บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2554

การบริหารชาติบ้านเมืองต้องอาศัยความรู้ ไม่ใช่ประชานิยมอย่างเดียว

ดูรายการทีวีตอนนี้ ดร.ปลอดประสพมาออกบ่อย เมื่อวันก่อนมาออกเรื่องถมทะเล ดร.ปลอดประสพ แนะนำตนเองว่า เป็นคนที่ไปจบปริญญาเอกทางสิ่งแวดล้อมมาเป็นคนแรกๆ ก็ต้องยอมให้น้ำหนักความรู้ทางด้านนี้ไปบ้าง แต่อีกวันหนึ่ง ดร.ปลอดประสพก็มาออกทีวีพูดเรื่องค่าแรงขั้นต่ำและขอร้องให้นักธุรกิจทั้งหลายอย่าต่อต้านนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทเลย โดยให้นักธุรกิจทำใจว่า การจ่ายค่าแรงในระดับนี้ เป็นการแทนคุณแผ่นดิน หลังจากฟัง ดร.ปลอดประสพแล้ว เลยต้องมาขอเขียนบทความนี้

ประชากรของประเทศไทยและเกือบทุกประเทศในโลก ล้วนแต่มีความเลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไข แต่การแก้ไขนั้นต้องอาศัยความรู้ ไม่ใช่อาศัยกฎหมาย ไม่ใช่อาศัยอารมณ์ หรือความมักง่าย มิฉะนั้นผลที่เกิดขึ้นจะเลวกว่าเดิมและจะเป็นการทำลายเศรษฐกิจของชาติ เช่นเดียวกับที่ได้ประสบมาแล้ว ในลาตินอเมริกาหลายประเทศและกำลังประสบอีกหลายประเทศในยุโรปเช่น กรีซ, ปอร์ตุเกส, ไอร์แลนด์, อิตาลี และสเปน

การแก้ปัญหาความยากจนและความเลื่อมล้ำต้องอาศัยความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ ซึ่งถ้าจะเรียนกันจริงๆ ต้องเรียนกันหลายปี เป็นศาสตร์ที่โลกได้สะสมความรู้กันมาเกินกว่า200ปี ฉะนั้น จะให้คนที่ไม่มีความรู้เลยได้เป็นผู้เสนอนโยบายจะเป็นอันตรายเท่ากับให้คนที่ไม่เคยเรียนฝึกขับเครื่องบินให้ไปขับเคลื่อนบินร่อนลงมาจอดที่สนามบิน หรือให้คนที่ไม่ใช่หมอมารักษาคนไข้ที่กำลังเจ็บป่วย

แม้คนที่เรียนเศรษฐศาสตร์มาก็ต้องระวัง เพราะการใช้ความรู้ในวิชาเศรษฐศาสตร์ ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญสูง การไปเชื่อนักเศรษฐศาสตร์ ซึ่งรู้แต่ทฤษฎี แต่ไม่มีความรู้ในทางปฎิบัติเพียงพอก็จะอันตรายอย่างยิ่ง เช่นเดียวกับที่ไปเชื่อนักเศรษฐศาสตร์ที่รู้แต่เศรษฐกิจส่วนย่อย แต่ไม่มีความรู้และความเชี่ยวชาญกับภาคเศรษฐกิจส่วนรวม ก็จะเป็นอันตรายอย่างยิ่งได้เช่นเดียวกัน

ยกตัวอย่างเช่น เรื่องค่าแรงขั้นต่ำ สามัญสำนึกของทุกคนก็คืออยากให้แรงงานได้ค่าแรงสูงๆ ไม่มีใครอยากให้ค่าแรงถูกกดโดยนายจ้างเพราะความเห็นแก่ตัวที่ต้องการความร่ำรวยจากการใช้แรงงานเยี่ยงทาส แต่นักธุรกิจของไทยส่วนใหญ่ก้าวข้ามจากความหลงผิดในการเอาเปรียบแรงงานมานานแล้ว ความร่ำรวยของนายจ้าง จะมาจากการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ซึ่งจะต้องมาจากการลงทุนในการฝึกฝนคนงานให้มีฝีมือด้วยการให้ค่าจ้างที่สูงขึ้นเป็นกำลังใจและสิ่งจูงใจ

คนที่เสนอให้ใช้กฎหมายกำหนดค่าแรงขั้นต่ำให้สูงๆนั้น ลืมคิดไปว่า สิ่งที่เลวว่าค่าจ้างที่ต่ำนั้น ก็คือ การว่างงาน ซึ่งมีความหมายที่ร้ายกาจที่สุดก็คือ การไม่ได้รับค่าจ้างเลย นโยบายทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดของทุกประเทศในโลกก็คือ การแก้ปัญหาการว่างงาน

นักเศรษฐศาสตร์ทั้งหลายที่ต้องร่ำเรียนกันมาอย่างหนัก ต่างต้องขวนขวายหาความรู้อย่างลึกซึ้ง ว่าจะแก้ปัญหาการว่างงานได้อย่างไร คำตอบแบบกำปั้นทุบดินก็คือ ต้องสร้างงาน จะสร้างงานได้อย่างไร คำตอบแบบง่ายๆก็คือ ต้องให้มีการขยายการผลิตโดยผู้ประกอบการ ผู้ประกอบการเขาจะขยายการผลิตก็ต่อเมื่อเขาสามารถไปขายผลิตภัณฑ์ของเขาได้โดยไม่ขาดทุน ยิ่งต้องไปขายแข่งในตลาดต่างประเทศด้วยแล้ว ยิ่งต้องดูปัจจัยต่างๆให้ละเอียดและลึกซึ้ง ไม่ใช่แต่ต้นทุนหลายๆ ประเภทมากมาย เช่นค่าวัตถุดิบ ค่าพลังงาน ค่าดอกเบี้ย ค่าแรง ค่าขนส่ง ค่าภาษี ฯลฯ นอกจากนั้น ยังต้องคำนึงถึงความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยนที่ขึ้นลงอยู่ตลอดเวลา อยู่ดีๆ ไปออกกฎหมายขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำอย่างมากมายคิดดูซิว่าเขาจะเพิ่มการสร้างงานไหม เขาจะลดการผลิตลงหรือไม่ หรือเขาจะหาทางเอาเครื่องจักรมาทดแทนแรงงานหรือเปล่า

นักลงทุนจากต่างประเทศที่กำลังคิดมาลงทุนในเมืองไทย เขาอาจไม่กลัวการขึ้นค่าจ้างครั้งนี้ เพราะเขาสามารถจ่ายได้สูงกว่าค่าจ้างขั้นต่ำอยู่แล้ว โดยเลือกแรงงานที่มีฝีมือแต่เขาอาจกลัวรัฐบาลที่คิดอะไรแบบไม่ค่อยมีความรู้แบบนี้ ถ้าเขาหลวมตัวลงทุนแล้ว อาจจะมาเจอกับมาตรการอะไรก็ไม่รู้ในอนาคต เขาก็เลยตัดสินใจไปที่อื่นดีกว่า ซึ่งจะรวมทั้งที่ลงทุนอยู่แล้วในปัจจุบันด้วย

เจ้าพระยา

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง