บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ปะทะเดือด พท.ยันขัดแย้งแก้'รธน.-นิรโทษฯ' ปชป.ลั่นต้องมีคนกลาง


"สา ทิตย์"ปะทะ"ปลอดประสพ"แก้ขัดแย้งพท.ย้ำต้องแก้รธน.-นิรโทษฯ ลั่นเอาคนเสื้อแดงนั่งปาร์ตี้ลิสต์เกี่ยวอะไรปชป. ด้าน"สาทิตย์"ยันต้องมีคนกลาง

ที่ โรงแรม สวิสโซเทล เลอ คองคอร์ด รัชดา- เครือข่ายองค์กรสื่อได้จัดสัมมนาสื่อมวลชน เรื่อง พรรคการเมือง ตอบโจทย์สื่อ ปฏิรูปประเทศไทย โดยได้เชิญตัวแทนของพรรคการเมือง ได้แก่ นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ฐานะหัวหน้าพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน (ชพน.), นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย, นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ และ นายวัชระ กรรณิการ์ โฆษกพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) เข้าร่วมเพื่อแถลงนโยบายและตอบคำถามจากตัวแทนสื่อมวลชน
โดยนายปลอดประสพ กล่าวว่า หากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล มี 2 สิ่งที่ต้องทำทันที คือ 1. จะสร้างระบบยุติธรรมและสิทธิที่เป็นมาตรฐานเดียว รวมถึงต้องปรับบวนการยุติธรรมไม่ใช้ระบบหมาหมู่ แต่ต้องใช้เหตุผล ซึ่งต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ   และ 2. ต้องให้ทหารกลับเข้ากรม,กอง   เพื่อทำหน้าที่ของวีรบุรุษ ที่สำคัญทหารต้องยอมรับรัฐบาลที่มาจากประชาชน สำหรับประเด็นการปฏิวัตินั้นไม่กลัว และเชื่อว่าปัจจุบันไม่มีใครยอมรับวิธีการดังกล่าวแล้ว
ส่วนนายสาทิตย์ กล่าวว่า เรื่องที่ดินทำกิน เป็นนโยบายแรกที่พรรคประชาธิปัตย์จะดำเนินการให้ได้ในทันที อาทิ การออกโฉนดชุมชน , ภาษีที่ดิน และการเปิดเผยข้อมูลการถือครองที่ดิน สำหรับประเด็นความขัดแย้งในปัจจุบันที่หลายฝ่ายมองว่ามีนักการเมืองเป็นต้น เหตุ เบื้องต้นยอมรับว่านักการเมืองเป็นหัวหอกความขัดแย้ง ดังนั้นการแก้ไขต้องไม่ใช่การออกกฎหมายหรือนิรโทษกรรมให้กับใครที่ทำผิด แต่ต้องให้คนกลาง หรือคนที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับนักการเมืองเข้าไปแก้ไข

