บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันพฤหัสบดีที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2555

ทักษิณสั่งเด็ดหัว 5 บุคคลสำคัญ ชี้ 2 เงื่อนไขผ่านกลับไทยทันที

ASTV เมเนเจอร์ออนไลน์


เปิด 2 เงื่อนไขที่จะทำให้ทักษิณ กลับไทย สั่งลิ่วล้อเดินหน้า ปรองดอง-นิรโทษกรรม พร้อมเร่งเอาผิด "5 บุคคล"สำคัญ ผลักเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตัดสินติดคุกทั่วหน้า เตรียมใช้กลไกนิรโทษกรรมฟอกตัว จับตากระแสต้าน "แม้ว" โดยเครือข่ายโซเชียลเน็ตเวริค์ปลุกพลังสู้ ขณะที่ทหารส่งกลิ่นปฎิวัติสูง

หยุดไม่อยู่แล้ว สำหรับพรรคเพื่อไทย และกระบวนการคนเสื้อแดง ที่วันนี้ ต่างออกมาเคลื่อนไหวให้ “นายใหญ่” กลับบ้าน และเป็นการกลับบ้านโดยกระบวนการฟอกผิดให้กลับมาแบบสง่างาม (ลืมอดีตให้สิ้น) และแบบไม่ต้องติดคุกเสียด้วย!

“นายใหญ่”ใช้ใครทำอะไร เดินหน้าทางไหน กลับได้เมื่อไรและจะกลับมาได้จริงหรือไม่?

กลับมาต้องไม่ติดคุก

แหล่งข่าวในวุฒิสภา เปิดเผยว่า สิ่งที่พรรคเพื่อไทย และกระบวนการคนเสื้อแดงวันนี้จะช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีให้กลับบ้านนั้น ดูจากความเคลื่อนไหวแล้ว จะมีอยู่ 3 ส่วนสำคัญคือ คดีอาญาที่พ.ต.ท.ทักษิณติดขัดอยู่,คดีที่เกี่ยวกับทรัพย์สินที่ถูกยึดไป และทำอย่างไรให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยได้อีก

ทั้ง 3 ส่วนนี้ ได้เรียงลำดับจากง่ายไปหายาก กล่าวคือ คดีอาญาที่พ.ต.ท.ทักษิณ ติดคดีอยู่นั้น น่าจะเป็นเรื่องทีผลักดันให้เกิดได้ง่ายที่สุดในฐานะที่ได้เปรียบในการเป็นผู้นำรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยในขณะนี้ โดยคดีอาญาที่ พ.ต.ท.ทักษิณติดอยู่นั้นเป็นเรื่องของคดีที่ดินรัชดาฯ ที่พ.ต.ท.ทักษิณโดนตัดสินจำคุก 2 ปี ประกอบกับคดีที่ตามมาคือคดีหวยบนดินที่จะมีคำพิพากษาสิ้นสุดด้วย ซึ่ง 2 คดีนี้เป็นสิ่งที่ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับประเทศไทยไม่ได้ในช่วงที่ผ่านมา

เครื่องมือที่จะปลดล็อคคดีความที่เป็นคดีอาญาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในส่วนนี้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีได้เป็นคนเปิดประเด็นนี้ไปแล้ว โดยใช้เครื่องมือคือ “พ.ร.บ.ปรองดอง” โดยมีคณะกรรมาธิการปรองดองฯ ขอสภาฯ เป็นคนให้ความเห็นประกอบเพื่อขอความชอบธรรม โดยจะมีการให้ส.ส.20 คนเสนอร่าง พ.ร.บ.ฯ ผ่านสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีโอกาสทำสำเร็จได้สูง

เสียงแน่น - พรรคร่วมหนุนนิรโทษ

เนื่องจากในสภาผู้แทนราษฎร ขณะนี้ พรรคเพื่อไทยรวมกับพรรคร่วมมีเสียงส.ส.อยู่ประมาณ 300 เสียงกว่า (รวมพรรคร่วม) รวมกับส.ว.ในส่วนวุฒิสภาสายเพื่อไทยจะมีอยู่อีกประมาณ 58 เสียง ไม่รวมส.ว.ในส่วนของพรรคร่วม ซึ่งจะมีคะแนนเสียงเพิ่มขึ้นมาอีก ดังนั้นในส่วนของคะแนนเสียงในสภา ถือว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้คุมคะแนนเสียงส่วนใหญ่ไว้ได้เบ็ดเสร็จ กระบวนการช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณที่จะผ่านสภา จึงไม่มีความน่าเป็นห่วงแต่อย่างใด เพียงแต่ต้องทำไม่ให้ประชาชนรู้สึกต่อต้านและคัดค้าน ดังนั้น จึงมีการเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญไปพร้อมกันนี้ด้วย โดยใช้ สสร.หรือสภาร่างรัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือสำคัญ

“โครงสร้างของสสร.น่าจะออกมาในรูปแบบของการเลือกตั้งตามเขตจำนวนประชากร ซึ่งท้ายที่สุดแล้วสัดส่วนของสสร.แม้จะไม่ใช่ของพรรคเพื่อไทย 100% แต่พ.ต.ท.ทักษิณจะสามารถคุมได้เกือบ 100% เพราะถ้ามาจากการเลือกตั้ง ก็จะมีสัดส่วน สสร.ที่ใกล้ชิดฝ่ายการเมืองไม่แตกต่างจากสัดส่วนของส.ส.ในสภามากนัก ดังนั้นพรรคเพื่อไทยยังสามารถคุมได้ แต่ฝ่ายคัดค้านก็จะทำอะไรไม่ได้ เพราะเขาจะอ้างว่าผ่านระบบเลือกตั้งมา ประชาชนเลือกมา”

โดยในจุดนี้เชื่อว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะยังช่วยในการยกมือสนับสนุนเนื่องจากพรรคร่วมต้องการเอี่ยวในเรื่องของการนิรโทษกรรม ซึ่งเป็นการสมประโยชน์

ที่ต้องเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญไปด้วยนั้น เนื่องจากจะให้รัฐธรรมนูญมีบทเฉพาะกาลว่าด้วยเรื่องการส่งเสริมให้มีการปรองดอง เพื่อนำมาสู่การรับรอง พ.ร.บ.ปรองดอง และเมื่อสสร.ซึ่งมีภาพของคนกลาง ไม่ใช่ภาพนักการเมือง ก็จะได้รับการยอมรับมากกว่า อีกทั้ง สสร.ก็จะมีกระบวนการไปรับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาชน สามารถอ้างได้อีกว่าประชาชนต้องการ เป็นการรับรองความชอบธรรมเบ็ดเสร็จ ซึ่งกระบวนการรับรอง พ.ร.บ.ปรองดองนั้นจะเกิดขึ้นตอนรัฐธรรมนูญเสร็จแล้วก็ได้ หรือระหว่างการจัดทำรัฐธรรมนูญก็เป็นไปได้เช่นกัน

หลังจากนั้นก็จะทำในส่วนที่ 2 คือหาวิธีคืนทรัพย์สินให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ส่วนนี้ดูได้จากข้อเสนอของสถาบันพระปกเกล้า ที่ให้มีการทบทวนอำนาจของคตส.เนื่องจากเกิดจากการปฏิวัติ ดังนั้นอาจจะมีการให้พลิกฟื้นคดีขึ้นมาใหม่ หรือไม่ก็ยกเลิกไปเลยก็จะทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ มีสิทธิได้เงินคืน

ส่วนการกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ดูเหมือนจะเป็นเรื่องยากที่สุด เพราะว่ากระแสสังคมยังไม่ได้ให้การยอมรับในส่วนนี้มากเท่าไร และ พ.ต.ท.ทักษิณก็รู้ดีในจุดนี้ ดังนั้นจะพยายามไม่แสดงตนว่าอยากกลับมาเป็นนายกฯอีกและเดินหน้าให้ตัวเองพ้นคดีเป็นลำดับแรก

อย่างไรก็ดี ท้ายที่สุดต้องยอมรับว่ากระบวนการทางด้านกฎหมายนี้จะทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ มีโอกาสที่จะกลับมาประเทศไทยโดยไม่ต้องถูกดำเนินคดีได้มาก เนื่องจากพรรคเพื่อไทยมีการคุมเสียงในสภาได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ มองว่าคนที่จะคัดค้านก็จะทำได้ยากขึ้น เนื่องจากไม่มีเป้าให้โจมตีได้ เพราะพ.ต.ท.ทักษิณ ฉลาดที่จะให้แก้แค่มาตรา 291 รวมทั้งการตั้งสสร.ยังโยงอยู่กับอำนาจประชาชน

“ใครจะมาคัดค้านก็ลำบาก เพราะรัฐบาลจะอ้างได้ว่า สสร.มาจากการเลือกตั้ง และมีการสอบถามความคิดเห็นประชาชน ดังนั้นต่อไปเขาจะอ้างว่า ใครอยากคัดค้านก็ให้ไปสู้กันในกระบวนการลงมติรับรองรัฐธรรมนูญแทน ซึ่งในจุดนั้นพรรคเพื่อไทยมั่นใจว่าชนะอยู่แล้ว”

ทั้งนี้ ก็ใช่ว่าจะไม่มีจุดสุ่มเสี่ยง จุดอ่อนของกระบวนการเดินหน้าทางกฎหมายเพื่อช่วยทักษิณนั้นมีจุดอ่อนที่สำคัญมากคือเรื่องของการเข้าไปแตะต้องสถาบันกษัตริย์ ซึ่งที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่า มีการโยนหินถามทางมาแล้วผ่านกลุ่มนิติราษฎร์ และครก.112 ซึ่งนอกจากไม่ได้รับการตอบรับจากสังคมไทยแล้ว ยังถูกต่อต้านอย่างหนักจนต้องล้มเลิกอย่างรวดเร็ว จุดนี้ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ รู้ว่าถ้ายอมที่จะไม่แตะต้องก็จะทำให้การแก้รัฐธรรมนูญ และการเดินหน้า พ.ร.บ.ปรองดองสำเร็จได้ง่ายกว่า

ทั้งนี้ มองว่าการที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะกลับประเทศไทยภายในปีนี้ อาจเป็นไปได้ยาก เนื่องจากแม้เดิมจะเร่งรัดให้เสร็จสิ้นภายใน 6 เดือน แต่การเร่งรัดมากเกินไปจะทำให้มีข้อครหาได้ ซึ่งเมื่อรวมกับเหตุผลที่ว่าในกลางปีหน้าจะเริ่มมีการสรรหาองค์กรอิสระต่างๆใหม่ โดยเฉพาะ คณะกรรมการการเลือกตั้งหรือ กกต. ก็มองว่า น่าจะให้มีการแก้รัฐธรรมนูญเสร็จสิ้นก่อนกลางปีหน้า และคาดว่าจะไม่มีการเลือกตั้งใหม่เพราะครองเสียงข้างมากในสภาได้อยู่แล้ว ไม่มีการแก้ที่มาของสภาผู้แทนราษฎร แต่จะแก้ที่มาของวุฒิสภา,องค์กรอิสระ และให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาใหม่เท่านั้น

แม้วสั่งเด็ดหัว 5 แกนนำคัดค้าน

เช่นเดียวกับ แหล่งข่าวความมั่นคง ที่มองว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่น่าจะได้กลับประเทศไทยได้ในปีนี้ เนื่องจาก นอกจาก พ.ต.ท.ทักษิณจะต้องการกลับประเทศไทยโดยไม่ต้องติดคุกแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ยังจะต้องสร้างความชอบธรรมให้เกิดขึ้นก่อน เพราะต้องการการยอมรับจากประชาชนกลุ่มอื่นๆ ด้วยนอกจากรากหญ้า

โดยคาดว่าสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะให้ลิ่วล้อดำเนินการนั้น ที่สำคัญคือ จะต้องให้มีการดำเนินคดีกับผู้นำในกลุ่มต่อต้านอำนาจของเขาก่อน 3 ส่วนสำคัญคือ พรรคประชาธิปัตย์,ทหารและแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

