงคนอื่น ละเมิดกฎหมาย ผิดประเพณีดีงามที่คนอื่นเขายึดถือเชื่อมั่นอยู่
หรือถึงแม้ไม่ผิดกฏหมาย แต่มันหมิ่นเหม่ต่อการสร้างความร้าวฉานในสังคม ก็ควรจะระมัดระวังในการอ้างถึงเสรีภาพ
ประชาธิปไตยนั้นจะมั่นคง พลเมืองก็ต้องเสียสละสิทธิเสรีภาพส่วนตัวบางส่วน และพลเมืองมีขันติธรรม
ลัทธิประชาธิปไตยคือลัทธิแห่งขันติธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้แก่ความอดทนในความคิดเห็นของผู้อื่นที่ไม่ตรงต่อความ คิดเห็นของตน เสรีภาพต่าง ๆ นั้นอาจมีได้ในระบอบการปกครองแทบทุกชนิด แม้ในระบอบการปกครองแบบที่เด็ดขาดที่สุด แต่ประเทศใดที่ผู้คนยังขาด ‘ขันติธรรม’ แล้ว ประชาธิปไตยจะเกิดขึ้นได้ยากที่สุด หรือพูดง่าย ๆ ว่าไม่ได้เลย ประชาธิปไตยนั้นต้องมีแพ้มีชนะในทางการเมือง หากผู้แพ้ขาดขันติธรรมอดทนต่อการพ่ายแพ้ไม่ได้ ประชาธิปไตยก็ไม่เกิด หรือหากผู้ชนะนั้นขาดขันติธรรมอดทนต่อชัยชนะรวมทั้งอำนาจวาสนาซึ่งจะติดตาม มานั้นไม่ได้ ประชาธิปไตยก็จะยังไม่เกิดเช่นเดียวกัน
พิจารณาเหตุการณ์ทางการเมืองของโลกทุกวันนี้แล้ว ก็จะเห็นว่าทั่วทั้งโลกนั้นคนเราชักจะขาดขันติธรรมมากขึ้น เมืองฝรั่งที่ว่าเคารพสิทธิมนุษยชน เคารพสิทธิส่วนบุคคลมาก ก็เริ่มเกิดความวุ่นวายจลาจลขึ้นได้ง่าย ๆ ความวุ่นวายในตะวันออกกลาง แม้ว่าภาพภายนอกจะดูเหมือนว่าเป็นการปฏิวัติเรียกร้องประชาธิปไตย แต่ความเป็นจริงก็คือความวุ่นวาย สงครามกลางเมือง พลเมืองเข่นฆ่ากันเอง โดยยังไม่รู้ว่าสุดท้ายจะเกิดประชาธิปไตยขึ้นในประเทศเหล่านั้นจริงหรือ เปล่า
กล่าวสำหรับประเทศไทย บ้านเมืองเราเกิดความเสียหายใหญ่หลวงมาแล้วสองสามปี จากสาเหตุที่พลเมืองไทยส่วนหนึ่งขาดขันติธรรม ก่อความรุนแรงวุ่นวายขึ้นต่าง ๆ เวรนั้นย่อมก่อเวรตอบเป็นหลักธรรมดา เมื่อฝ่ายหนึ่งใช้ความรุนแรงขึ้นมา อีกฝ่ายหนึ่งก็ย่อมจะรุนแรงตอบ
ความคิดเห็นทางการเมืองอย่างรุนแรงนั้น ย่อมเกิดปฏิกิริยาอย่างรุนแรงหรือการถอยหลังอย่างรุนแรงเช่นเดียวกัน
นี่เป็นสภาพการเมืองของไทย แต่ดู ๆ ไปแล้วก็เห็นว่าเป็นจริงในประเทศอื่น ๆ หลายประเทศด้วย แม้ในเมืองฝรั่งที่เขาเป็นประชาธิปไตยดีนั้น เขาปล่อยเสรีให้เป็นคอมมิวนสิต์กันก็ได้ ไม่มีใครเดือดร้อน เพราะทุกฝ่ายรวมทั้งคอมมิวนิสต์เองนั้นด้วย มีขันติธรรมเข้าหากัน แต่ระยะนี้ก็ชักจะวุ่นวายขึ้น เพราะความขาดขันติธรรมของพลเมือง
ประชาธิปไตยย่อมไม่ใช่การ เอาแต่ใจตน ประชาธิปไตยไทยที่กำลังฟื้นจากไข้หนัก อาจจะกลับไปสู่ห้วงอันตราย เพราะผู้คนจำนวนไม่น้อย ละทิ้ง “โลกปาลธรรม” อันได้แก่ หิริโอตตัปปะ -ความละอายและเกรงกลัวต่อบาป
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น