โดย ธรรมชาติ คนที่เป็นเจ้าของที่แท้จริงของพรรคการเมืองคือ สมาชิกพรรค และประชาชนทั่วไป ไม่ใช่นายทุนแต่อย่างใด เพราะนายทุนพรรคการเมืองจะมีกำลังทรัพย์สักเท่าใด ก็ตามท้ายที่สุดก็ต้องมาขอเสียงเป็นฉันทามติจากสมาชิ
กพรรค และประชาชนอยู่ดี ถ้าสมาชิกพรรคและประชาชนไม่เอาด้วย พรรคนั้นก็สิ้นสุดลงได้ง่ายๆ
ถ้าประชาชนตระหนักถึงความจริงข้างต้น ก็จะรู้เท่าทันนายทุนหรือผู้มีอำนาจอยู่เบื้องหลังพรรค และสามารถกำหนดความเป็นไปของพรรคได้ ดังนี้
ปกติเวลาผู้บริโภคจะซื้อสินค้า ก็จะต้องบอกคนขายว่าต้องการสินค้านั้นสินค้านี้ ต้องให้สินค้ามีคุณภาพตามข้อกำหนด บางกรณีก็บอกได้ด้วยว่าจะซื้อที่ราคาเท่าไร ผู้ขายก็มีหน้าที่ไปจัดหามาจำหน่ายให้ตามเงื่อนไขนั้น
แต่พอมาเป็นกรณีการเมือง ประชาชนกลับนั่งเฉยๆให้ พรรคสร้างคำพูดที่บอกว่าเป็นนโยบายสวยหรูเอามาพูดให้คนเคลิบเคลิ้มเลือก นักการเมืองของพรรคนั้นไป แต่ทำได้บ้างไม่ทำบ้าง
ทำไมเราไม่ทำเหมือนกับการซื้อสินค้าล่ะ?
แทนที่จะให้พรรคการเมืองเสนอนโยบาย เสนอนักการเมืองของพรรคออกมาให้เราเลือก เราก็บอกออกไปว่าเราต้องการอย่างนั้นอย่างนี้ พรรคการเมืองมีหน้าที่ไปจัดหาจัดทำมาตามที่เราต้องการ ถ้าทำมาจนเป็นที่พอใจของเราเราจึงจะเลือกพรรคและนักการเมืองนั้น และก็คอยติดตามการทำงานของนักการเมืองว่าได้ทำไปอบ่างที่พูดไว้หรือไม่ ถ้าไม่ทำก็ลงโทษด้วยประการต่างๆ
นี่ก็เท่ากับว่าประชาชนบงการให้พรรคการเมืองทำตามความต้อง การของประชาชน นั่นคือความเป็นเจ้าของพรรคที่แท้จริงครับ จะเห็นว่าถ้าประชาชนรู้และตระหนักเรื่องนี้ ก็จะยึดพรรคจากนายทุนได้ไม่ยาก แต่เรามักจะไม่คิด ไม่กล้า ก็เลยไม่ได้ทำ เรื่องนี้ทำคนเดียวไม่สำเร็จครับ ต้องรวมหัวกันทำ ทำกันเป็นเขตๆเลือกตังไปเลย จะเห็นผลครับ
ถ้าประชาชนทำกันให้เป็นธรรมชาติ ฝังเข้าไปในพฤติกรรมประจำวัน เราก็ไม่จำเป็นที่จะให้ สส.สังกัดพรรคการเมือง เพราะสส.ต้องขึ้นกับประชาชนจริงๆ จะทำอะไรก็ต้องนึกถึงประชาชนก่อนอื่นๆ
ที่สำคัญ ถ้าเค้าไม่ทำตามที่เราต้องการก็คิดว่าสินค้าไม่ดี มันก็สิทธิ์ของเราที่จะไม่ขอซื้อสินค้านั้นๆ
ถ้าประชาชนตระหนักถึงความจริงข้างต้น ก็จะรู้เท่าทันนายทุนหรือผู้มีอำนาจอยู่เบื้องหลังพรรค และสามารถกำหนดความเป็นไปของพรรคได้ ดังนี้
ปกติเวลาผู้บริโภคจะซื้อสินค้า ก็จะต้องบอกคนขายว่าต้องการสินค้านั้นสินค้านี้ ต้องให้สินค้ามีคุณภาพตามข้อกำหนด บางกรณีก็บอกได้ด้วยว่าจะซื้อที่ราคาเท่าไร ผู้ขายก็มีหน้าที่ไปจัดหามาจำหน่ายให้ตามเงื่อนไขนั้น
แต่พอมาเป็นกรณีการเมือง ประชาชนกลับนั่งเฉยๆให้ พรรคสร้างคำพูดที่บอกว่าเป็นนโยบายสวยหรูเอามาพูดให้คนเคลิบเคลิ้มเลือก นักการเมืองของพรรคนั้นไป แต่ทำได้บ้างไม่ทำบ้าง
ทำไมเราไม่ทำเหมือนกับการซื้อสินค้าล่ะ?
แทนที่จะให้พรรคการเมืองเสนอนโยบาย เสนอนักการเมืองของพรรคออกมาให้เราเลือก เราก็บอกออกไปว่าเราต้องการอย่างนั้นอย่างนี้ พรรคการเมืองมีหน้าที่ไปจัดหาจัดทำมาตามที่เราต้องการ ถ้าทำมาจนเป็นที่พอใจของเราเราจึงจะเลือกพรรคและนักการเมืองนั้น และก็คอยติดตามการทำงานของนักการเมืองว่าได้ทำไปอบ่างที่พูดไว้หรือไม่ ถ้าไม่ทำก็ลงโทษด้วยประการต่างๆ
นี่ก็เท่ากับว่าประชาชนบงการให้พรรคการเมืองทำตามความต้อง การของประชาชน นั่นคือความเป็นเจ้าของพรรคที่แท้จริงครับ จะเห็นว่าถ้าประชาชนรู้และตระหนักเรื่องนี้ ก็จะยึดพรรคจากนายทุนได้ไม่ยาก แต่เรามักจะไม่คิด ไม่กล้า ก็เลยไม่ได้ทำ เรื่องนี้ทำคนเดียวไม่สำเร็จครับ ต้องรวมหัวกันทำ ทำกันเป็นเขตๆเลือกตังไปเลย จะเห็นผลครับ
ถ้าประชาชนทำกันให้เป็นธรรมชาติ ฝังเข้าไปในพฤติกรรมประจำวัน เราก็ไม่จำเป็นที่จะให้ สส.สังกัดพรรคการเมือง เพราะสส.ต้องขึ้นกับประชาชนจริงๆ จะทำอะไรก็ต้องนึกถึงประชาชนก่อนอื่นๆ
ที่สำคัญ ถ้าเค้าไม่ทำตามที่เราต้องการก็คิดว่าสินค้าไม่ดี มันก็สิทธิ์ของเราที่จะไม่ขอซื้อสินค้านั้นๆ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น