บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันพุธที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2554

พระบรมอัฐิและพระบรมโกศในหลวงรัชกาลที่ 5

โดย เทพมนตรี ลิปพยอม

เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ผมได้รับทราบข่าวจากเพื่อนคนหนึ่งว่ามีผู้นำพระบรมอัฐิและพระบรมโกศของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไปจำนำกับพ่อค้าทองรายหนึ่งซึ่งประกอบไปด้วยพระนลาฏและพระทนต์ ตอนแรกผมแทบไม่เชื่อหู เพราะเป็นไปไม่ได้ แต่ผมก็มิได้ตามเรื่องต่อ จนกระทั่งเมื่อประมาณเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2554 ผมได้พูดคุยกับเพื่อนผู้พี่ของผมอีกคนหนึ่งชื่อเล่นว่า “ซิป” ซึ่งเคยเข้าออกอยู่ในวังของราชสกุลนี้ และทราบว่าเรื่องการนำพระบรมอัฐิและพระบรมโกศไปจำนำนั้นเกิดขึ้นมาหลายปีแล้วโดยสะใภ้ของราชนิกูลตระกูลใหญ่นี้ นำไปจำนำในราคาแพงหลายล้านเพราะพระบรมโกศเป็นทองคำประดับถนิมพิมพาภรณ์

ผมเองเมื่อทราบเรื่องนี้จึงซักไซร้ไล่เรียงจนได้ความว่าการจำนำนั้นเกิดขึ้นจริง และมีการแยกส่วนของพระบรมอัฐินำไปจำนำ 3 ที่ เมื่อผมได้ทราบรายละเอียดผมจึงได้โพส์ตข้อความลงไปใน facebook ของผมบอกเรื่องราวทั้งหมด เพราะเห็นว่าพระบรมอัฐิและพระบรมโกศเป็นของสำคัญเป็นเรื่องใหญ่และเป็นการไม่เหมาะสมที่สะใภ้ของราชสกุล (ซึ่งปัจจุบันเป็นอดีตไปแล้ว) จะกระทำเรื่องเสื่อมเสียพระเกียรติยศเช่นนี้ การโพส์ตข้อความของผมสร้างความสนใจให้กับคนที่เข้ามาอ่านหน้ากระดานอย่างต่อเนื่องจนเป็นผลทำให้หนังสือพิมพ์ไทยโพส์ตและสื่อออนไลน์อื่นๆ นำเรื่องราวไปลง กลายเป็นเรื่องใหญ่ในสังคมออนไลน์ไปในที่สุด

ตัวผมเองได้ตั้งปณิธานต่อเรื่องนี้ไว้ว่าจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ใดๆ จะทำหน้าที่เพื่อปกป้องพระเกียรติยศของในหลวงรัชกาลที่ 5 ที่ผมมีความเคารพรักและเทิดทูนอยู่แล้ว อีกประการหนึ่งเรื่องนี้มันเป็นเรื่องสำคัญที่จะนำพาให้เกิดความเสื่อมมาสู่สถาบันที่ผมเคารพรัก และเทิดทูลอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน

ภายหลังข่าวนี้แพร่สะพัดออกไปทำให้คนในราชสกุลนี้ได้ติดต่อขอข้อมูลผมและให้ผมบอกเรื่องราวทั้งหมดกับเขา และให้ผมติดต่อกับคนที่รับจำนำพระบรมอัฐิและพระบรมโกศนี้ให้มาพบกัน ผมก็ถือว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ผมก็มีความยินดีเพราะเห็นว่าราชสกุลนี้ได้รับทราบและวาดหวังว่าเรื่องทั้งหมดจะยุติ มีการประชุมกันที่บ้านของราชนิกูลท่านหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้

และผลสรุปออกมาก็คือจะมีการไถ่ถอด ซึ่งสมาชิกท่านหนึ่งของราชสกุลที่เคยติดต่อมา ได้ขอให้ผมนัดหมายกับทางผู้รับจำนำ ในที่สุดก็มีการพบกันเพื่อทำความตกลงในการไถ่ถอด การต่อรองเรื่องนี้จึงเกิดขึ้นในห้องประชุมแห่งหนึ่ง ผมรับหน้าที่เป็นผู้ประสานงาน และคาดหวังว่าหลังจากนี้ไปผมจะได้ถอนตัวออกจากเรื่องนี้ การประชุมเป็นไปอย่างราบรื่นมีการดูพระบรมทนต์ของในหลวงรัชกาลที่ 5 และนัดหมายกันว่าจะมีการไถ่ถอดออกไป

ต่อมาประมาณต้นเดือนธันวาคม ทางฝ่ายตัวแทนราชสกุลได้ไปพบกับผู้รับจำนำและนำกำลังตำรวจพร้อมหมายศาลเข้าไปค้นในที่ทำงานของผู้รับจำนำ มีการแจ้งความว่าพระบรมอัฐิและพระบรมโกศได้หายไปจากวังเมื่อเดือนกันยายน 2554 นี้ ผมตกใจเมื่อทราบข่าวเช่นนี้และคิดว่าเรื่องนี้คงไม่จบลงง่ายๆ ฝ่ายผู้รับจำนำก็มีหลักฐานใบรับจำนำจากลูกสะใภ้ของราชสกุลนี้ และไม่ได้เป็นการขโมยออกมาจากวังแต่อย่างใด

หลังจากที่ผมได้เสนอข้อมูลเกี่ยวกับพระบรมอัฐิและพระบรมโกศของในหลวงรัชกาลที่ 5 ผมได้พิจารณาไตร่ตรองเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีผมคิดแต่เพียงว่าพระบรมโกศควรประดิษฐานในที่ที่เหมาะสมเท่านั้น ผมจึงขอออกแถลงการณ์แสดงจุดยืนของเรื่องนี้

แถลงการณ์จุดยืนเรื่องพระบรมอัฐิและพระบรมโกศในหลวงรัชกาลที่ 5

ผมนายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์ และผมได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับพระบรมอัฐิและพระบรมโกศซึ่งถูกหม่อมอุ่นเรือน นำไปจำนำเป็นมูลค่าหลายล้านบาท ผมได้ทราบข่าวเรื่องนี้มานานกว่า 2 ปี จนกระทั่งเมื่อประมาณปลายเดือนสิงหาคม 2554 ผมอยากรู้เรื่องนี้อีกสักครั้ง จึงได้โทรศัพท์ถามเพื่อน (เพราะผมกำลังทำเรื่องการสูญเสียดินแดนและปราสาทพระวิหาร ผมได้อ่านลายพระหัตถเลขาของในหลวงรัชกาลที่ 5 จนซาบซึ้งถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน)

เมื่อผมทราบรายละเอียดทั้งหมดแล้ว ผมก็ได้ติดต่อขอความช่วยเหลือกับผู้ใหญ่กลุ่มหนึ่งเพราะไม่สบายใจที่มีการจำนำพระบรมอัฐิ และพระบรมโกศของในหลวงรัชกาลที่ 5 แต่ผู้ใหญ่กลุ่มนั้นปฏิเสธที่จะเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย ผมจึงได้โพสต์เรื่องนี้ลงใน Facebook และในเวลาต่อมาผมได้ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานของเรื่องนี้ เมื่อคุณชายทักขิญ ยุคล ได้ติดต่อผมเข้ามาเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2554 ทางข้อความ Facebook.

คุณชายทักขิญ บอกผมว่าจะมีการประชุมของราชสกุลที่บ้านท่านอ้วน และยังยืนยันกับผมว่าคุณชายคือตัวแทนของราชสกุล ผมรู้สึกดีใจที่ราชสกุลยุคลได้ตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อเรื่องนี้ และผมได้ทำหน้าที่ประสานงานติดต่อจนกระทั่งทั้งคุณชายทักขิญ ยุคล, คุณสายฝน สนิทวงศ์, ม.จ.เฉลิมศึก ยุคล ได้พบกันกับฝ่ายผู้รับจำนำคือเสี่ยสี่และเสี่ยสิน ซึ่งเสี่ยทั้งสองนี้รู้จักหม่อมอุ่นเรือน ยุคล เป็นอย่างดี ผู้ประสานงานของฝ่ายเสี่ยทั้งสองคือคุณวีนัส กรสุรัตน์ ซึ่งผมรู้จักกับเขาครั้งแรกเมื่อผมได้กราบเรียนเชิญท่านใหม่มาเป็นประธานเปิดงานแห่งหนึ่งเมื่อหลายปีที่แล้ว

การประชุมครั้งนั้นผมได้บันทึกรายงานการประชุมอย่างเป็นระบบ ต่อมาคุณชายทักขิญ ยุคลได้ติดต่อเสี่ยสี่เพื่อไปพบและชมพระบรมโกศ ซึ่งผมไม่เคยรับทราบเรื่องนี้หลังจากการประชุมวันที่ 17 ตุลาคม 2554 เสร็จสิ้นลง ผมก็ได้ยืนยันไปแล้วว่าผมไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับการต่อรองใดๆ นับแต่วันนั้นเพราะทั้งสองฝ่ายได้พบกันแล้วมีการแลกเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ระหว่างคุณชายทักขิญ ยุคล กับเสี่ยสี่ ในบันทึกการประชุมผมได้พูดอย่างชัดเจนและมีการคุยกันว่าให้คุณชายทักขิญนัดหมายกับเสี่ยสี่และเสี่ยสินได้เองเลย และจากวันดังกล่าวผมก็ลืมเรื่องนี้ไปเลย มาตกใจอีกครั้งเมื่อตอนอยู่ที่ต่างประเทศเพราะได้ยินว่ามีการจับกุมเกิดขึ้น พระบรมอัฐิและพระบรมโกศของในหลวงรัชกาลที่ 5 และองค์อื่นๆ ได้ถูกตำรวจนำไปประดิษฐานที่สถานีตำรวจดุสิต

เมื่อผมทราบเรื่องนี้ หลังจากผมกลับมาจากต่างประเทศ ผมจึงได้โพสต์ข้อความลงใน Facebook เพราะผมเห็นว่าไม่เป็นการยุติธรรมที่จะมีการไปแจ้งความจับกุมเสี่ยสี่และยึดของกลาง ทำไมหรือครับ นั่นก็เป็นเพราะก่อนหน้านี้ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันที่จะให้ไถ่ถอนและจะไถ่ถอนพระบรมโกศ บันทึกการประชุมได้บอกเหตุการณ์อย่างละเอียด มีคำพูดของแต่ละท่านทั้งหมด หากใครได้รับทราบบันทึกนี้จะเห็นว่าเนื้อหาในที่ประชุมกล่าวถึง

1. หม่อมอุ่นเรือนได้นำพระบรมโกศและพระบรมอัฐิไปจำนำ คุณชายทักขิญ คุณสายฝน สนิทวงศ์ และม.จ.เฉลิมศึก ยุคลได้รับทราบเรื่องนี้ว่าพระบรมโกศและพระบรมอัฐิไม่เคยหายไปจากวังอัศวิน แต่หม่อมอุ่นเรือนหิ้วพระบรมโกศและพระบรมอัฐิไปจำนำด้วยตัวเอง ม.จ.เฉลิมศึก ท่านยังพูดเลยว่าหม่อมอุ่นเรือนน่าจะถูกฟ้องหากไม่มาไถ่คืน เรื่องนี้คุณชายทักขิญน่าจะจำได้นะครับเพราะเราพูดกันในที่ประชุมและมีหลักฐาน

2. ทุกฝ่ายในที่ประชุมวันนั้นได้รับทราบว่าเรื่องนี้คือการจำนำและการไถ่ถอนพระบรมโกศและพระบรมอัฐิ

3. มีการประชุมกันในวันที่ 17 ตุลาคม 2554 เวลาประมาณ 14.30 น. ประชุมกันรวมเวลาทั้งหมด 1 ชั่วโมง 19 นาที 9 วินาที คุณชายทักขิญจึงน่าจะจดจำได้ดี

ตามที่คุณชายทักขิญ ยุคลได้ไปโพสต์กล่าวหาผมไว้ในเพจแห่งหนึ่งว่า “พ่อค้า=ผู้รับซื้อของโจร” กับ “ผู้ที่ติดต่อดำเนินงานให้พ่อค้า=นายหน้ารับซื้อของโจร” และแตกประเด็นออกไปจนทำให้มีคนกล่าวหาผมอย่างเสียๆ หายๆ ว่า ผมคือผู้ล้มเจ้าบ้างหรือทำเรื่องนี้เพราะอยากได้ผลประโยชน์ หรืออยากดังบ้าง โดยเฉพาะคุณชายทักขิญ ยุคล ก็ได้กล่าวหาผมเหมือนให้คนอื่นเข้าใจว่าผมต้องได้ผลประโยชน์จากการไถ่ถอนพระบรมอัฐิและพระบรมโกศ ข้อกล่าวหาที่ผมพอสรุปได้มี ดังนี้

1. คุณชายทักขิญกล่าวหาในทำนองว่า ผู้ประสานงานของเรื่องนี้ได้รับผลประโยชน์จากการไถ่ถอนซึ่งคงหมายถึงผม

2. การที่คุณชายทักขิญนำข้อความไปโพสต์ไว้ในหน้าเพจแห่งหนึ่ง ทำให้คนที่ไม่รู้เรื่องนี้กล่าวหาผมว่า “เป็นพวกล้มเจ้า”

3. เรื่องการบล็อกเพจไม่ให้คุณชายเข้ามาอ่านได้ ผมไม่เคยบล็อกใคร และคนที่ดูแลเพจของผมเป็นใคร ผมก็ไม่ทราบ แต่ที่แน่ๆ มีคุณชายเท่านั้นที่อ่านไม่ได้

ผมขอชี้แจงข้อกล่าวหาต่างๆ ดังนี้

1. ผมไม่เคยเรียกรับผลประโยชน์จากเรื่องนี้หรือได้ผลประโยชน์จากเรื่องนี้เลย หรือถ้าคุณชายมีหลักฐานก็สามารถเอาผิดผมได้

2. ผมไม่เคยคิดล้มเจ้าโดยเด็ดขาด ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผมมีแต่ความจงรักภักดีต่อสถาบันสูงสุดของชาติ โดยเฉพาะสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่เคยคิดล้มเจ้า คุณชายทักขิญ ยุคล ก็ปรารภเรื่องนี้ว่า ผมอย่าเข้าใจผิดท่านอ้วนไม่ได้มีเจตนากล่าวหาว่าผมล้มเจ้า และม.จ.เฉลิมศึก ยุคล ท่านก็กล่าวยืนยันไปแล้วว่าเรื่องที่ท่านอ้วนกล่าวหาผมว่าไม่เป็นความจริง

3. ส่วนเรื่องการบล็อกเพจที่คุณชายได้กล่าวถึงนั้น ผมไม่เคยบล็อกคุณชาย ทุกคนที่ไม่ได้เป็นเพื่อนผมไม่สามารถโพสต์ได้แต่อ่านได้ ผมขอยืนยันว่าผมไม่เคยบล็อกคุณชายในการเข้ามาอ่านเลย ซึ่งหลักฐานยืนยันว่าไม่เคยบล็อกคุณชายสามารถหาได้จากการขอให้ Facebook แสดง เมื่อมีคำสั่งจากหน่วยงานที่มีอำนาจ ผมไม่เคยมีพฤติกรรมบล็อกอะไรนั่น คุณชายคงคิดไปเองเพราะขนาดคนที่ผมจะฟ้องร้องในข้อหาหมิ่นประมาท เขายังมีสถานภาพเป็นเพื่อนผมอยู่เลย คุณชายไม่ต้องมาเจรจากับผมเรื่องพระบรมอัฐิหรือพระบรมโกศ คุณชายต้องไปสู้คดีในชั้นศาลเอง ผมหรือจะรังเกียจคุณชายไม่ให้เข้ามาอ่าน ผมยังแสดงความบริสุทธิ์ใจในการโพสต์ครั้งแรกของคุณชาย ด้วยการยื่นขอเป็นเพื่อน

(ปล.หม่อมอุ่นเรือน ยุคล ปัจจุบันไม่สามารถเรียกว่า “หม่อม” ได้แล้วเพราะไปมีสามีใหม่แล้วเราควรเรียกเขาว่า นางอุ่นเรือน ธรรมเสน)

การที่ผมต้องมาชี้แจงเรื่องนี้เพราะคุณชายทักขิญ ยุคล ได้ไปโพสต์จนทำให้คนเคลือบแคลงสงสัยในตัวผม ผมขอยืนยันในความบริสุทธิ์ของตัวผม เพราะผมรับหน้าที่เป็นผู้ประสานก็เพราะผมเป็นห่วงเรื่องพระบรมอัฐิและพระบรมโกศ ไม่อยากให้อยู่ในสภาพการถูกรับจำนำ การที่ผมมาทำเรื่องนี้คือมีจุดประสงค์เดียวจะทำอย่างไรให้พระบรมโกศและพระบรมอัฐิประดิษฐานในที่อันเหมาะสม เมื่อราชสกุลยุคลติดต่อเข้ามาผมก็ดีใจและทำหน้าที่ประสานงานอย่างเต็มที่

ผมขอยืนยันเจตนารมณ์ของผมเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าผมบริสุทธิ์ใจไม่เคยได้รับผลประโยชน์อะไร และผมไม่เคยคิดเข้าข้างใคร ผมทำเรื่องนี้ก็เพื่อพระบรมอัฐิและพระบรมโกศของในหลวงรัชกาลที่ 5 จะได้กลับคืนมาประดิษฐานในที่ที่เหมาะสมไม่ใช่ตกอยู่ในมือของสามัญชน เมื่อคุณชายทักขิญ ยุคล ได้ไปแจ้งความกับตำรวจและขอหมายศาลไปยึดของกลางที่สำนักงานเสี่ยสี่ ผมจึงจำเป็นต้องเขียนลงใน Facebook ถึงความจริง เพราะคุณชายทักขิญทำผิดข้อตกลง ก็เท่านั้นเอง

ผมไม่เคยคิดเข้าข้างเสี่ยสี่หรือเสี่ยสินเพราะผมไม่รู้จักเขาเป็นการส่วนตัว แต่ผมมองว่าคุณชายไม่ทำตามข้อตกลง คุณชายบอกว่าเป็นเพียงการเล่นละครทั้งหมด ผมรู้สึกเสียใจที่คุณชายทำแบบนี้ และม.จ.เฉลิมศึก ยุคล ท่านได้ร่วมเล่นละครเรื่องนี้ของคุณชายหรือไม่ เอาอย่างนี้ดีกว่าเพื่อเป็นหลักของความยุติธรรม ผมขอบอกคุณชายและเพื่อนๆ ในที่นี้แบบนี้

1. ผมจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก แต่ขอร้องให้คุณชายได้หยุดและไปทำเรื่องคดีต่อสู้ในชั้นศาล เห็นจะเหมาะสมกว่า

2. ผมจะไม่ขอเป็นพยานต่อฝ่ายใด เพื่อยึดมั่นคำว่าคนกลาง หรือผู้ประสานงานและผมยังเคารพคุณชายที่เคยบอกผมว่าไม่ต้องห่วงเรื่องพระบรมอัฐิและพระบรมโกศ

3. ผมจะไม่โพสต์รายงานการประชุมที่เกิดขึ้นใน Facebook เพราะไม่อยากให้เป็นประเด็นอื่นๆ ที่แตกออกไปอีก

4. ผมขอยุติบทบาทของผมในการเป็นผู้ประสานงาน และจะขอเป็นผู้บันทึกประวัติศาสตร์ของเรื่องนี้ให้ลูกหลานได้จดจำต่อไป

5. กรณีที่ใครมากล่าวหาผมเรื่องนี้ หรือคุณชายทักขิญยังไปโพสต์เรื่องนี้โดยการกล่าวหาผมอีก ผมจะยังขอใช้สิทธิชี้แจงต่อไป

ขอแสดงความนับถือเป็นอย่างสูง

เทพมนตรี ลิมปพยอม

18 ธันวาคม 2554

ล่าสุดเมื่อผมได้ปรึกษาผู้ใหญ่ทุกฝ่ายแล้วเห็นว่า เรื่องนี้ผมควรแสดงจุดยืนยุติบทบาทลง ได้เขียนข้อความไปหาหม่อมราชวงศ์ ทักขิญยุคล ดังนี้

“ผมได้ตกลงใจที่จะระงับเรื่องราวทั้งหมด และเพื่อเป็นการยุติความขัดแย้งที่จะพึงมีทั้งในปัจจุบันและในอนาคต หากผมทำอะไรให้ราชสกุลยุคลต้องเข้าใจในตัวผมผิดไป ผมต้องขอโทษด้วยครับ เพราะจุดประสงค์ของผมต้องการที่จะได้เห็นพระบรมโกศถูกไปประดิษฐานในที่อันเหมาะอันควร ผมได้ปรึกษาผู้ใหญ่หลายท่านและลงความเห็นว่า การจะตอบโต้ต่อไปคงไม่มีผลดีอะไรและจะนำไปสู่การระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท ผมก็ได้แก้ข้อกล่าวหาไปทุกประเด็นแล้ว หวังว่าคุณชายคงจะเข้าใจในเจตนาของผมในเรื่องนี้ ขอบคุณครับ”

ในท้ายที่สุดนี้ ผมจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก และผมคาดหวังว่าเรื่องนี้คงจะจบลงด้วยดีและพระบรมโกศได้ประดิษฐานในสถานะเป็นของกลางของคดีนี้ที่สถานีตำรวจดุสิต

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง