4 เดือนรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ วังวน ทักษิณคิด-เพื่อไทยทำ
โดย...ทีมข่าวการเมือง
“ดิฉันจะมุ่งมั่นสร้างสุข สลายทุกข์ ให้แก่พี่น้องประชาชนอย่างสุดกำลังความสามารถ ดิฉันจะไม่ทำเพื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่จะทำเพื่อประเทศชาติและคนไทยทุกคน”
คำแถลงอย่างเป็นทางการอันเป็นสัญญาประชาคมจาก ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อครั้งรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 8 ส.ค. ท่ามกลางข้อสงสัยและคลางแคลงของสังคมเวลานั้นว่า รัฐบาลพรรคเพื่อไทย (พท.) ถูกจับตาว่าจะดำเนินนโยบายรัฐบาลเพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หรือไม่
ปัจจัยประการสำคัญที่ทำให้ยิ่งลักษณ์ถูกปรามาสว่าทำเพื่อคนคนเดียว ตั้งแต่ยังไม่รับตำแหน่ง เพราะท่าทีของ พ.ต.ท.ทักษิณ มักจะประกาศต่อสาธารณชนเสมือนหนึ่งเป็นผู้มีบารมีเหนือ พท. เช่น สโลแกน “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” “ยิ่งลักษณ์คือโคลนนิง” จึงนำมาสู่การจับตาค่อนข้างมาก และไม่ว่ารัฐบาลจะขยับไปทางไหนก็มักจะกลายเป็นประเด็นเสมอ
ต่อให้ถูกจับจ้องเพียงใด แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะตลอดอายุรัฐบาล 4 เดือนที่ผ่านมาได้ปรากฏมาตรการต่างๆ ที่เอื้อประโยชน์ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัว แบบไม่สนเสียงนกเสียงกา
ในเดือนเดียวกันนั้นเอง อัยการสูงสุดมีความเห็นไม่ยื่นฎีกาต่อศาลฎีกาให้พิจารณาคดีการเลี่ยงภาษี หุ้นบริษัท ชินวัตร คอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่นส์ หลังศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร และรอลงอาญา บรรณพจน์ ดามาพงศ์
กรณีนี้ ได้เกิดข้อถกเถียงในหมู่แวดวงวิชาการด้านกฎหมายอย่างมากว่าเป็นการสมควรหรือ ไม่เพราะมีการจุดกระแสขึ้นมา คดีลักษณะนี้ควรยื่นให้ศาลฎีกาวินิจฉัยให้เป็นบรรทัดฐานในอนาคตต่อไป แทนการปล่อยให้เกิดการคลุมเครืออย่างที่เป็นอยู่
พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ พี่ชายคุณหญิงพจมาน เป็นอีกคนที่ได้รับของขวัญจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ในช่วงเดือน ก.ย.เช่นกัน ด้วยตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ การได้ตำแหน่งมาของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ต้องแลกกับแรงเสียดทานและข้อครหาเป็นอย่างมาก เพราะรัฐบาลได้บีบ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ให้ออกจากตำแหน่ง โดยโยกไปเป็นเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ แทน ถวิล เปลี่ยนศรี
การขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดในชีวิตราชการตำรวจของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ไม่ได้เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายเท่าไหร่นัก เพราะจดๆ จ้องๆ กับตำแหน่งนี้มาแล้วหลายรัฐบาล ทว่าติดตรงที่มีความเกี่ยวดองกับครอบครัวชินวัตร ทำให้ถูกดองมาตลอดในช่วงที่ พท.สูญเสียอำนาจ
อย่างไรก็ตาม มีบางมาตรการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับประโยชน์แบบตรงๆ เนื้อๆ อย่างการคืนหนังสือเดินทางให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ เรื่องนี้ถือว่าเป็นความข้องใจของสังคม เพราะการคืนหนังสือเดินทางดำเนินการในช่วงเดือน ต.ค. ซึ่งเป็นจังหวะที่ประเทศไทยเผชิญกับวิกฤตอุทกภัย น้ำตาคนไทยค่อนประเทศต้องเสียไปโดยมีมหันตภัยน้ำท่วมเป็นสาเหตุ แต่รัฐบาลกลับฉวยโอกาสนี้ทำเพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ
“ได้ใช้ดุลพินิจในฐานะ รมว.ต่างประเทศ ยกเลิกคำสั่งยกเลิกหนังสือเดินทางของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นไปตามการดำเนินการของรัฐบาลชุดที่แล้ว ตั้งแต่วันที่ 12 เม.ย. 2552 ซึ่งอาศัยระเบียบของกระทรวงการต่างประเทศ ว่าด้วยการออกหนังสือเดินทางข้อ 23 (7) ที่เจ้าหน้าที่สามารถยกเลิกหรือเรียกคืนบุคคลใดที่เห็นว่าอาจก่อให้เกิดความ เสียหายต่อประเทศไทยและต่างประเทศได้ ทั้งนี้จากการพิจารณาเห็นว่าการอยู่ต่างประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ ต่อไปไม่ได้ทำความเสียหายทั้งในและต่างประเทศ จึงขอให้ยกเลิกคำสั่งเรื่องนี้ที่ออกโดยนโยบายของรัฐบาลชุดที่แล้ว”
คำชี้แจงของ รมว.ต่างประเทศ ยืนยันถึงความถูกต้องในการใช้อำนาจ แต่จะถูกต้องชอบธรรมหรือไม่ อีกไม่นานคงได้รับคำตอบจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
ถึงเรื่องดังกล่าวจะดำเนินการได้เป็นผลสำเร็จแบบไม่มีกระแสต่อต้านมากนัก แต่ก็มีบางเรื่องที่คิดแล้วแต่ทำไม่สำเร็จเช่นกันในช่วงเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา คือ พระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ขอพระราชทานอภัยโทษ ด้วยตัดเงื่อนไขบางประการออกไป เพื่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้ารับการขอพระราชทานอภัยโทษเนื่องในโอกาสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เจริญพระชนมพรรษา 84 พรรษา
เวลานั้น รัฐบาลเองไม่คาดคิดว่าจะเกิดกระแสต่อต้านรุนแรงถึงขั้นมีการจัดเครือข่ายคัด ค้านการนิรโทษกรรม พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างเป็นเรื่องเป็นราว สร้างความหวั่นวิตกให้กับรัฐบาลมาก เพราะเกรงว่ากลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยซึ่งกำลังอ่อนแรงเพราะแพ้ ภัยตัวเองจะกลับมาแข็งแรงเหมือนในอดีต ในที่สุด พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องออกแถลงการณ์ไม่ขอรับการอภัยโทษ เพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐบาลเอาไว้
แม้ว่ารัฐบาลจะถอยไม่เป็นท่ากับการออก พ.ร.ฎ. แต่ก็มีความพยายามครั้งใหม่ใน พท.เพื่อปลดล็อกให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ เช่นกัน วิธีการดังกล่าวคือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550
การแก้ไขกฎหมายสูงสุดของประเทศ ถือว่าเป็นงานใหญ่ชิ้นสำคัญของ พท.ที่ต้องทำให้สำเร็จ เนื่องจากจะเป็นกุญแจไปสู่แสงสว่างปลายอุโมงค์และปูทางคืนอำนาจให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ โดย พท.กำหนดบันไดก้าวเดินไว้คร่าวๆ ว่าจะใช้ข้อเสนอของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความ ปรองดองแห่งชาติ ที่มี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ เป็นประธาน เพื่อเป็นข้ออ้างความชอบธรรมของการกำหนดประเด็นในการแก้ไขทั้งหมด
เป้าหมายสำคัญเพื่อให้เกิดกระบวนการคืนความชอบธรรมทางการเมืองให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ รวมทั้งการล้างบางมรดกของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) โดยเฉพาะบรรดาองค์การอิสระที่ถูกตั้งขึ้นมาตามประกาศของคณะปฏิวัติ เช่น ป.ป.ช. หรือแม้แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญลดบทบาทฝ่ายตุลาการต่อการเลือกบุคคลเข้ามาดำรง ตำแหน่งในองค์การอิสระตามรัฐธรรมนูญ
ทั้งหมดนี้เห็นได้ชัดว่า ตลอด 4 เดือน รัฐบาลติดอยู่ในวังวนกับการคิดช่วยเหลือ “ทักษิณ” ซึ่งทำให้การเมืองยังร้อนแรงต่อไปจนถึงปีหน้า
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น