บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2554

สุดยอดขรก.ไม่มีเหนียม อธิบดีสรรพากรออกโรง! ไม่เก็บภาษีหุ้นจาก'แม้ว' เผยเป็นคนที่กรณ์ปั้นเอง














สุด ยอดขรก.เมืองไทย เมื่อ "ขั้วอำนาจรัฐ" เปลี่ยน ก็ต้องปรับตัว "อธิบดีสรรพากร" ออกโรงเอง ย้ำไม่เก็บภาษีหุ้นจาก "ทักษิณ" อ้างหน้าตาเฉย ในเมื่อศาลฯบอกเจ้าของหุ้นตัวจริงคือ "ทักษิณ" เมื่อขายในตลาดให้เทมาเส็ก ก็ไม่ต้องเสียภาษี เผย "สาธิต" เป็นคนที่ "กรณ์" ปั้นขึ้นมาเองกับมือ โดยกระโดดจากผอ.สำนักเศรษฐกิจการคลัง มาเป็น "อธิบดีสรรพากร"

วันที่ 11 ส.ค. 2554 นายสาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า กรมสรรพากรจะไม่เก็บภาษีหุ้นจากพ.ต.ท.ทักษิณ ชิณวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำนวน 1.2 หมื่นล้านบาท เพราะอดีตนายกฯไม่มีภาระต้องเสียภาษีดังกล่าว

อธิบดี กรมสรรพากร กล่าวว่า หลังจากที่กรมฯไม่ยื่นอุทธรณ์เก็บภาษีหุ้นจากนายพานทองแท้ ชินวัตร และน.ส.พิณทองทา ชินวัตร จำนวน 1.2 หมื่นล้านบาท เพราะศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัยการโอนซื้อขาย หุ้นระหว่างอดีตนายกฯกับบริษัท แอมเพิลริช อินเวสเมนต์ และลูกทั้ง 2 คน เป็นนิติกรรมอำพราง เจ้าของหุ้นตัวจริงเป็น พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ใช่ของลูก

จาก คำตัดสินของศาลดังกล่าว ทำให้พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเจ้าของหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น มาตลอด และเมื่อนำหุ้นไปขายให้กองทุนเทมาเส็กในตลาดหลักทรัพย์ก็ไม่มีภาระต้องเสีย ภาษี เพราะไม่ได้เป็นการซื้อขายนอกตลาด

ย้อนตำนานใครเคยภูมิใจ “ยึดทรัพย์แม้ว” ส่งผลรัฐฯเก็บรายได้สูงกว่าเป้า 6.7 หมื่นล้านบาท

อย่าง ไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อวันที่ 12 พ.ค.2553 นายสาธิต รังคสิริ ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่ง "ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง" ออกมาระบุด้วยความพึงพอใจในผลงานว่า ในเดือนเม.ย. 2553 รัฐบาล จัดเก็บรายได้สุทธิ 1.59 แสนล้านบาท สูงกว่าเป้ากว่า 6.7 หมื่นล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักจากการที่กระทรวงการคลังได้รับโอนเงินจากการยึดทรัพย์ของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร และการบริโภคและการนำเข้าที่ยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ในช่วง 7 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2553 รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิสูงกว่าเป้า หมายแล้วกว่าสองแสนล้านบาท หรือร้อยละ 31.6

ในเดือนเม.ย. 2553 รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 158,984 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 67,368 ล้านบาท หรือร้อยละ 73.5 โดยภาษีที่จัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ 3 อันดับแรก ได้แก่ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีน้ำมัน และอากรขาเข้า ซึ่งมีสาเหตุสำคัญจากการบริโภคและการนำเข้าที่ขยายตัวอย่างต่อ เนื่อง นอกจากนี้ ในเดือนนี้กระทรวง การคลังได้รับโอนเงินจากการยึดทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จำนวน 49,016 ล้านบาท ส่งผลให้รายได้ส่วนราชการอื่นสูงกว่าประมาณการ ถึงร้อยละ 1,837.1

ต่อมาในยุครัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ยุคที่นายกรณ์ จา ติกวณิช เป็นรมว.คลัง มีการปรับย้ายครั้งใหญ่ โดยดึงนายสาธิต รังคสิริ จากผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง มาดำรงตำแหน่ง "อธิบดีกรมสรรพากร" ที่เป็นกรมใหญ่ ซึ่งสร้างความฮือฮาให้กับสังคมในขณะนั้น และระหว่างที่ยังไม่ทราบผลการเลือกตั้ง ที่พรรคเพื่อไทยจะชนะ นายสาธิตก็ยังไม่มีท่าทีที่จะออกมาระบุว่า จะไม่เก็บภาษีคนในตระกูลชินวัตร แต่เมื่อการเมืองเปลี่ยน ความเห็นก็เปลี่ยนทันที

"ปชป." จ๋อย ดาหน้าโต้ "กรมสรรพากร" จี้ให้ตอบให้สังคมเข้าใจ

โดย ก่อนหน้านี้เมื่อวันจันทร์ที่ 8 ส.ค.ที่ผ่านมา นางจิตรมณี สุวรรณพูล รองอธิบดีกรมสรรพากร ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร ได้ออกมาระบุว่า กระทรวงการคลังเห็นชอบตามที่กรมสรรพากรเสนอที่จะไม่อุทธรณ์การเก็บภาษีของ นายพานทองแท้ และน.ส.พินทองทาชินวัตร บุตรชายและบุตรสาวของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คนละ 5,675 ล้านบาท รวม 1.1 หมื่นล้านบาท ในคดีโอนหุ้นบริษัท ชินคอร์ปฯ ผ่านทางบริษัท แอมเพิล ริช อินเวสเมนต์ ที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์เพื่อเลี่ยงการเสียภาษี

ซึ่งในเวลาต่อมา ทำให้อดีตครม.ชุดเก่า ดาหน้าออกมาโต้กันใหญ่ เริ่มจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องให้เขา (กรมสรรพากร) ชี้แจง ว่าถ้าเป็นเช่นนี้แล้วจะเรียกเก็บเงินส่วนนี้กับผู้อื่นหรือไม่ คงจะเป็นไปไม่ได้ ที่จะมีกรณีเงินที่พึงจะเสียภาษี แต่ไม่มีใครเสีย ในทางกลับกันที่จะมีคนเสียมากกว่า 1 คนก็คงจะเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นก็ต้องตัดสินใจว่าจะให้ใครเสีย

ขณะที่นายกรณ์ จา ติกวณิช อดีตรมว.คลัง กล่าวว่า ตนได้ฝากกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือ เมื่อน.ส.พินทองธา และนายพานทองแท้ ไม่เกี่ยวกับทรัพย์ ดังนั้น จัดเก็บภาษีต้องตกอยู่ที่เจ้าของทรัพย์ตัวจริงคือพ.ต.ท.ทักษิณ และไม่ถือว่าขาดอายุความการจัดเก็บ เพราะภาระทางภาษีมีอายุถึง 10 ปี ซึ่งเป็นหน้าที่ของกรมสรรพากรดำเนินการ

เมื่อถามว่า พรรคเพื่อไทยมาเป็นรัฐบาลจะกล้าตามจัดเก็บหรือไม่ นายกรณ์ กล่าว ว่า อยากถามกลับว่าเขากล้าไม่จัดเก็บหรือไม่ เพราะถ้าไม่เก็บ จะเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 แต่ตนเชื่อมือกรมสรรพากรว่าถ้าเขาประเมินเป็นภาษีแล้วต้องเก็บแน่

ขณะ ที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า เป็นเรื่องที่พอคาดเดาได้ว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้น เพราะเป้าหมายของพ.ต.ท.ทักษิณเป็นเรื่องเดิม คือต้องการเอาทรัพย์สินคืน ส่วนจะทำได้หรือไม่คงต้องดูกันต่อไป

thaiinsider

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง