บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2554

'ยิ่งลักษณ์' 1 เดือนเหมือน 1 ปี เชื่อ!พูดแล้วทำ แต่ 'ยังไม่มั่นใจ'


คิดใหม่ วันอาทิตย์
อดิศักดิ์ ลิมปรุงพัฒนกิจ

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

ครบรอบหนึ่งเดือนหลังรัฐบาลแถลงนโยบายเริ่มนับหนึ่งทำงานเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม เวลาผ่านไปไวเหมือนเล่นโกหก

    ทำเอาหน้าใสๆ กว่าวัยจริง 44 ปีของ "นายกรัฐมนตรีหญิงของเรา" เริ่มออกแววมองเห็นริ้วรอยขอบตาช้ำๆ ออกจะหมองๆ ลงไปด้วยเวลาอันรวดเร็ว 

     อันเกิดจาก "ทักษิณคิดไว-ยิ่งลักษณ์ทำแต่ยังไม่ได้ดั่งใจ" ตามประสา "มือใหม่" หัดขับเพิ่งเข้าสู่วงการการเมืองมาได้ไม่กี่เดือน แต่คุณน้องกลับต้องมาแบกรับปัญหาหนักอึ้งรุมล้อมยิ่งกว่าสมัยคุณพี่ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีรอบแรกปี 2544 ที่ได้ลิ้มลองตำแหน่งรัฐมนตรีมา 2-3 รอบ จนจิตวิญญาณความเป็นเสนาบดีเข้าสิง หลังศาลรัฐธรรมนูญลงมติเสียงข้างมาก 7-6 ให้คดีซุกหุ้นไม่ผิดถือเป็นแค่ "บกพร่องโดยสุจริต"  ถือเป็นการปล่อยเสือออกจากกรม ทำให้คุณพี่ทักษิณพุ่งทะยานดั่ง พยัคฆ์ติดปีก-อัศวินติดจรวดเทอร์โบ ทำงานเป็นบ้าเป็นหลัง

     แต่อาการคุณน้อง "นายกรัฐมนตรีหญิงของเรา" ในยามนี้ เพิ่งผ่านมาได้ 1 เดือน น่าจะยังเสมือนอยู่ในช่วงทดลองงานเสียมากกว่าจะเป็นดังนารีขี่ม้าขาววิ่งฉิวด้วยเครือข่าย 3 G ความเร็วสูงสุด 42 เม็ก ตามที่ใครต่อใครคาดหวังไว้สูงส่ง น่าจะเป็นเพราะ "ตุ้มถ่วง" จากพวกกระเหี้ยนกระหือรืออยากจะแก้แค้นไม่อยากแก้ไขเยอะแยะตาแปะไก่กว่าสมัยคุณพี่ทักษิณเอามากๆ  

    ทำเอา "นายกรัฐมนตรีหญิงของเรา" ตอบคำถามคุณป้าคุณน้องนักข่าวที่ส่วนใหญ่มีสภาพไม่ต่างจาก "หมาล่าข่าวล่าเนื้อ" ได้แค่ "ไม่ใช่นโยบายของรัฐบาลนะคะ" เป็นประโยคฮิตติดชาร์จเดือนแรก

    ผมได้ยินแล้วก็อดจะออกอาการสงสารไม่ได้จริงๆ  ยิ่งได้เห็นอาการปิดปากกลั้นหัวเราะไม่อยู่หลังประสบความสำเร็จมุดหลบหลีกนักข่าวทำเนียบรัฐบาลเข้าไปอยู่ในลิฟต์ได้อย่างรวดเร็ว

    จึงยังไม่อยากจะวิพากษ์วิจารณ์ให้เสียกำลังใจ  แต่เมื่อเวลาผ่านไปได้หนึ่งเดือนเต็มก็จะขอลองไล่เรียงจุดแข็งจุดอ่อนของแต่ละนโยบายที่กลับอยู่ในสภาพ "ถั่งโถม" โหมแรงไฟออกมาอย่างไม่บันยะบันยัง ด้วยหวังว่า "นายกรัฐมนตรีหญิงของเรา" ยังอยู่ในภาวะ "น้ำไม่เต็มแก้ว" พร้อมจะ "รับฟัง" แล้วยัง "ได้ยิน" สาระจริงๆ แล้ว ลองนำไปพิจารณาปรับปรุงจุดอ่อน

     เมื่อเทียบการบริหารประเทศในเดือนแรกของ "นายกรัฐมนตรีหญิงของเรา" กับ "อดีตนายกรัฐมนตรีของเรา" คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แล้ว จะเห็นได้ชัดว่าคนละสไตล์จริงๆ

     พูดตรงๆ ว่า ถ้าคุณอภิสิทธิ์กล้าตัดสินใจทำได้ "เร็ว-แรง" เพียงแค่ครึ่งเดียวของคุณยิ่งลักษณ์ ก็จะทำให้ผู้คนไม่ออกอาการหงุดหงิด จนส่งผลทำให้นโยบายต่อๆ มาของคุณอภิสิทธิ์กลายเป็น Personal Brand แบบคิดเยอะทำช้าเกินไป  ไม่ทันความใจร้อนของผู้คนที่อยู่ในภาวะหมดความอดทนต่อนักการเมือง  แล้วคุณอภิสิทธิ์ก็ยังพยายามอธิบายด้วยประโยคซ้ำๆ มากเกินไป  โดยไร้ "วรรคทอง" ไม่เลือกจับประเด็นให้ชัดว่านโยบายพวกนั้นทำไปเพื่ออะไร แล้วเจาะกลุ่มเป้าหมาย Segmentation ไหน 

     แม้ว่าคุณอภิสิทธิ์จะมีวาทศิลป์สื่อสารเรื่องราวได้เก่งกว่าคุณยิ่งลักษณ์หลายเท่า  แต่น่าเสียดายว่า "สาร" ที่ออกไปขาดการเน้นย้ำประเด็นหลักๆ ด้วยภาษาการตลาด  จนทำให้ชาวบ้านไม่ประทับลงไปในใจจนกลายเป็น "จดจำ" แล้วเชื่อมั่นศรัทธาในแบรนด์ประชาธิปัตย์ที่เป็น Corporate Brand ที่ออกจะคร่ำครึไม่เคย Re-Brand จริงๆ แล้ว ยังไปคู่กับแบรนด์คุณอภิสิทธิ์ที่ยังเป็น Personal Brand แบบกลางเก่ากลางใหม่ทำให้การทำงานไม่ส่งเสริมกันเลย

    แต่คุณยิ่งลักษณ์ก็ยังมีข้ออ่อนในเรื่องการพูดจา "สื่อสาร" กับสังคม  เพื่อทำความเข้าใจในนโยบายหลักๆ ที่เข้าใจได้ว่าจะต้องเร่งปล่อยออกไปในช่วง 1 เดือน เพื่อลบล้างคำปรามาสในความอ่อนด้อยประสบการณ์ของคุณยิ่งลักษณ์ และยังอาจจะเป็นความพยายามกลบเกลื่อนนโยบายร้อนๆ ทางการเมือง  เช่น  การโยกย้ายข้าราชการระดับสูงที่ไม่ใช่พวกตัวเอง  การทดสอบกระแสช่วยทักษิณกลับบ้านให้ได้ภายในปีนี้ ฯลฯ

    การเร่ง "ปล่อยของ" เป็นระยะๆ แบบราย 3 วันและรายสัปดาห์ของ "นโยบายหลักๆ ของ "นายกรัฐมนตรีของเรา" คล้ายๆ กับกลยุทธ์การทดสอบออกแบบ "สินค้า" เพื่อลองรสนิยมของผู้บริโภค  แล้วนำกลับมาวิจัยแก้ไขให้ถูกใจผู้บริโภคมากขึ้นก่อนจะออกขายจริง

    วิธีการออกจะแตกต่างจากสมัยคุณพี่ทักษิณยุคแรกที่ "น้ำยังเต็มถ้วย"  จึงเริ่มต้นจาก Work Shop ในเชิงนโยบายกับข้าราชการและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องว่ามีความเห็นอย่างไร  แล้วค่อยปล่อยของออกมาสู่ตลาดจริงๆ ที่มักได้รับเสียงสนับสนุนมากกว่าเสียงค้าน  ด้วยว่าคุณพี่ทักษิณมีอาชีพเก่าเป็นเซลส์แมนในสายเลือด ทำให้การสื่อสารกับสังคมได้เข้าใจแม้ว่าจะมีข้อห่วงใยมากมายแต่มักฝ่าด่านไปได้

     แต่คุณน้องยิ่งลักษณ์แม้ว่าจะได้รับการบ่มเพาะ "โคลนนิง" วิธีการทำงานของคุณพี่ชายมาตั้งแต่เริ่มทำงานครั้งแรกในบริษัทครอบครัวชินวัตร จนตำแหน่งสุดท้ายก็ยังวนเวียนในบริษัทในครอบครัว แต่การที่คุณน้องไม่ได้เคยบุกเบิกธุรกิจด้วยตัวเองสักอย่าง