ในส่วนพรรคประชาธิปัตย์จะเชื่อมอยู่กับทหาร คือ ต้องการให้มีการดำเนินคดี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง โดยต้องการให้มีการดำเนินคดีถึงชั้นศาลและมีคำตัดสินให้ถึงขั้นติดคุก เช่นเดียวกับทหารที่ต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. และอดีต ผบ.ทบ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ถูกดำเนินคดีเช่นเดียวกัน

อีกคนที่นายใหญ่ต้องการให้มีการดำเนินคดีคือ สนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำคนสำคัญของกลุ่มพธม.แม้ว่า สนธิ ขณะนี้จะอยู่ในระหว่างอุทรณ์คดีที่เกี่ยวกับตลาดหลักทรัพย์ แต่คาดว่ามีแผนที่จะให้โดนตัดสินให้ติดคุกในคดีทางการเมืองด้วย

“คุณอภิสิทธิ์ คุณสุเทพ เป็นตัวแทนฝ่ายการเมือง พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.อนุพงษ์ เป็นฝ่ายทหาร คุณสนธิคือแกนนำมวลชน เมื่อทุกคนโดนคดีทางการเมืองทั้งหมด ก็จะเดินหน้าพ.ร.บ.นิรโทษกรรมทุกคนได้ สังคมก็ยอมรับได้ พ.ต.ท.ทักษิณก็กลับมาได้โดยไม่ถูกต่อต้าน นี่คือสิ่งที่พ.ต.ท.ทักษิณตั้งใจจะรอให้เกิดขึ้น”

อย่างไรก็ดี ทางฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ จะต้องไม่ประเมินทหารผิดพลาด เพราะทหารแม้ดูว่าอยู่เงียบๆ แต่ถ้าไปแตะต้องมากๆ อาจเกิดผลเสียกับฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ

“ที่ผ่านมา รัฐบาลใช้ดีเอสไอ (กรมสอบสวนคดีพิเศษ) ในความพยายามดำเนินคดี 91 ศพ ซึ่งมี 16 ศพที่มีกระสุนสีเขียวซึ่งเป็นของทหาร แม้ทหารจะยอมรับว่าหัวกระสุนเป็นของทหารจริง แต่การที่ทหารได้ทำหน้าที่ในการรักษาความสงบของประเทศ และป้องกันตัวเอง อีกทั้งก่อนหน้านั้นมีการขโมยอาวุธของทหารไปด้วย ดังนั้นจึงจะมาเอาผิดทหารไม่ได้ ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ที่เป็นผู้บังคับบัญชาจะไม่ยอมให้มาเอาผิดลูกน้อง ขณะที่ลูกน้องก็จะไม่ยอมให้เอาผิดพล.อ.ประยุทธ์ จุดนี้ถ้ารัฐบาลไม่หยุดจะทำให้ทหารยอมไม่ได้ ซึ่งจะเป็นเรื่องใหญ่ ไม่แน่ใจจะถึงขั้นปฏิวัติหรือไม่แต่จะมี Reactionออกมาแน่ๆ เช่นเดียวกับการหมิ่นสถาบันเบื้องสูงที่จะเป็นเหตุผลหลักให้ทหารออกมาทำการปฏิวัติได้”

ระวัง!โซเซียลเน็ตเวิร์คต่อต้านแรง

ทั้งนี้ในส่วนของมวลชน มองว่า ขณะนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้น เหมือนพธม.เริ่มต่อต้านระบอบทักษิณในปี 2547-2548 ซึ่งขณะนี้มีแนวร่วมหลายกลุ่ม ทั้งสยามประชาวิวัฒน์,เสื้อหลากสี,พธม.และพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งทุกกลุ่มยังไม่ได้มีการมารวมตัวกัน แต่หากมีประเด็นใหญ่ๆ จะทำให้ทุกกลุ่มเหล่านี้เริ่มหันมารวมตัวกันและจะมีพลังมาก

ที่สำคัญ กระบวนการเคลื่อนไหวทางโซเซียลเน็ทเวิร์คเป็นอีกจุดหนึ่งที่มีพลังมาก ซึ่งมีกลุ่มที่ต่อต้านพ.ต.ท.ทักษิณ และการช่วยเหลือแต่พ.ต.ท.ทักษิณไม่น้อย ซึ่งคนกลุ่มนี้มีพฤติกรรมไม่จำเป็นจริงๆ จะไม่ออกมา แต่จะยังมีการระดมกันผ่านโซเซียลเน็ทเวิร์ค และหากมีเรื่องร้อนแรงถึงขั้นยอมไม่ได้ โดยเฉพาะการแตะต้องสถาบันสูงสุด หรือการยกเลิก หรือลดบทบาทอำนาจศาล จะทำให้คนเหล่านี้ออกมารวมตัวกัน ซึ่งจะมีพลังมาก จาก 100 เป็น 1000 เป็น 10000 คนได้ไม่ยาก

เหตุรุนแรงมีโอกาสเกิด

ขณะที่ ศ.ดร.ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ ศาสตราจารย์ประจำสาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณน่าจะต้องการที่จะกลับมาแล้วโดยไม่ถูกดำเนินคดี ดังนั้นจึงต้องมีการทำให้คำพิพากษาเป็นโมฆะ ซึ่งจะต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ เพื่อให้มีบทบัญญัติว่าด้วยการนิรโทษกรรม แต่ก็ต้องใช้เวลานาน และไม่ทราบว่าจะสำเร็จหรือไม่เพราะต้องอาศัยปัจจัยต่างๆ หลายปัจจัย ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณ อาจรอไม่ได้

ขณะที่การออกเป็นกฎหมายธรรมดาอย่าง พ.ร.บ.ปรองดอง และอภัยโทษให้กับทุกคนที่เกี่ยวข้องทั้งเสื้อเหลือง-เสื้อแดงจะเป็นไปได้เร็วกว่า

“แม้พ.ต.ท.ทักษิณจะมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องทางการเมือง แต่ท้ายที่สุดแล้วก็เอาการเมืองมาแก้ไม่ได้ ต้องอาศัยกระบวนการทางกฎหมาย ดังนั้นถึงแม้จะมีการเจรจาเพื่อปรองดอง แต่ก็ต้องเอากฎหมายไปลบล้างคำตัดสินของศาลอยู่ดี ไม่มีช่องทางอื่น”

ทั้งนี้ อุปสรรคสำคัญยังอยู่ที่ภาคประชาชนจะยอมรับเรื่องนี้ได้มากน้อยแค่ไหน ทำให้ทางฝ่ายพ.ต.ท.ทักษิณยังต้องอาศัยกรรมาธิการวิสามัญปรองดองให้ พล.อ.สนธิ บุญยกลิน อดีตแกนนำคมช.(คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข) เป็นประธาน และให้สถาบันพระปกเกล้าเสนอความคิดเห็นให้มีพ.ร.บ.นิรโทษกรรมและยกเลิกอำนาจ คตส. เพื่อสร้างกระบวนการให้สังคมยอมรับ ลดทอนกระแสต่อต้าน

อย่างไรก็ดี ความพยายามที่จะนำ พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาประเทศไทยโดยไม่มีการดำเนินคดีนั้น จะนำไปสู่ความรุนแรงของความขัดแย้งระหว่างมวลชนได้หรือไม่ มองว่า กระบวนการความขัดแย้งอย่างเป็นนามธรรมทางการเมืองนั้นยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง และกำลังสั่งสมทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ และมีสิทธิที่จะนำไปสู่ความรุนแรงได้ไม่ยาก

“ที่ผ่านมากลุ่มสีเสื้อจะเป็นลักษณะขัดแจ้งกับอำนาจรัฐ เช่นตอนประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลก็มีเรื่องของมวลชนเสื้อแดงที่ 4 แยกราชประสงค์ ตอนสมัยสมัคร สุนทรเวชและสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกฯ ก็มีมวลชนเสื้อเหลืองออกมาต่อต้าน ที่ผ่านมาแดง-เหลืองจึงไม่เคยปะทะกันเอง เพราะมีความพยายามหลีกเลี่ยงอยู่ แต่ในอนาคตไม่แน่ หากมีเหตุการณ์ผันแปร ซึ่งเมื่อเกิดสภาพสังคมเป็นอนาธิปไตย ทหารจะเข้ามายึดอำนาจหรือแค่เข้ามารักษาสถานการณ์ก็เป็นไปได้เช่นกัน”

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง