นายกฯยิ่งลักษณ์ บอกว่า เพื่อช่วยลดค่าครองชีพของประชาชน ก็ต้องคอยดูกันต่อไปว่าค่าครองชีพลดจริงหรือไม่ หรือลดแค่ราคานํ้ามัน แล้วรถยนต์ขายดีขึ้น
การลดเก็บเงินเข้ากองทุนนํ้ามันครั้งนี้ ไม่ใช่นโยบายที่น่าชื่นชม แถมยังผิดฝาผิดตัว เบนซิน 95 ลดลงลิตรละ 7.50 บาท บวกแวต ลดไปลิตรละ 8.02 บาท ราคาขายปลีกลดเหลือลิตรละ 39.32 บาท เบนซิน 91 ลดลงลิตรละ 6.70 บาท บวกแวต ลดไปลิตรละ 7.17 บาท ราคาขายปลีกลดเหลือลิตรละ 34.77 บาท และ ดีเซล ลดเก็บเข้ากองทุนลิตรละ 2.80 บาท บวกแวต ลดไปลิตรละ 3 บาท ขายปลีกเหลือลิตรละ 26.99 บาท
คุณ พิชัย นริพทะพันธ์ุ รัฐมนตรีพลังงาน บอกว่า การลดเก็บเงินดังกล่าว ทำให้กองทุนน้ำมันขาดรายได้เดือนละ 6,160 ล้านบาท และต้องเตรียมเงินชดเชยราคานํ้ามันคงค้างในปั๊มน้ำมันอีก 3,000 ล้านบาท แต่ฐานะของกองทุนน้ำมันจะอยู่ได้จนถึงสิ้นปี โดยไม่ต้องกู้เงิน แต่มกราคมปีหน้าจะต้องกู้เงิน 20,000 ล้านบาท คาดว่าจะใช้ดูแลราคาน้ำมันได้ราว 6 เดือน
แม้ คุณพิชัย จะบอกว่า จะเลิกเก็บเงินชั่วคราวแค่ 1 ปี แต่เมื่อเอา 12 เดือนคูณเข้าไปกับเงินที่ลดราคาน้ำมันเดือนละ 6,160 ล้านบาท หนึ่งปี รัฐบาลต้องใช้เงินอุ้มราคาน้ำมัน 3 ชนิดทั้งหมดประมาณ 74,000 ล้านบาท
ถามว่า ทำเพื่ออะไร
คำตอบง่ายๆก็คือ ทำเพื่อสนองนโยบายหาเสียงของนักการเมือง
แต่ ค่าครองชีพประชาชน จะลดจริงหรือไม่ ยังไม่มีใครตอบได้
ความ จริง น้ำมันเบนซิน 95 ที่ลดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันสูงสุดลิตรละ 7.50 บาท สวนทางกับนโยบายน้ำมันของชาติ ที่ให้เลิกจำหน่ายน้ำมันเบนซิน 95 ซึ่งปฏิบัติกันต่อเนื่องมาหลายปี ประชาชนทั่วไปก็ไม่ใครใช้น้ำมันชนิดนี้อยู่แล้ว จึงเป็นที่สงสัยกันว่า พรรคเพื่อไทย ลดราคาน้ำมันเบนซิน 95 เพื่ออะไร ใครได้ประโยชน์
คำตอบ ที่น่าจะไม่ผิดก็คือ เจ้าของรถหรูคันละหลายสิบล้านบาท ที่ต้องใช้น้ำมันเบนซิน 95 และ รถหรูรุ่นเก่าที่เศรษฐีเก็บไว้เป็นของสะสม มีคนสองกลุ่มนี้เท่านั้นที่ได้ประโยชน์เต็มๆ ซึ่งมีการประเมินกันไว้ว่า ปัจจุบันมีรถที่ต้องใช้น้ำมันเบนซิน 95 ในเมืองไทยไม่เกิน 500,000 คัน และเจ้าของรถทุกคนก็มีเงินมากพอที่จะจ่ายค่าน้ำมันเบนซิน 95 ได้ทุกราคาอยู่แล้ว แล้วจะไปลดราคาให้เศรษฐีเหล่านี้อีกเพื่ออะไรไม่ทราบ
เบนซิน 91 ก็เช่นเดียวกัน วันก่อนเห็นข่าวว่า ปั๊มน้ำมันบางจาก ก็เลิกขายเบนซิน 91 แล้ว เพราะนโยบายรัฐบาลที่ผ่านมาทุกรัฐบาล ให้ยกเลิกเบนซิน 91 และ 95 และใช้แก๊สโซฮอล์แทน การลดราคาน้ำมันเบนซิน 91 จึงเป็นนโยบายที่สับสน แม้จะมีข้ออ้างว่าลดให้เจ้าของรถมอเตอร์ไซค์ 17 ล้านคันก็ตาม
มีเพียง น้ำมันดีเซล ชนิดเดียวเท่านั้น ที่ประชาชนส่วนใหญ่ได้ประโยชน์เพราะใช้ในรถขนส่ง แต่รัฐบาลก็ไม่มีมาตรการรองรับที่ชัดเจนว่า เมื่อลดราคาน้ำมันดีเซลลงแล้ว ค่าโดยสาร ค่าขนส่ง จะต้องลดราคาลงมาเท่าไร เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ประชาชนทุกคนจะได้ประโยชน์อย่างแท้จริง
เมื่อดูเหตุและผลแล้ว ที่ นายกฯยิ่งลักษณ์ บอกว่า การลดราคาน้ำมัน 3 ชนิด เพื่อลดค่าครองชีพของประชาชน จึงเป็นความจริงเพียงส่วนเดียวเท่านั้น
เงิน ที่ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ เอาไปอุ้มราคาน้ำมัน 1 ปี 74,000 ล้านบาท เป็นเงินที่เยอะนะครับ แถมยังต้องไปกู้มาอีกตั้ง 20,000 ล้านบาท การใช้เงินอนาคตโดยไม่มีรายได้รองรับ เป็นเรื่องอันตรายครับ สหรัฐฯ เป็นตัวอย่างที่น่าเรียนรู้ เอาเงินในอนาคตไปใช้อย่างมันมือ แม้สหรัฐฯจะพิมพ์แบงก์เองได้ แต่วันนี้ก็ยังเจ๊งอย่างเขียดอย่างที่เห็นครับ.
“ลม เปลี่ยนทิศ”
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น