บทพระราชนิพนธ์แปลเรื่อง "ติโต"
by SIAM1932 -----------------------------------------------------------------------------
ความนำ
"ประเทศ ของเรา ไม่ใช่ประเทศของหนึ่งคน สองคน เป็นประเทศของทุกคนต้องเข้าหากัน ไม่เผชิญหน้ากันแก้ปัญหาเพราะว่าอันตรายมีอยู่ เวลาคนเราเกิดความบ้าเลือด ปฏิบัติการรุนแรงต่อกันด้วยความลืมตัว ลงท้ายไม่รู้ว่าตีกันเพราะอะไรแล้วจะแก้ปัญหาอะไร เพียงแต่ว่าจะต้องเอาชนะ แล้วใครจะชนะ มีแต่แพ้ คือ ต่างคนต่างแพ้ ที่แพ้ที่สุดก็คือประเทศชาติ ประชาชนที่แพ้จะเป็นประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่ประชาชนเฉพาะในกรุงเทพฯ ถ้าสมมติว่ากรุงเทพมหานครเสียหายประเทศก็เสียหายไปทั้งหมด แล้วจะมีประโยชน์อะไร ที่จะทะนงตัวว่าชนะเวลาอยู่บนกองสิ่งปรักหักพัง"
(พระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ)
เมื่อ วันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๓๕ สภาพเหตุการณ์ในวันนั้น ตลอดทั้งวันเต็มไปด้วยความสับสน ประชาชนทั่วไปทุกแห่งทุกหนมีความหวาดระแวงว่าเกิดอันตราย ความหวาดระแวงว่า ประเทศชาติของเรากำลังอยู่ในภาวะวิกฤติ มีการเผชิญหน้ากันอย่างรุนแรง ทำให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิต เลือดเนื้อ แก่วัตถุของประชาชนและบ้านเมือง โดยเฉพาะทางจิตใจและทางเศรษฐกิจของประเทศชาติอย่างมาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าฝ่ายค้านของรัฐบาลเข้าเฝ้าฯ รับพระราชทานกระแสพระราชดำริ เพื่อที่จะน้อมรับไปพิจารณาหาทางระงับเหตุการณ์ และหันหน้าเข้าหากัน ไม่เผชิญหน้ากัน สมมติให้ฟังว่า ถ้ากรุงเทพมหานครเสียหาย ประเทศชาติก็เสียหายไปทั้งหมด แล้วก็จะมีประโยชน์อย่างไรที่จะทะนงตัวว่า ชนะเวลาอยู่บนกองสิ่งปรักหักพัง ทรงขอให้ช่วยกันแก้ปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นให้สิ้นสุดลง แล้วช่วยกันเยียวยา และพูดกันปรึกษากันว่า จะทำอย่างไรที่จะให้ประเทศไทยจะได้รับสร้างสรรค์พัฒนาเจริญก้าวหน้าขึ้นมา ได้ ความร่มเย็นเป็นสุขของประชาชนกลับคืนมาได้
กระแสพระราชดำรินี้ มุ่งให้ทุกฝ่ายยุติการเผชิญหน้ากัน ยุติความรุนแรง ทรงวิเคราะห์ว่า เมื่อเกิดการปฏิบัติต่อกันด้วยอารมณ์ ถือฝ่ายถือพวกอย่างรุนแรงแล้ว ก็มักจะลืมตัวลงท้ายก็ไม่รู้ตีกันเพราะอะไร แล้วก็จะแก้ไขปัญหาอย่างไร ด้วยมัวแต่มุ่งเอาชนะต่อกัน ทรงอธิบายว่าจะไม่มีใครชนะ มีแต่จะแพ้ คือต่างคนต่างแพ้ แต่ที่แพ้ที่สุดก็คือประเทศชาติ กระแสพระราชดำรินี้สามารถหยุดยั้งความรุนแรงที่กำลังปะทุอยู่แก่บุคคลผู้ แบ่งพวกพ้อง หลายฝักหลายฝ่าย ซึ่งเหมือนกับกำลังเกิดสงครามกลางเมือง ให้ยุติการชุมนุมอย่างยืดเยื้อ ซึ่งนับวันจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นได้ ในทันทีที่มีกระแสพระราชดำรัสอันทรงคุณค่าทางจิตใจของบุคคลทุกฝ่าย แพร่ออกทางสถานีวิทยุ โทรทัศน์ และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย โทรทัศน์แห่งประเทศไทย ด้วยเดชะพระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อม ประเทศไทยจึงกลับเข้าสู่สภาพปกติในวันรุ่งขึ้น ห้างร้าน ตลอดจนธนาคารเปิดการตามปกติ การจราจรก็หนาแน่นขึ้นตามเดิม กระแสพระราชดำริที่พระราชทานบุคคลสำคัญของชาติ ให้ยุติทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังเผชิญหน้าที่กำลังรุนแรง ทรงขอให้นำกลับไปพิจารณาด้วยความรักชาติ ช่วยกันแก้ปัญหาและช่วยกันฟื้นฟูความเป็นกลาง ช่วยกันสร้างสรรค์ความสงบของประเทศชาติเข้าสู่ทางแห่งความวัฒนาถาวร ความร่มเย็นเป็นสุข อันเป็นกระแสพระราชดำริที่ทรงใช้หลักรัฐศาสตร์ และหลักขัตติยธรรมโดยแท้ ต่อมาจึงมีประกาศพระราชกำหนดพระราชทานอภัยโทษแก่ทุกฝ่าย เพื่อให้เกิดความสงบสุขแก่ประเทศชาติ ได้ระงับเหตุที่กำลังรุนแรงอยู่ขณะนั้นได้อย่างรวดเร็ว และเพื่อที่ทุกฝ่ายมีโอกาสร่วมกัน เกื้อกูลปรับปรุงบูรณะประเทศ ตามกระแสพระราชดำริของพระมหากษัตริย์เจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ เหตุวิกฤติในครั้งนั้นจึงกลับคืนสู่สภาพปกติโดยเร็ว
[กลับสู่ตอนต้นของเอกสาร]
นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ
เรื่อง ราวของ "นายอินทร์" และผู้ร่วมงานของเขา เป็นตัวอย่างของบุคคลพิเศษที่มีความกล้าหาญ เสียสละ ผู้ยอมอุทิศแม้ชีวิตเพื่อความถูกต้อง ความยุติธรรม เสรีภาพและสันติภาพ อันเป็นที่รักยิ่งของพวกเขา ทั้งนี้โดยไม่หวังให้ใครรับรู้ หรือหวังลาภยศคำสรรเสริญเยินยอใดๆ ทั้งสิ้น พวกเขานี้ คือ "ผู้ปิดทองหลังพระ" โดยแท้จริง
พระราชนิพนธ์แปลของพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวเรื่อง "นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ" นั้น ทรงเริ่มงานตั้งแต่วันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๒๐ ถึง ๒๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๓ รวมเวลา ๓ ปี หนังสือเล่มนี้ทรงแปลจากต้นฉบับภาษาอังกฤษ เรื่อง "A man called Intrepid" ของวิลเลียม สตีเฟนสัน เขียนจากชีวิตจริงของ "นายอินทร์" หรือ "INTREPID" เป็นนามรหัสของเซอร์วิลเลียม สตีเวนสัน เป็นหัวหน้าหน่วยราชการลับอาสาสมัครของอังกฤษ สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ท่านผู้มีบทบาทสำคัญในการต่อต้านแผนร้ายของฮิตเลอร์ ซึ่งหวังแผ่อำนาจเข้าครอบครองโลก ท่านเป็นผู้จัดตั้งหน่วยงานลับขึ้น เพื่อแสวงหาความลับทางทหารของฝ่ายเยอรมันรายงานแก่เซอร์วินสตัน เชอรซิลล์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ และประธานาธิบดีรูสเวลแห่งสหรัฐ ซึ่งได้ร่วมมือกันวางแผนต่อต้านฮิตเลอร์จนประสบชัยชนะในที่สุด
ผลงาน ของ "นายอินทร์" และผู้ร่วมงานของเขานั้นมีคุณค่าต่อโลกยิ่งนัก หากไม่มีพวก "นายอินทร์" ฮิตเลอร์อาจจะชนะสงครามก็ได้ และถ้าเป็นเช่นนั้น โฉมหน้าของโลกคงไม่เป็นเช่นทุกวันนี้ อย่างไรก็ตามการปฏิบัติงานของพวกเขา มีผู้รู้เบื้องหลังเพียงไม่กี่คนเท่านั้น จนกระทั่งเมื่อมีหนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ขึ้นมาแล้ว เรื่องราวที่เคยเป็นความลับมาก่อนจึงได้เผยขึ้น และต้นฉบับภาษาอังกฤษของเล่มนี้ ได้กลายเป็นหนังสือเบสท์เซลเลอร์ มียอดจำหน่ายมากกว่า ๒ ล้านเล่ม
เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ เป็นเรื่องราวของความร่วมมือทางสงครามจารกรรมระหว่างอังกฤษกับสหรัฐ ที่ได้ร่วมกันต่อต้านการขยายอำนาจของเยอรมันยุคนาซี โดยมีนายอินทร์เป็นผู้ประสานระดับสูง เรื่องราวต่างๆ ที่ผู้เขียนเลือกมาเปิดเผย โดยได้รับการตรวจสอบว่าถูกต้องตามข้อเท็จจริงด้วยตัว "นายอินทร์" เอง บางเรื่องน่าทึ่งยิ่งกว่านิยายสายลับที่แต่งขึ้นเสียอีก เช่น ปฏิบัติการขโมยเครื่องใส่-ถอดรหัสลับ "เอนิกมา" อันทันสมัยที่สุดของเยอรมัน ซึ่งฮิตเลอร์ภูมิใจหนักหนาว่าข่าวต่างๆ ที่ส่งด้วยเครื่อง "เอนิกมา" จะไม่มีผู้ใดสามารถแปลความได้ แต่ "นายอินทร์" สามารถวางแผนขโมยเครื่องได้ โดยฝ่ายเยอรมันไม่ระแคะระคายเลย จึงเป็นก้าวแรกที่ทำให้หน่วยจารกรรมของ "นายอินทร์" สามารถสืบข่าวสำคัญๆ ของฝ่ายเยอรมันได้สำเร็จ นอกจากนั้นยังมีเรื่องราวเกี่ยวกับการปฏิบัติอย่างกล้าหาญของ "มาเดอแลน" สายลับของ "นายอินทร์" ที่เสี่ยงชีวิตเข้าไปในแดนข้าศึกแล้วส่งข่าวให้ "นายอินทร์" ตลอดจนการปฏิบัติการของสาว "ซินเธีย" สายลับอังกฤษแสนสวย ที่ใช้เสน่ห์ของตน ล้วงความลับเกี่ยวกับการถอดรหัสจากนักการทูตฝ่ายข้าศึกได้สำเร็จ
หนังสือ เล่มนี้ยังได้เปิดเผยเบื้องหลังปฏิบัติการของหน่วยกล้าตายของ "นายอินทร์" ในการสังหารไฮดริด สมุนมือขวาจอมโหดของฮิตเลอร์ เบื้องหลังการช่วยเหลือนักวิทยาศาสตร์ชั้นหัวกระทิออกจากดินแดนยึดครองของนา ซี การขัดขวางมิให้เยอรมันคิดค้นระเบิดปรมาณูได้สำเร็จ การวางแผนปฏิบัติการทางยุทธศาสตร์เพื่อต่อต้าน การยึดครองทวีปยุโรป อเมริกา และแอฟริกา ของนาซี ซึ่งทุกขั้นตอนต้องอาศัยความลับทางทหารที่เครือข่าย "นายอินทร์" เสาะหามาได้เป็นข้อมูลสำคัญ
"นายอินทร์" เขียนไว้ในคำนำหนังสือเล่มนี้ว่า เหตุผลที่เขายินยอมให้วิลเลียม สตีเวนสัน นำเรื่องราวเหล่านี้มาเปิดเผย ก็เพื่อเป็นการสดุดีผู้ที่ได้ต่อสู้เพื่อชาติเป็นจำนวนมาก ที่ต้องถูกฝังไว้ในหลุมศพ ที่ไร้นามไร้ที่อยู่ที่ตาย น้อยคนที่จะได้รับการกล่าวขวัญถึง นอกจากชื่อที่บันทึกในเอกสารลับ ส่วนใหญ่ที่รอดตายก็กลับมาประกอบอาชีพธรรมดา โดยไม่ได้รับเกียรติหรือรางวัลใดๆ ได้รับคำกล่าวถึงในหนังสือเล่มนี้ เป็นเพียงส่วนน้อยในจำนวนคนเป็นกองทัพมหึมา ซึ่งโลกเสรีเป็นหนี้บุญคุณซึ่งจะไม่มีทางใช้คืน และเหตุผลอีกข้อหนึ่งด้วย เพื่อเป็นบทเรียนสำหรับการป้องกันและการต่อสู้เพื่อเสรีภาพ
เรื่อง ราวของ "นายอินทร์" และผู้ร่วมงานของเขา เป็นตัวอย่างของบุคคลพิเศษที่มีความกล้าหาญ เสียสละ ผู้ยอมอุทิศแม้ชีวิตเพื่อความถูกต้อง ความยุติธรรม เสรีภาพและสันติภาพ อันเป็นที่รักยิ่งของพวกเขา ทั้งนี้โดยไม่หวังให้ใครรับรู้ หรือหวังลาภยศคำสรรเสริญเยินยอใดๆ ทั้งสิ้น พวกเขานี้ คือ "ผู้ปิดทองหลังพระ" โดยแท้จริง
[กลับสู่ตอนต้นของเอกสาร]
ติโต
"ติโต" คือใคร มีความสำคัญอย่างไร
นายอานันท์ ปันยารชุน ได้กล่าวถึงติโตในพระราชนิพนธ์แปลเรื่องที่ สองแล้วสรุปได้ว่า
"คุณลักษณะ ของติโตนี้ ปรากฏเห็นชัดว่าเขาเป็นผู้นำทางด้านทหาร เป็นเสนาธิการที่ยอดเยี่ยม เป็นแม่ทัพที่มีความละเอียด ที่มีความกล้าหาญ ในขณะเดียวกันเป็นนักการเมืองที่ยอดเยี่ยม ที่สามารถรักษาอิสรภาพของยูโกสลาเวีย สร้างความเป็นปึกแผ่นของประเทศ รวบรวมชนชาติต่างๆ ในรัฐยูโกสลาเวียให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ให้มีสิทธิเท่าเทียมกัน ให้มีการปกครองซึ่งมีการกระจายอำนาจอย่างแท้จริง"
พระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแปลเรื่อง ติโต ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๙ เมื่อ ๒๐ ปีที่แล้วมา ทรงปรับปรุงต้นฉบับและพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้จัดพิมพ์ เพื่อเผยแพร่เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พ.ศ. ๒๕๓๗ ด้วยทรงหวังว่าโลกนี้จะมีสันติภาพและความสงบขึ้น
ประเทศที่ติโต สามารถสร้างขึ้นมา ซึ่งหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ เรียกว่ายูโกสลาเวีย ประกอบด้วยชนชาติมากหลาย มีทั้งเซิร์บ มีทั้งโครแอต มีทั้งมอนตานิโกร มีทั้งมาซิโดรเนียน มีบอสเนีย เฮอร์เซโกวินา ต่างชาติต่างความคิด มีเลือดรักชาติรุนแรงทุกกลุ่ม ต่างศาสนา มีทั้งออร์โธด็อกซ์ มีทั้งโรมันคาทอลิก และมุสลิม
หลายคนอาจจะบอกว่า ทำไมเราจะต้องยกย่องหรือเยินยอติโต ติโตเป็นคอมมิวนิสต์ไม่ใช่หรือ.....ใช่ แต่เขาเป็นคอมมิวนิสต์ด้วยความผันผวนทางชีวิตของเขา
สมัยก่อนสงคราม โลกครั้งที่ ๒ ส่วนหนึ่งของดินแดนยูโกสลาเวียอยู่ภายใต้อาณาจักรออสโตร-ฮังการี และมีการสู้รบกับประเทศรัสเซีย แล้วเขาถูกจับที่พรมแดน และถูกต้อนไปเป็นเชลยศึกที่รัสเซีย จึงทำให้เขาสามารถเรียนรู้ภาษารัสเซีย สามารถไต่เต้าขึ้นไปในวงการเมืองขององค์การที่เรีกว่า "โคมินเทิร์น" หรือองค์กรคอมมิวนิสต์สากล ที่คุมกระบวนการคอมมิวนิสต์ทุกประเทศ
เมื่อ ตอนเด็กๆ นั้น เขาไม่ได้มีความฝันอะไรเลย เขาเป็นเพียงแต่อยากจะเป็นช่างตัดเสื้อ เพราะเขาอยากจะได้แต่งตัวได้สูทดีๆ สูทสวยๆ เพื่อทดแทนเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นของเขา ที่เขาต้องการใส่ในสมัยที่เขายังเป็นเด็กอยู่ เขามีการศึกษาในระบบโรงเรียน บิดามารดายากจน เขาเห็นความทุกข์ทรมานของคนจน แต่เขาก็ไม่ได้เป็นนักอุดมการณ์ ที่จะส่งเสริมให้มีการต่อสู้ที่เรียกว่า CLASS WARFARE
เขาเรียนหนังสือด้วยตนเอง เขาศึกษาด้วยตนเอง เขาอ่านหนังสือต่างๆ แม้แต่หนังสือที่แปลมาจากหนังสือต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเชอร์ล็อคโฮล์มส์ หรือเรื่องอื่น
ติโตไม่เคย ยอมสยบให้ใคร หรือก้มหัวให้กับใคร รักความอิสระ ระหว่างที่เขาต่อสู้ด้านการทหารนั้น เขาก็ดูแลพรรคการเมืองของเขาไม่ให้มีความวุ่นวาย ไม่ให้มีการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ไม่ให้ก่อผลประโยชน์แต่เฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เขามีจิตมุ่งมั่นว่า สิ่งที่เขาต้องการทำระหว่างสงคราม คือ เอาชนะต่อกองทัพนาซี สร้างประเทศยูโกสลาเวียให้เป็นปึกแผ่น แล้วจึงจะมาดูแลทุกข์สุขของประชาชนให้มีฐานะดีขึ้น
เขาต่อสู้ด้วย ความทรหด ต่อสู้ต่อภัยพินาศต่างๆ แม้แต่ในชีวิตส่วนตัว มีลูก ๔ คน ตายไปแล้ว ๓ คน ชีวิตนั้นต้องคอยหนีคอยหลบ และต้องกลัวต่อการประทุษร้ายตลอดเวลา และเมื่อเขาสามารถสร้างความเป็นปึกแผ่นให้กับยูโกสลาเวียเขาก็ไม่ได้หยุด เท่านั้น
เขาอาจจะเป็นคอมมิวนิสต์ แต่ก็เป็นคอมมิวนิสต์ที่เป็นอิสระในความคิดเห็น ไม่ต้องการเป็นลูกน้องใคร ไม่ยอมจำนนต่ออิทธิพลของสหภาพโซเวียต ทั้งทางด้านทหาร และทางการเมืองระหว่างประเทศ
เขาเป็นส่วนหนึ่งหรือเป็นผู้หนึ่ง ที่มีความสำคัญมากในการก่อตั้งกระบวนการกับกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ร่วมกับนายกรัฐมนตรีเนรูห์ของอินเดีย ประธานาธิบดีนัสเซอร์ของอียิปต์ ประธานาธิบดีซูการ์โนของอินโดนีเซีย และประธานาธิบดีของแอลจีเรีย
ตลอด ระยะเวลาหลังจากสงครามโลกครั้งที่ ๒ นโยบายการเมืองภายในของเขาก็ไม่ขึ้นกับองค์การคอมมิวนิสต์สากล เขาเป็นคอมมิวนิสต์ก็จริง แต่เขาไม่เคยคิด และไม่ได้นำนโยบายร่วมหรือที่เรียกว่า COLLECTIVE FARM ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายในสหภาพโซเวียต และประสบความล้มเหลว เขาไม่นำมาใช้ในยูโกสลาเวีย เขาถูกไล่ออกจากองค์การคอมมิวนิสต์สากล
เขา กล้าพอเมื่อสหภาพโซเวียตบุกรุกเข้าในประเทศเชโกสลาเวีย ใน ค.ศ. 1968 เขาเป็นผู้นำประเทศคอมมิวนิสต์ ประเทศซึ่งมีพรมแดนใกล้ชิดกับโซเวียตมาก ประณามและวิจารณ์รุนแรงต่อนโยบายอันไม่ชอบธรรมของสหภาพโซเวียต
ในขณะ เดียวกันเขาเป็นผู้ที่ต้องยอมรับความจริงว่า เขาเป็นประเทศเล็ก และเมื่ออยู่ใกล้ประเทศใหญ่ซึ่งมีอิทธิพลมากมาย บางครั้งบางคราวถ้าไม่เสียหลักการมากเกินไปเขาก็ยอมโอนอ่อนบ้าง เขาเองทำตัวอยู่ในจุดศูนย์กลางระหว่างประเทศอภิมหาอำนาจ สหภาพโซเวียตกับสหรัฐอเมริกา แต่เขาก็ไม่เคยทำอะไรที่ขัดผลประโยชน์กับสหรัฐอเมริกาอย่างจริงจัง แต่เขายึดถือหลักการของกระบวนการที่ไม่ร่วมกับฝ่ายใด ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด
ความ สำคัญของติโตไม่ใช่ในแง่ของการเป็นคอมมิวนิสต์ คือ การปกครองในลักษณะเผด็จการบ้าง แต่ความสำคัญของติโตในฐานะที่เป็นบุคคล พ่อเป็นชาวโครแอต แม่เป็นชาวสโลเวเนีย เขาคือชาวสลาฟที่แท้จริง สามารถดลบันดาล สามารถเรียกร้องศรัทธาของชนทุกกลุ่ม สามารถสร้างความเข้าใจ และสามารถชี้นำให้คนทุกชนชาติตั้งเขามารวมกันจัดตั้งสมาพันธ์ และสร้างความเป็นปึกแผ่นในยามวิกฤติ สามารถรักษาความสมบูรณ์และเพิ่มพูนความเจริญของประเทศตลอดชีวิตของเขา
ติ โตเป็นผู้ทำให้ประเทศยูโกสลาเวีย ซึ่งประกอบด้วยชนชาติที่แตกต่างกันทั้งด้านเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม ให้กลับมารวมกันเป็นปึกแผ่นในยามวิกฤติ สามารถรักษาความสมบูรณ์ และเพิ่มพูนความเจริญของประเทศตลอดชีวิตเขา
ติโตสิ้นชีวิตไปตาม อายุขัย เมื่ออายุได้ ๘๘ ปี ในปี ๒๕๒๓ ประเทศยูโกสลาเวีย ก็ค่อยๆ สลายลง จนกระทั่งมีสภาพแตกแยกอันยากที่จะแก้ไขได้ ดังที่เห็นในทุกวันนี้
ปัจจุบัน เมื่อเรามองดูบอสเนีย เราก็คงมองดูด้วยความสลดใจว่า ประเทศใดก็ตามสังคมใดก็ตาม ที่ยอมให้ทิฐิมานะ ที่ยอมให้อคติในเรื่องของชนชาติ ในเรื่องศาสนา ในเรื่องของวัฒนธรรม หรือถ้ายอมให้ความรักชาติที่ไม่ถูกทางเข้ามาครอบงำจิตใจ และประหัตประหารกันต่อไป
พวกเราคนไทยนับว่าโชคดีที่เกิดมาในแผ่นดิน นี้ เกิดมาในสังคมที่ควรจะรู้จักรอมชอมกันได้ ในสังคมที่ยึดมั่นอยู่ในสถาบันอันสูงสุด และสังคมที่มีความอะลุ่มอะล่วยแบ่งรับแบ่งสู้ และไม่ประหัตประหารซึ่งกันและกัน อันนี้เป็นความเข้าใจของนายอานันท์ ปันยารชุนว่า เหตุใดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงสนพระราชหฤทัยกับชีวประวัติของติโต รวมทั้งผลงานในการรวบรวมประเทศของเขา
"เราเรียนชีวประวัติของคนเพื่อ สะสมความรู้ และเพื่อที่จะสอนให้เราไม่กระทำอะไรทั้งสังคมในอันที่จะก่อให้เกิดความผิด พลาด ที่ประเทศอื่นเขาได้ประสบมาแล้วในประวัติศาสตร์"
นายอานันท์ ปันยารชุน ได้มีความเห็นในเรื่องที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงแปลหนังสือเรื่องติโตนี้ว่า "เป็นการแปลที่กะทัดรัด เก็บสาระและประเด็นได้อย่างแยบคาย และรักษาเนื้อหาความตื่นเต้นของแนวเรื่องได้อย่างดี
ถ้าใครมีโอกาส ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ นอกจากจะได้ความรู้และสนุกสนานแล้ว ยังจะได้เห็นว่าติโตนั้น มิใช่เป็นเพียงตัวแสดงที่สำคัญในประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่เป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยตนเอง ประวัติศาสตร์ของการรวมตัวกันด้วยความสมานฉันท์ และเสถียรภาพของชนชาติที่แตกต่างกัน ทั้งด้านเชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์"
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นห่วงบ้านเมืองของเรายิ่งกว่าสิ่งใด พระราชทานรายได้จากการพิมพ์หนังสือเรื่อง "นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ" และเรื่อง "ติโต" แก่มูลนิธิชัยพัฒนา ทรงเชิญชวนประชาชน และผู้ที่มาเฝ้าถวายพระพรเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ให้ช่วยกันอุดหนุนมูลนิธิชัยพัฒนา ซึ่งมีการจัดหาและพัฒนาประเทศจนมีชัยชนะ ชัยชนะประเทศนี้โดยงานของมูลนิธิชัยพัฒนา ก็คือความสงบ ไม่เป็นบอสเนีย เป็นไทยแลนด์ เป็นเมืองไทยที่จะมีความเจริญพัฒนาจนเป็น เมืองของชัยชนะ ในการพัฒนาตามที่พระราชทานชื่อมูลนิธิชัยพัฒนา ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อความสงบ ความเจริญ ความอยู่ดีกินดีของประชาชน
พระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งเน้นตลอดเวลา เรื่องการรู้รักสามัคคี เมื่อทรงหายจากพระอาการประชวรแล้วในวันที่ ๑๓ เมษายน ศกนี้ ได้พระราชทานกระแสพระาชดำรัสทางโทรทัศน์ว่า จะทรงมีพระกำลังที่จะทรงพัฒนาให้ประชาชน และประเทศชาติมีความเจริญมั่นคงได้ต่อไปอีก ๒๐-๓๐ ปี จึงขอให้พสกนิกรร่วมใจ ถวายพระพรชัยมงคลให้ทรงพระเจริญยิ่งตลอดกาลนาน
ทีมา-มรม.
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
รีโมท
ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน
คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค
บทความย้อนหลัง
-
►
2012
(274)
- ► กุมภาพันธ์ (51)
-
▼
2011
(1241)
-
▼
กรกฎาคม
(151)
-
▼
06 ก.ค.
(11)
- พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง "นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ"
- ผลเลือกตั้ง
- บทความ พระเนตรขวาของในหลวง”...เรื่องที่หลายคนอาจยั...
- อันเฟรล” กังวลการเลือกตั้งไทย จำนวนผู้เสียสิทธิและ...
- จับมือแล้ว รบ. 5 พรรค
- สรุปผล การเลือกตั้ง 3 กค 54 (ผลจาก กกต.ล่าสุด)
- ปชป.สับพท.แค่48ชม.ลุอำนาจไล่ปิดวิทยุชุมชน
- “ไอ้กี้ร์” ผู้ต้องหาก่อการร้ายส่งทนายประสานถึงขั้น...
- มาร์ค เป็นไร?????
- ควันหลงเลือกตั้ง ประธานอมรินทร์ส่งสารสั่งพนักงานเล...
- เงินหายตั้ง 100 ล้าน ว่าที่นายกหญิงไม่แจ้งความเหรอ
-
▼
06 ก.ค.
(11)
-
▼
กรกฎาคม
(151)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น