     คุณน้องจึงยังไม่ใช่ "เซลส์แมน" ที่มี "จิตวิญญาณแบบเถ้าแก่" สิงสถิตแนบแน่นมุ่งมั่นทะเยอทะยานอยากจะเป็นเศรษฐี อยากจะมีหน้ามีตาในสังคมอยากจะมุ่งเข้าสู่ถนนการเมืองที่มีทั้งอำนาจและบารมีเหมือนกับคุณพี่ทักษิณ  จึงทำให้คุณน้องยิ่งลักษณ์ยังทำงานแบบ "นักบริหารมืออาชีพ" เป็นมนุษย์เงินเดือนแม้ว่าจะทำงานหนักมากกว่าสมัยทำงานบริษัท แต่หาได้เกิดอาการทะเยอทะยานอยากจะพิสูจน์ตัวเองว่าเป็น "นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย" ที่มีความสามารถไม่แพ้นายกรัฐมนตรีชาย

    การสื่อสารในเชิงนโยบายกับสังคมถือเป็นจุดอ่อนมากๆ ของ "นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของเรา" หากยังไม่รับการแก้ไขอย่างจริงจังภายใน 2-3 เดือนข้างหน้าจะทำให้ระยะเวลา "น้ำผึ้งพระจันทร์" หดสั้นจุดจู๋แม้จะได้คะแนนมากว่า 15 ล้านคะแนน จนทำให้ไม่ทันจะหาวิธีซิกแซกแก้ไขกฎหมายร่างรัฐธรรมนูญใหม่ เพื่อหาทางช่วยฟอกผิดคุณพี่ทักษิณให้ผ่านพ้นวิบากกรรมกลับเข้ามาในประเทศไทยได้อย่างผู้คนปกติธรรมดาเสียที

    นโยบายลดส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเพื่อลดค่าครองชีพประชาชน : รัฐมนตรีพลังงาน "พิชัย  นริพทะพันธุ์"
    เกือบเสียรังวัดไปกับการตัดสินทุบโต๊ะลดเงินส่งเข้ากองทุนเบนซิน-ดีเซลแต่ไม่ใส่ใจแก๊สโซฮอล์ คงจะด้วยความเก๋าทางการเมืองพอตัวหลังจากจากทำธุรกิจอัญมณีที่มีเหลี่ยมแพรวพราวจนร่ำรวยเป็นนายทุนพรรค ทำให้คุณพี่พิชัยสามารถกลับลำแก้ทางเสียงโจมตีได้ภายใน 2-3 วัน 

     ด้วยการเอี้ยวตัวหลบหมัดน็อคจากพวกแก๊สโซฮอล์ เสนอภาพใหญ่กว่าว่าแท้จริงแล้ว ต้องการจะปรับปรุงกลไกภาษาและการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์พลังงานของประเทศที่มีการบิดเบือนราคาและต้นทุนกันมาก แล้วยังได้รับเสียหนุนว่ารัฐบาลควรลดหรือเลิกอุดหนุนการใช้ก๊าซหุงต้ม เพื่อไม่ให้มีการบิดเบือนราคาอีกต่อไป

     นโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน : รัฐมนตรีแรงงาน "เผดิมชัย สะสมทรัพย์" ที่เพิ่งพ้นจากคำสั่งศาลให้เป็นบุคคลล้มละลายเมื่อเดือนพฤษภาคม 2554

      ออกจะน่าห่วงกว่าเพื่อน  เพราะอาการหงุดหงิดโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงท้าตีท้าต่อยกับคำถามเซ้าซี้ของนักข่าวเรื่อง "ค่าจ้างหรือค่าแรงขั้นต่ำ"  

    แล้วยังพยายามบังคับให้กลุ่มแรงงานเชื่อว่าจะทำให้ได้ 300 บาทต่อวันทั่วประเทศในระยะเวลาหนึ่งแต่ขอนำร่องเริ่มจาก 7 จังหวัดก่อน  แต่ด้วยอาการ "น้ำเต็มแก้ว" ของคุณน้าเผดิมชัยที่ไม่ค่อยจะยอมลดราวาศอกกับเสียงทวงถามท้วงติงน่าจะทำให้นโยบายนี้ยังไม่ถือว่าผ่านปลอดโปร่ง  เพียงแต่ยังรอวันปะทุจากกระแส "การเมืองในกลุ่มแรงงาน" ที่บทจะไม่ฟังใครก็มักเกิดขึ้นบ่อยๆ จับตาดูกันให้ดีๆ ก็แล้วกัน

   นโยบายเงินเดือนปริญญาตรีข้าราชการเริ่มต้น 15,000 บาท :
    พอจะกล้อมแกล้มเลี่ยงไปใช้เป็นการปรับเพิ่มค่าครองชีพ ให้กลายเป็น "รายได้รวมของข้าราชการ" ที่จบปริญญาตรีมากกว่า 15,000 บาท ก็ถือได้ว่าสอบผ่านไปอีกข้อ แม้จะเกือบตกเพราะไม่ได้เป็นไปตามป้ายโฆษณาหาเสียง "เงินเดือนปริญญาตรีข้าราชการ 15,000 บาท" 

     แต่เอาเถอะข้าราชการระดับปริญญาตรีกว่า 4-5 แสนคนได้มีเงินใน "กระเป๋า" มากขึ้นตามนั้นก็เป็นอันใช้ได้แล้ว  รอแต่เพียงว่าพวกจบปริญญาโท-ปริญญาเอกที่เงินเดือนสตาร์ทยังต่ำเตี้ยสูงกว่า 15,000 บาทไปไม่เท่าไร หลังจากถูกเงินเดือนพวกจบปริญญาตรีจี้ก้นมากๆ อาจจะร้องออกมาดังๆ ขอเงินเดือนเพิ่ม ก็ค่อยไปว่ากันก็ไม่เสียหาย แต่เสียเงินงบประมาณแน่ๆ

     นโยบายรถยนต์คันแรกกับนโยบายบ้านหลังแรก  : รัฐมนตรีช่วยว่าการ "บุญทรง เตริยาภิรมย์" น่าจะอยู่ในอาการน่าห่วงมากๆ อีกคน  

     แม้โดยประสบการณ์ชั่วโมงบินของคุณน้าบุญทรงเคยไปถึงประธานสภาอุตสาหกรรมเชียงใหม่ และยังเป็นดีลเลอร์ใหญ่ของเบนซ์ธนบุรีประจำเชียงใหม่ในนามบริษัทเบนซ์ช้างเผือกกับเจ้าของโรงเลื่อยจักรไทยพนา ที่เกี่ยวๆ โดยอ้อมกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์  แต่เหตุไฉนจึงออกมาเสียรังวัดพอประมาณกับนโยบายคืนภาษีรถยนต์คันแรก ที่เร่งออกประกาศด้วยรายละเอียดยิบๆ แต่กลับถูกท้วงติงจากคนในวงการเช่าซื้อรถ   จนต้องกลับมาแก้ไขกันอีกรอบ ลดเงื่อนไขลงเยอะ และยังยอมเพิ่มขนาดซีซีให้ครอบคลุมมากขึ้น

     ส่วนนโยบายบ้านหลังแรกยิ่งออกทะเลไปไกล ประกาศออกมาโดยไม่ได้เคยถามไม่ได้เคยประชุมกับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ว่ามาตรการลดหย่อนภาษีแบบนี้ จะได้ผลกระตุ้นกำลังซื้อได้แค่ไหน แล้วยิ่งมาโดน "จับผิด" เรื่องโฆษณาของบ้านบริษัทเอสซีแอสเสทที่ "นายกรัฐมนตรีหญิงของเรา" เคยบริหารมาก่อน

     แต่ว่ากันด้วยใจเป็นธรรมไม่อคติกันเกินไป ออกจะมองโลกแง่ร้ายเกินไปว่านโยบายนี้ทำเพื่อธุรกิจบ้านจัดสรรของเอสซี แต่ความจริงแล้วนโยบายนี้กลับไม่ได้ช่วยกระตุ้นให้ผู้ซื้อบ้านหลังแรกตัดสินใจเลย เมื่อเทียบกับนโยบายบ้านหลังแรกของรัฐบาลที่แล้วที่ให้ดอกเบี้ย 0% ผ่านธนาคารอาคารสงเคราะห์ ที่มีคนแห่ไปรอบัตรคิว

    หนึ่งเดือนแรกของ "นายกรัฐมนตรีหญิงของเรา" ยังไม่สรุปว่า "สอบตก" แต่ยังต้องผ่านการติวเข้มอีกมากมาย แต่ขอเถอะคุณพี่ทักษิณอย่าประเจิดประเจ้อติวเข้มรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยที่มีคุณน้องยิ่งลักษณ์  ผ่าน Skype มาทุกเช้าวันจันทร์ก่อนเริ่มต้นทำงานบริหารบ้านเมืองเลย ปล่อยให้คุณน้องทำงานตามความสามารถของตัวเองบ้าง คุณพี่ทักษิณควรจะเป็นที่ปรึกษาที่ตามปกติแล้วหากเจ้าตัวไม่ขอคำปรึกษา ก็ไม่ควรจะเสนอหน้ามาเอง

     อย่าพูดเยอะเกิน อย่าทำอะไรตามอำเภอใจ และที่สำคัญ ยังมองเห็นคุณน้องยิ่งลักษณ์เป็นแค่คุณหนูน้องสาวคนสุดท้องที่เพิ่งเรียนจบปริญญาตรีหรือโท เริ่มต้นทำงาน ตอนนี้เธอเป็น "นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก" แล้ว คำนึงถึงศักดิ์ศรีของนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย และเกรงใจประชาชนไทยบ้าง หากทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จะทำให้ต่างประเทศมองว่าคุณน้องยิ่งลักษณ์เป็น "นายกรัฐมนตรีตัวปลอม" เสียมากกว่า
 

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง