:ขยายปมร้อน โดย ศรุติ ศรุตา
จะว่าไปแล้ว ถ้า สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ ไม่คืนพาสปอร์ตให้ ทักษิณ ชินวัตร ก็ไม่ได้หมายความว่า ในโลกนี้อดีตนายกฯ ผู้นี้จะไปไหนมาไหนไม่ได้ เพราะมีพาสปอร์ตของมอนเตเนโกรอยู่แล้ว
แต่ที่อยากได้พาสปอร์ตคืนก็แค่เพื่อความสะใจ ให้พวกอำนาจเก่า พวกตรงกันข้ามได้ดิ้นหน้าแดงเล่นๆ
ที่สำคัญกว่านั้น ก็คือ มันตอบสนองก๊วนแดงที่อยากให้ปิดเกมเร็วได้ถึงอกถึงใจ
เพราะในตอนนี้ ทักษิณ และพวกที่อยู่วงแหวนชั้นในเองต่างก็รับรู้ถึงอารมณ์แดงได้เป็นอย่างดีว่า ในจังหวะนี้ การ "ปิดเกมเร็ว" คือช่วงที่ต้องทำ
เรื่องนี้ถ้าไปถาม ส.ส.พรรคเพื่อไทยคงจะไม่แฮปปี้เท่าใดนัก เพราะถ้าไปแตกหักในช่วงนี้ อนาคตในวันข้างหน้ายังไม่รู้ว่าจะออกหมู่หรือจ่า
แต่ปัญหาก็คือ เสียงปรับทุกข์ไม่พอใจเพราะเชื่องช้า มันเริ่มดังมากขึ้นทุกขณะ ยิ่งดังก็ยิ่งเท่ากับเป็นการบีบให้ทักษิณต้องตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วก็มีเพียงหนึ่งทางเลือกเท่านั้น คือ เดินไปข้างหน้าเพื่อปิดเกม ถึงแม้จะรู้ดีว่า ต้องแตกหัก
เพราะทักษิณเองก็รู้ดีว่า หากปล่อยให้ยืดเยื้อออกไปสถานการณ์นับวันจะยิ่งง่อนแง่น โอนเอนไปตามแรงเหวี่ยงที่เกิดจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่สภาพในตอนนี้แทบไม่ต่างขอนไม้ลอยน้ำ ไร้ทิศไร้ทาง ไม่ต้องพูดถึงผลงาน เอาแค่ตอบคำถามสื่อ แก้ทุกข์ยากของชาวบ้านที่ถูกน้ำท่วมก็ย่ำแย่แล้ว
ถึงขนาดมีคนพูดไปว่า การตัดสินใจล่าช้า หรือกล้าๆ กลัวๆ ทำให้งานมงคลของลูกสาวก็ยังไม่มีโอกาสมาร่วมงาน
ตรงนี้เจ็บจี๊ด เหมือนโดนเหยียบตาปลาเต็มๆ กันทีเดียว
นั่นคือที่มาของความพยายามขับเคลื่อน "ตัวเร่งปฏิกิริยา" ทั้งหลายออกมาอย่างต่อเนื่อง
ออก พ.ร.บ.ปรองดอง แก้รัฐธรรมนูญ รวมทั้งแก้กฎหมายอาญา มาตรา 112
แต่ละเรื่องล้วนแต่เรียกแขก ทั้งมวลชนคนเสื้อเหลือง หลากสี เสื้อน้ำเงิน และน่าจะรวมไปถึงสีเขียว
โดยเฉพาะสีเขียวนี่ ยังมีเรื่องที่ "คา" กันไว้ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ในลักษณะที่ว่า ขยับไม่ถูกที่มีสิทธิ์เกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝัน
ยกเว้นว่า ได้ประเมินราคากันแล้วว่า ขนาดไหน เอาอยู่หรือไม่
สถานการณ์มาถึงตรงนี้ แทบไม่มีทางเลือกอื่นใด เพราะต่างก็รู้ดีว่า ยิ่งนานวันความเสื่อมถอยยิ่งเกิด มวลชนที่คึกคักฮึกเหิมจากวันที่ชนะการเลือกตั้งเริ่มหดหายไปกับสายน้ำ
แกนนำแดงก็เกรงว่า เมื่อถึงวันหนึ่งสภาพของแดงจะไม่ต่างกับเหลือง
เพราะกิจกรรมที่จะจัดขึ้นเพื่อผลทางการเมืองก็มีเพียงแค่การเปิดหมู่บ้านแดงที่นั่นที่นี่ แต่เมื่อดูกระแสเข้าจริง เสียงตอบรับกลับไม่แรงอย่างที่คาด ข่าวที่ออกมาบางแห่งมีอยู่หรอมแหรม
แต่ถึงกระนั้น แรงกดดัน-เรียกร้องให้ปิดเกมก็ยังคงมีต่อเนื่อง ถึงแม้การตอบสนองจะไม่เต็มที่เต็มทาง สภาพจึงอยู่ในลักษณะ หน่วงๆ
ไม่ถึงกับอึดอัดคับแน่น แต่ก็รู้ว่า ถ้าได้ปลดปล่อยแล้วมันจะขนาดไหน
สิ่งที่เกิดขึ้นและกำลังจะเกิดขึ้น หากเปรียบไปแล้ว มันไม่ต่างจากภาวะก่อนที่จะเกิดพายุใหญ่
มองในแง่มุมของทหาร เขาเรียกว่า อยู่ในภาวะ "ดุลยภาพ ซึ่งเป็นมหันตภัยร้ายแรง"
ภาวะเช่นนั้นคือ ลักษณะของคู่ต่อสู้ 2 ฝ่าย มีอำนาจ และกำลังที่ทัดเทียมกัน
หากเมื่อใดเกิดการปะทะกัน ความรุนแรงจะเกิดขึ้นจนสุดจะหยั่งถึงความเสียหาย
สภาพเช่นนี้จะเป็นอันตรายต่อประเทศ เพราะจะเดินหน้าก็ไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่ได้อีกเช่นกัน
ว่ากันให้ชัดๆ ก็คือ ทั้งสองฝ่ายต่างก็เอามีดจ่อคอหอยของฝ่ายตรงกันข้าม
สภาพเช่นนี้ประเทศก็จะเดินไปทางไหนไม่ได้ ในขณะที่รัฐบาลได้ใจจากมวลชนคนรากหญ้า แต่กับนักธุรกิจหรือชนชั้นกลางที่ขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจความนิยมกลับดิ่งเหว
ถามว่า ทางออกคืออะไร ?
มุมมองของทหารแล้ว อาจเรียกสภาวะเช่นนี้เป็นทฤษฎีทางการเมืองเลยทีเดียว เมื่อเกิด "ดุลยภาพซึ่งเป็นมหันตภัยร้ายแรง" ขึ้นมาแล้ว ทางออกก็คือ สองฝ่ายหลีกเลี่ยงที่จะปะทะกันไม่ได้
ไม่เช่นนั้นมันก็คากันอยู่อย่างนี้ รอจังหวะที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอ่อนแอ หรือเพลี่ยงพล้ำก็จะถูกอีกฝ่ายเข้าทำลาย
มันต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่กุมชัยชนะได้อย่างเด็ดขาด แม้ชัยชนะนั้นจะยืนอยู่บนหายนะของประเทศก็ตาม
สถานการณ์เช่นนี้ ไม่ใช่ว่าเกิดขึ้นในประเทศไทย แต่เพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว รวมทั้ง มอนเตเนโกร ประเทศเจ้าของสัญชาติทักษิณ นั่นก็แตกออกมาเพราะภาวะเช่นนี้
แล้วนี่ก็คือปัญหาใหญ่ คือทำอย่างไรไม่ให้ความขัดแย้งของคนสองฝ่ายเดินทางไปถึงจุดที่ว่า
คำถามนี้เชื่อว่า ประชาชนคนไทยหลายคนคงมีคำตอบ หลายคนน่าจะเอาไปขบคิดเพื่อดูแลที่อยู่ที่กินของตน
เพราะนี่คือ อนาคตของเราทุกคน
แต่ที่อยากได้พาสปอร์ตคืนก็แค่เพื่อความสะใจ ให้พวกอำนาจเก่า พวกตรงกันข้ามได้ดิ้นหน้าแดงเล่นๆ
ที่สำคัญกว่านั้น ก็คือ มันตอบสนองก๊วนแดงที่อยากให้ปิดเกมเร็วได้ถึงอกถึงใจ
เพราะในตอนนี้ ทักษิณ และพวกที่อยู่วงแหวนชั้นในเองต่างก็รับรู้ถึงอารมณ์แดงได้เป็นอย่างดีว่า ในจังหวะนี้ การ "ปิดเกมเร็ว" คือช่วงที่ต้องทำ
เรื่องนี้ถ้าไปถาม ส.ส.พรรคเพื่อไทยคงจะไม่แฮปปี้เท่าใดนัก เพราะถ้าไปแตกหักในช่วงนี้ อนาคตในวันข้างหน้ายังไม่รู้ว่าจะออกหมู่หรือจ่า
แต่ปัญหาก็คือ เสียงปรับทุกข์ไม่พอใจเพราะเชื่องช้า มันเริ่มดังมากขึ้นทุกขณะ ยิ่งดังก็ยิ่งเท่ากับเป็นการบีบให้ทักษิณต้องตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วก็มีเพียงหนึ่งทางเลือกเท่านั้น คือ เดินไปข้างหน้าเพื่อปิดเกม ถึงแม้จะรู้ดีว่า ต้องแตกหัก
เพราะทักษิณเองก็รู้ดีว่า หากปล่อยให้ยืดเยื้อออกไปสถานการณ์นับวันจะยิ่งง่อนแง่น โอนเอนไปตามแรงเหวี่ยงที่เกิดจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่สภาพในตอนนี้แทบไม่ต่างขอนไม้ลอยน้ำ ไร้ทิศไร้ทาง ไม่ต้องพูดถึงผลงาน เอาแค่ตอบคำถามสื่อ แก้ทุกข์ยากของชาวบ้านที่ถูกน้ำท่วมก็ย่ำแย่แล้ว
ถึงขนาดมีคนพูดไปว่า การตัดสินใจล่าช้า หรือกล้าๆ กลัวๆ ทำให้งานมงคลของลูกสาวก็ยังไม่มีโอกาสมาร่วมงาน
ตรงนี้เจ็บจี๊ด เหมือนโดนเหยียบตาปลาเต็มๆ กันทีเดียว
นั่นคือที่มาของความพยายามขับเคลื่อน "ตัวเร่งปฏิกิริยา" ทั้งหลายออกมาอย่างต่อเนื่อง
ออก พ.ร.บ.ปรองดอง แก้รัฐธรรมนูญ รวมทั้งแก้กฎหมายอาญา มาตรา 112
แต่ละเรื่องล้วนแต่เรียกแขก ทั้งมวลชนคนเสื้อเหลือง หลากสี เสื้อน้ำเงิน และน่าจะรวมไปถึงสีเขียว
โดยเฉพาะสีเขียวนี่ ยังมีเรื่องที่ "คา" กันไว้ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ในลักษณะที่ว่า ขยับไม่ถูกที่มีสิทธิ์เกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝัน
ยกเว้นว่า ได้ประเมินราคากันแล้วว่า ขนาดไหน เอาอยู่หรือไม่
สถานการณ์มาถึงตรงนี้ แทบไม่มีทางเลือกอื่นใด เพราะต่างก็รู้ดีว่า ยิ่งนานวันความเสื่อมถอยยิ่งเกิด มวลชนที่คึกคักฮึกเหิมจากวันที่ชนะการเลือกตั้งเริ่มหดหายไปกับสายน้ำ
แกนนำแดงก็เกรงว่า เมื่อถึงวันหนึ่งสภาพของแดงจะไม่ต่างกับเหลือง
เพราะกิจกรรมที่จะจัดขึ้นเพื่อผลทางการเมืองก็มีเพียงแค่การเปิดหมู่บ้านแดงที่นั่นที่นี่ แต่เมื่อดูกระแสเข้าจริง เสียงตอบรับกลับไม่แรงอย่างที่คาด ข่าวที่ออกมาบางแห่งมีอยู่หรอมแหรม
แต่ถึงกระนั้น แรงกดดัน-เรียกร้องให้ปิดเกมก็ยังคงมีต่อเนื่อง ถึงแม้การตอบสนองจะไม่เต็มที่เต็มทาง สภาพจึงอยู่ในลักษณะ หน่วงๆ
ไม่ถึงกับอึดอัดคับแน่น แต่ก็รู้ว่า ถ้าได้ปลดปล่อยแล้วมันจะขนาดไหน
สิ่งที่เกิดขึ้นและกำลังจะเกิดขึ้น หากเปรียบไปแล้ว มันไม่ต่างจากภาวะก่อนที่จะเกิดพายุใหญ่
มองในแง่มุมของทหาร เขาเรียกว่า อยู่ในภาวะ "ดุลยภาพ ซึ่งเป็นมหันตภัยร้ายแรง"
ภาวะเช่นนั้นคือ ลักษณะของคู่ต่อสู้ 2 ฝ่าย มีอำนาจ และกำลังที่ทัดเทียมกัน
หากเมื่อใดเกิดการปะทะกัน ความรุนแรงจะเกิดขึ้นจนสุดจะหยั่งถึงความเสียหาย
สภาพเช่นนี้จะเป็นอันตรายต่อประเทศ เพราะจะเดินหน้าก็ไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่ได้อีกเช่นกัน
ว่ากันให้ชัดๆ ก็คือ ทั้งสองฝ่ายต่างก็เอามีดจ่อคอหอยของฝ่ายตรงกันข้าม
สภาพเช่นนี้ประเทศก็จะเดินไปทางไหนไม่ได้ ในขณะที่รัฐบาลได้ใจจากมวลชนคนรากหญ้า แต่กับนักธุรกิจหรือชนชั้นกลางที่ขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจความนิยมกลับดิ่งเหว
ถามว่า ทางออกคืออะไร ?
มุมมองของทหารแล้ว อาจเรียกสภาวะเช่นนี้เป็นทฤษฎีทางการเมืองเลยทีเดียว เมื่อเกิด "ดุลยภาพซึ่งเป็นมหันตภัยร้ายแรง" ขึ้นมาแล้ว ทางออกก็คือ สองฝ่ายหลีกเลี่ยงที่จะปะทะกันไม่ได้
ไม่เช่นนั้นมันก็คากันอยู่อย่างนี้ รอจังหวะที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอ่อนแอ หรือเพลี่ยงพล้ำก็จะถูกอีกฝ่ายเข้าทำลาย
มันต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่กุมชัยชนะได้อย่างเด็ดขาด แม้ชัยชนะนั้นจะยืนอยู่บนหายนะของประเทศก็ตาม
สถานการณ์เช่นนี้ ไม่ใช่ว่าเกิดขึ้นในประเทศไทย แต่เพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว รวมทั้ง มอนเตเนโกร ประเทศเจ้าของสัญชาติทักษิณ นั่นก็แตกออกมาเพราะภาวะเช่นนี้
แล้วนี่ก็คือปัญหาใหญ่ คือทำอย่างไรไม่ให้ความขัดแย้งของคนสองฝ่ายเดินทางไปถึงจุดที่ว่า
คำถามนี้เชื่อว่า ประชาชนคนไทยหลายคนคงมีคำตอบ หลายคนน่าจะเอาไปขบคิดเพื่อดูแลที่อยู่ที่กินของตน
เพราะนี่คือ อนาคตของเราทุกคน
..................
(หมายเหตุ : ดุลยภาพซึ่งเป็นมหันตภัยร้ายแรง : ขยายปมร้อน โดย ศรุติ ศรุตา)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น