(สารส้ม)
เห็นกันหรือยัง ว่าใครรังแกผู้หญิง
เห็นกันแล้วใช่ไหม ว่าใครผู้หญิงเป็นเครื่องมือ
เห็นกันแล้วสิ ว่าใครหลบอยู่หลังชายกระโปรงผู้หญิง
ไม่ว่าจะกรณีวีซ่าเข้าญี่ปุ่น กรณีแอมเพิลริช หรือกรณีจะแก้รัฐธรรมนูญ ฯลฯ ทั้งหมดก็ล้วนแต่มีการใช้ผู้หญิงเป็นเครื่องมือบรรลุผลประโยชน์ของ ตัวเองทั้งสิ้นแม้แต่กรณีที่ดินรัชดาฯ ถ้าย้อนกลับไปดูก็จะเห็นพฤติกรรมการเอาผู้หญิงบังหน้าของคนๆ นี้
1) ล่าสุด... กองทุนฟื้นฟูฯ ได้ประมูลขายที่ดินรัชดาฯ (แปลงที่ทักษิณและภริยาเคยฮุบไปได้) ออกไปแล้ว
บริษัทที่ผู้ชนะการประมูล คือ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เสนอราคาประมาณ 1,800 ล้านบาท
เปรียบเทียบกับราคาที่ภริยาทักษิณเคยยื่นซื้อไปจากรัฐบาลของสามี ในราคาไม่ถึง 800 ล้านบาท
พูดง่ายๆ ว่า หน่วยงานรัฐสามารถขายที่ดินได้ราคาสูงกว่าเดิมกว่า 1,000 ล้านบาท
2) ไม่แปลกใจ... การขายเลหลังที่ดินรัชดาฯ ย่อมจะได้ราคาดีกว่าขายให้ภริยาทักษิณ
คิดง่ายๆ... แค่เวลาผ่านไป ที่ดินทำเลดังกล่าว ย่อมจะมีราคาสูงขึ้นตามมูลค่าทางพาณิชย์ยังไม่ต้องคำนึงว่า การนำออกขายในยุคทักษิณนั้น ได้มีกระบวนการประมูล การกำหนดราคาขั้นต่ำ หรือแม้แต่การใช้อำนาจรัฐมาเข้าเอื้ออำนวยช่วยผู้ซื้ออย่างไรบ้าง
ดังปรากฏว่า มีข้อพิรุธ ข้อครหา มากมายหลายประเด็น เช่น เหตุใดเมียทักษิณจึงซื้อได้ไปในราคาถูกกว่าราคาขั้นต่ำที่เคยประกาศ ในการเปิดประมูลครั้งแรก? เหตุใดการประมูลจึงกำหนดให้ผู้เข้าประมูลต้องวางมัดจำสูงถึง 100 ล้านบาท เกินกว่าระเบียบราชการ จนทำให้มีผู้เข้าแข่งขันน้อยราย?
แถมหลังจากที่เมียทักษิณซื้อที่ดินของรัฐไปแล้ว ปรากฏว่า มีการใช้อำนาจรัฐยกเลิกข้อจำกัดเรื่องความสูงอาคารในการก่อสร้างบน ที่ดินแปลงดังกล่าว ทำให้ราคาที่ดินพุ่งสูงขึ้น โดยยกเลิกข้อห้ามมิให้สร้างตึกสูงไม่เกิน 5 ชั้น หรือ 23 เมตร ซึ่งเป็นข้อจำกัดที่มีอยู่ในช่วงประมูล เป็นเหตุให้มีคนมาเสนอราคาน้อยราย ประเมินมูลค่าที่ดินต่ำ แต่พอเมียทักษิณได้เป็นเจ้าของเท่านั้น ก็มีการยกเลิกข้อจำกัดดังกล่าว จนทำให้มูลค่าที่ดินพุ่งสูงขึ้นทันที
นอกจากนี้ รัฐบาลทักษิณอุตส่าห์ประกาศให้วันที่ 31 ธันวาคม 2546 ไม่เป็นวันหยุดราชการ เอื้อให้เกิดการเร่งรัดโอนที่ดินแปลงดังกล่าว ช่วยให้เมียประหยัดค่าโอนที่ดินมากกว่า 10 ล้านบาท เพราะถ้าเลยไปถึงปี 2547 จะมีการปรับขึ้นค่าโอนที่ดิน เป็นต้น
3) การขายเลหลังที่ดินรัชดาฯ ไม่ว่าจะขายได้ราคาถูกหรือแพงเพียงใด ก็ไม่เกี่ยวกับคดีที่ดินรัชดาฯ ของทักษิณ ชินวัตร ซึ่งคดีนั้นศาลฎีกาฯ มีคำพิพากษา คดีถึงที่สุดไปแล้ว
ประเด็นความผิดในคดีที่ดินรัชดาฯ ไม่เกี่ยวกับราคาขายที่ดิน!
แต่มันเกี่ยวกับสถานะของผู้เข้ามาซื้อที่ดินว่าเป็นคู่สมรสของนายกรัฐมนตรี (ในขณะนั้น)4) โอกาสนี้... แลหลังไปดูคำบิดเบือนของทักษิณและพวก ซึ่งมักออกมาแถแบบหน้ามืดตามัว เช่น
4.1 ทักษิณถูกกลั่นแกล้ง....
ในความเป็นจริง... กฎหมายที่ใช้ตัดสินในคดีที่ดินรัชดาฯ ไม่ใช่กฎหมายเผด็จการ แต่เป็นกฎหมาย ป.ป.ช. ที่มีมาตั้งแต่ก่อนทักษิณจะเข้ามาเป็นนายกฯหลักฐานต่างๆ ที่ใช้ในคดี ล้วนแต่เป็นข้อเท็จจริง ไม่มีหลักฐานปลอม หรือการใส่ร้ายป้ายสีใดๆ เลย โดยทุกอย่างมีเอกสารอ้างอิงชัดแจ้ง ถูกต้องทั้งหมด
ยิ่งกว่านั้น ทักษิณยังได้เข้ามาต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมอย่างเต็มที่ ในช่วงที่รัฐบาลหุ่นเชิดครองอำนาจอยู่ด้วยซ้ำ ทุกประเด็นใดที่พวกเขาอ้างว่าไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญก็ได้ยื่นศาลรัฐ ธรรมนูญให้วินิจฉัยชี้ขาดไปจนหมดสิ้นแล้ว โดยที่ศาลยุติธรรมก็ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ไม่ยอมถูกแทรกแซง
แต่แล้ว... ใกล้ถึงวันพิพากษา ทักษิณก็หนีออกนอกประเทศไปเอง แถมยังปรากฏตามมาว่า ทนายของทักษิณในคดีนี้ถูกจับได้ว่าเอาเงิน 2 ล้านใส่ถุงขนมมาเสนอให้เจ้าหน้าที่ศาล กระทั่งถูกสั่งจำคุกฐานละเมิดอำนาจศาลด้วยซ้ำ
งานนี้ หากจะมีฝ่ายที่พยายามแทรกแซงอำนาจศาล ก็น่าจะเป็นฝ่ายทักษิณนั่นเอง
4.2 เมียเป็นคนซื้อไม่ผิด ผัวแค่เซ็นต์ชื่อกลับผิด...
ในความเป็นจริง... ทักษิณมีความผิด แต่เมียไม่มีความผิด เพราะเมียไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐที่จะต้องถูกลงโทษตามกฎหมาย ป.ป.ช.ทักษิณผิด เพราะเป็นนายกฯ ที่กระทำผิดกฎหมาย ป.ป.ช. โดยไปรู้เห็นเป็นใจให้คู่สมรสของตนเข้ามาทำสัญญาซื้อที่ดินของหน่วย งานของรัฐที่อยู่ภายใต้อำนาจการกำกับดูแลของตนเอง
เป็นการกระทำที่เป็นการขัดกันของประโยชน์ส่วนตัวและผลประโยชน์ ส่วนรวม ต้องห้ามตามกฎหมาย ป.ป.ช. ซึ่งในคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ บางตอน สามารถลำดับความเข้าใจได้ง่ายๆ เช่น
"...จำเลยที่ 1 (ทักษิณ) เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้มีอำนาจในการกำกับดูแลกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบัน การเงิน เมื่อจำเลยที่ 2 เป็นคู่สมรสของจำเลยที่ 1 การซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 2 กับกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินจึงเป็นเรื่องผลประโยชน์ ส่วนบุคคลขัดแย้งผลประโยชน์ส่วนรวม ซึ่งต้องห้ามมิให้กระทำ
จำเลยที่ 1 (ทักษิณ) เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการ ทุจริต พ.ศ.2552 มาตรา 100(1) ต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 122 วรรคหนึ่ง
ส่วนจำเลยที่ 2 นั้น มาตรา 100 เป็นบทบัญญัติให้การกระทำเป็นความผิดเนื่องจากผู้กระทำเป็นเจ้า หน้าที่ของรัฐ ทั้งยังบัญญัติให้การกระทำของคู่สมรสของเจ้าหน้าที่ของรัฐถึงเป็น การกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐเอง แต่มาตรา 122 ซึ่งเป็นบทกำหนดโทษของผู้ฝ่าฝืนมาตรา 100 ระบุไว้ชัดเจนว่า ให้ลงโทษแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ฝ่าฝืนมาตรา 100 ไม่ได้ระบุให้ลงโทษรวมไปถึงคู่สมรสหรือบุคคลอื่นด้วย จำเลยที่ 2 จึงไม่มีความผิด และไม่ต้องร่วมรับโทษตามมาตรา 122 กับจำเลยที่ 1..."
4.3 ทักษิณไม่ได้ทำผิดกฎหมาย แค่ทำในสิ่งที่กฎหมายห้าม...
ในความเป็นจริง... การทำในสิ่งที่กฎหมายห้าม มันก็คือการทำผิดกฎหมายนั่นเอง
เรื่องนี้ คนในสังคมที่มีสติ หรือวิญญูชนที่มีปัญญา คงจะไม่มีใครไปบ้าตามสารวัตรเหลิมกฎหมายบังคับให้จ่ายภาษี ถ้าใครเข้าข่ายต้องจ่าย แล้วไม่จ่ายภาษี มันก็คือทำผิดกฎหมาย
กฎหมายห้ามฆ่าคนตาย ไอ้ปื๊ดยิงคนตาย มันก็คือทำผิดกฎหมาย (ไม่เห็นอ้างว่าแค่ทำในสิ่งที่กฎหมายห้าม)
กฎหมายห้ามนายกฯ และคู่สมรส มิให้เข้าไปทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ ถ้าใครเป็นนายกฯ แล้วไปทำอย่างนั้น มันก็คือทำผิดกฎหมาย.. ง่ายๆ.. ตรงไปตรงมา...
คงเหลือแต่คนโง่ คนบ้า หรือไม่ก็ข้าทาสของทักษิณ ที่ยังงมงายในคำบิดเบือนของทักษิณและพวกต่อไป
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น