 ผู้ สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อนายสาทิตย์ตอบคำถามดังกล่าว นายปลอดประสพ พูดแทรกขึ้นว่า “ขอตอบแบบมนุษย์ เวลามีใครทะเลาะถึงขั้นต่อยกัน จะเอาคนกลางมาห้ามคงไม่ได้ ต้องให้ 2 ฝ่ายหยุดกันเอง มาจับมือสัญญาว่าเลิกทะเลาะกัน ดังนั้นการปรองดองเป็นการยินยอมพร้อมใจของผู้ที่แตกแยก ไม่ใช่ให้คนอื่นมาชี้   อย่ามาโม้ ให้คนกลางมาช่วยมันเป็นเพียงนิยาย”
 จากนั้นนายสาทิตย์ กล่าวต่อว่า อย่างที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ฐานะแกนนำคนเสื้อแดง เคยพูดบนเวทีว่า หากเพื่อไทยเป็นรัฐบาล จะดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์, นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ หรือ จะย้ายผู้ว่าราชการจังหวัด และขณะนี้นายจตุพร เข้ามาสมัครรับเลือกตั้งแล้ว ดังนั้นการแก้ไขความขัดแย้งต้องเป็นข้อเสนอที่ปราศจากการมีส่วนได้เสียและนำ ไปสู่การปฏิบัติได้ ทั้งนี้ต้องแยกความขัดแย้งเป็น 2 มิติ คือ การละเลยกระบวนการยุติธรรม ด้วยการไปลบล้างความผิด ซึ่งหากทำเช่นนั้นจริงจะเป็นการสั่นคลอนรากฐานกระบวนการยุติธรรม
ทำให้นายปลอดประสพ กล่าวสวนขึ้นว่า "ผมจะให้ใครเป็นปาร์ตี้ลิสต์ไม่ใช้เรื่องของท่าน ขอให้มองในแง่ดีหน่อย ผมเอาพวกเขาที่อยู่ริมถนนเข้าสู่ระบบ จะเสียหายอะไร พวกเขาขึ้นเวทีแล้วเป็นคนหรือไม่ พูดได้หรือไม่ ต้องเคารพกติกาของประเทศ ถึงแม้ว่าแกนนำคนเสื้อแดงไม่มีชื่อในปาร์ตี้สิสต์เพื่อไทย คนเสื้อแดงก็ยังอยู่   ผมว่าคนเราต้องรู้จักให้อภัย และมองโลกในแง่ดี ต้องให้โอกาสเขา"
จากนั้นนายสาทิตย์ กล่าวต่อว่าการเสนอคนกลางที่ไม่มีส่วนได้เสียเข้ามาเป็นกลไกปรองดอง เป็นจุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์ การพาดพิงบุคคลอื่น เป็นการนำเสนอด้วยความห่วงใย แต่ละเรื่องมีเหตุผลของตนเอง แต่คนที่ตัดสินใจเรื่องดังกล่าว คือ ประชาชน
 ด้านนายวัชระ กล่าวยอมรับว่าความขัดแย้งปัจจุบันมาจากนักการเมือง ซึ่งคนทั้งประเทศมองแบบนั้น ดังนั้นวิธีแก้คือนักการเมืองต้องเคารพกติกา และอยู่ภายใต้กฎหมายและกฎเลือกตั้ง ส่วนหลังเลือกตั้งแล้วพรรคชาติไทยพัฒนาจะไปอยู่ข้างไหน ขึ้นอยู่กับมติพรรค 
 ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่าในเวทีดังกล่าวสื่อมวลชนได้สอบถามถึงการบังคับ ใช้มาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา ที่ว่าด้วยความผิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ นพ.วรรณรัตน์ กล่าวว่า นักการเมืองทุกคนต้องปฏิบัติตามกรอบ โดยเฉพาะขณะนี้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ได้ระบุกฎชัดเจนว่าต้องไม่หาเสียงโดยกล่าวพาดพิงสถาบัน
 ด้านนายสาทิตย์ กล่าวว่า ขณะนี้มีคนบิดเบือนการใช้มาตรา 112 ว่าเป็นการกลั่นแกล้งบุคคลที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล ทั้งที่จริงเป็นปัญหาเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายที่ต้องพิสูจน์เจตนา ก่อนหน้านี้ นายอภิสิทธิ์ เคยกล่าวไว้ว่าบุคคลที่ยกเรื่องดังกล่าวมาพูด เป็นสิ่งที่ควรพิจารณว่าคนดังกล่าวมีเจตนาฝ่าฝืนกฎหมายหรือไม่ ส่วนตัวมองว่าหากพูดถึงมาตรา 112 ต้องแยกแยะว่าเป็นเรื่องของกฎหมาย ที่จำเป็นต้องมีเพื่อพิทักษ์สถาบันหรือการบังคับใช้ ที่ต้องชัดเจนว่าไมได้มุ่งกลั่นแกล้ง


โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง