พันโชติ
วัน
เพ็ญเดือน ๑๒ จุลศักราช ๑๑๒๙ ปีกุน นพศก เวลาบ่ายโมงเศษซึ่งตรงกับ
วันศุกร์ที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๓๑๐ เจ็ดเดือนหลังจากเสียกรุงศรีอยุธยา กอง
ทัพเรือพระยาวชิรปราการที่ยกมาจากจันทบุรี หลังจากปราบนายทองอิน
ยึดธนบุรีได้แล้ว ก็เคลื่อนทัพจากธนบุรีเข้ายึดค่ายโพธิ์สามต้น
ปราบพม่ามอญจนราบคาบ กอบกู้กรุงศรีอยุธยากลับคืนมาได้สำเร็จ
พระยาวชิรปราการย้ายมาตั้งราชธานีที่เมืองธนบุรีแล้วจึงทำพิธีราชาภิเษกขึ้น
เป็นพระเจ้าแผ่นดิน
วีรกรรม
ครั้งนั้นพลิกสถานการณ์ของชาติจากการสูญเสียอย่างยับเยิน แผ่นดินเป็นกลียุค
ไร้อำนาจรัฐ กลับมาเริ่มต้นสร้างบ้านแปลงเมืองกันใหม่
เพื่อให้กรุงศรีอยุธยากลับมายิ่งใหญ่เหมือนเดิมอีกครั้ง
ปัจจุบัน
เวลาผ่านไปแล้ว ๒๔๓ ปี
ประเทศไทยมีความเจริญก้าวหน้าขึ้นจนผู้คนในอดีตคงคาดไม่ถึง
แน่นอนว่าบุญคุณของบรรพชนผู้เสียสละทุกผู้ทุกนามเป็นเรื่องที่ทดแทนกันไม่
ได้
แต่อย่างน้อยการรำลึกถึงเรื่องราววีรกรรมของท่านเหล่านี้ก็เป็นเรื่องพึง
กระทำ
เมื่อ
วันที่ ๖ พ.ย.๕๓ ณ ห้างอิมพิเรียล ชั้น๕ กลุ่มคนเสื้อแดงได้จัดงานเสวนา๒๔๓
ปีการกอบกู้เอกราชของพระเจ้าตาก โดยมีผู้ร่วมอภิปรายได้แก่ นที สรวารี, รุ่งโรจน์(อริน สุขวัฒน์) วรรณศูทร
ผม
เห็นหัวข้อแล้วเกิดความสนใจเพราะชื่นชอบเรื่องราวประวัติศาสตร์อยุ่แล้ว
โดยเฉพาะส่วนตัวใช้ชีวิตตั้งแต่เด็กจนหนุ่มเติบโตอยู่ฝั่งธนบุรี
เรื่องราวของพระเจ้ากรุงธนบุรีจึงมีความประทับใจเป็นพิเศษ
ว่าไปแล้วกิจกรรมทำนองนี้เป็นเรื่องดี น่าสนับสนุนให้แพร่หลายมากกว่านี้ เพียงแต่วัตถุประสงค์ของการจัดยังน่าเคลือบแคลงสงสัย
ผม
ไม่ใช่ทั้งคนเสื้อแดง หรือคนเสื้อเหลือง ยิ่งการเป็นนักประวัติศาสตร์ หรือ
นักวิชาการก็ยิ่งไม่ใช่ใหญ่ แค่เป็นชาวบ้านธรรมดาที่สนใจใคร่รู้
และชอบอ่านเรื่องราวประวัติศาสตร์เท่านั้น
แต่เมื่อได้ฟังท่านผู้อภิปรายทั้งสองท่าน(ซึ่งผู้ดำเนินรายการบอกว่า เป็น “นักวิชาการอิสระ” ) ฟังแล้วก็เกิดความสับสนว่าไอ้ที่เราเคยอ่านเคยรู้ทำไมมันไม่เหมือนกับที่ทั้งสองท่านมานั่งอภิปรายให้ฟัง ท่านเชื่อในสิ่งที่พูดออกมาจริงๆ หรือมีอะไรแอบแฝง
ต่อไปนี้เป็นประเด็นที่ นาย นที สรวารี ผู้อภิปรายคนหนึ่งกล่าวนำเพื่อ“จั่วหัว”ให้ผู้อภิปรายอีกคนหนึ่งกล่าวต่อ นาย นทีกล่าวในประเด็นต่อไปนี้ครับ
- สังคมไทยลืมพระเจ้าตาก
“เรื่อง
สมเด็จพระเจ้าตากสินถูกทำให้ลืมเลือนโดยเฉพาะยุค๔-๕ ปีหลัง นอกจากวันที่ ๑๘
ธ.ค.ของทุกปีที่เป็นวันสถาปนากรุงธนบุรีซึ่งเขาให้ถือว่าเป็นวันพระเจ้าตาก
แล้ว ประวัติศาสตร์ไม่เคยพูดถึง วันที่ ๗ พ.ย.๒๓๑๐
เป็นวันที่สมเด็จพระเจ้าตากสินกอบกู้กรุงศรีอยุธยาประกาศเป็นเอกราช”
ขอแยกเป็นประเด็นอย่างนี้ครับ
๑ เรื่องสมเด็จพระเจ้าตากสินถูกทำให้ลืมเลือน จริงหรือไม่?
๒ โดยเฉพาะยุค๔-๕ ปีหลัง จริงหรือไม่?
๓ ประวัติศาสตร์ไม่เคยพูดถึง วันที่ ๗ พ.ย.๒๓๑๐ จริงหรือไม่?
ผม
ว่าการที่จะทำให้ใครลืมอะไรนี่ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆนะครับ
ผมไม่ได้บอกว่าทำไม่ได้ แต่มันคงต้องใช้เวลานานในการไม่พูดถึง
ไม่เสนอเรื่องราวอะไรเกี่ยวกับบุคคลที่เราต้องการให้คนทั่วๆไปลืม
แต่เรื่องราวเกี่ยวกับพระเจ้ากรุงธนบุรีได้ถูกนำเสนอเป็นประจำทางสื่อมวลชน
แขนงต่างๆ เมื่อถึงวาระสำคัญที่พระองค์มีความเกี่ยวข้อง
ผมก็ยังได้ยินบทความประกาศเกียรติคุณของพระเจ้ากรุงธนบุรีอยู่ทุกปีนะครับ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีหน่วยทหารอย่างน้อยสองหน่วยละครับ ที่ทำพิธีรำลึกถึงพระองค์ท่าน
หน่วยทหารสองหน่วยที่ว่านี่คือ กองทัพบก กับ กองทัพเรือ
กองทัพบกถือว่าวันที่ ๔ มกราคม ของทุกปี เป็นวันทหารม้า ครับ
ทำไม
ถึงวันที่ ๔มกราคม ก็เพราะเมื่อวันที่ ๔ มกราคม พ.ศ. ๒๓๐๙
เกิดวีรกรรมการรบบนหลังม้าที่ บ้านพรานนก ซึ่งปัจจุบันอยู่ในอำเภออุทัย
จังหวัดพระนครศรีอยุธยาน่ะซีครับ
ใน
วันที่ ๓ มกราคม พ.ศ. ๒๓๐๙ ซึ่งตรงกับวันเสาร์ ขึ้น ๔ ค่ำ เดือนยี่
จุลศักราช ๑๑๒๘ ปีจอ อัฐศก
พระยาวชิรปราการเห็นว่ากรุงศรีอยุธยาคงต้องเสียทีแก่พม่า
จึงร่วมกับนักรบคู่ใจพร้อมด้วยทหารกล้าราว ๕๐๐ คน มีปืนเพียงกระบอกเดียว
แต่ชำนาญด้านอาวุธสั้น ยกกำลังออกจากค่ายวัดพิชัย
และตีฝ่าวงล้อมทหารพม่าไปทางทิศตะวันออก
ครั้น
รุ่งเช้าคือวันที่ ๔ มกราคม ขณะตั้งค่ายพักอยู่ที่บ้านพรานนก
มีทหารพม่ากองหนึ่งซึ่งประกอบด้วยทหารม้าประมาณ ๓๐ คน ทหารเดินเท้าประมาณ
๒๐๐ คน เดินทาง มาจากแขวงเมืองปราจีนบุรี
สวนทางมาพบทหารพระยาวชิรปราการที่เที่ยวหาเสบียงอาหาร ทหารพม่าก็ไล่จับและ
ติดตามมายังบ้านพรานนก
พระยาวชิรปราการจึงให้ทหารแยกออกซุ่มสองทาง ตัวท่านขึ้นขี่ม้าพร้อมกับทหารอีก ๔ คน ควบตรงไปไล่ฟันทหารม้าพม่า
อย่าลืมว่านี่เป็นการต่อสู้ระหว่าง ๔ ต่อ ๓๐ เชียวนะครับ
แต่
ที่สู้กันได้เพราะฝ่ายพระยาวชิรปราการอาศัยการจู่โจม
ทหารพม่าไม่ทันรู้ตัวตกใจถอยกลับ ไปปะทะกับทหารเดินเท้า เกิดการอลหม่าน
ทหารไทยที่ซุ่มอยู่สองข้างจึงแยกเป็นปีกกาตีโอบทหารพม่าไว้สองข้าง
แล้วไล่ฟันทหารพม่า ล้มตายและแตกหนีไป
จากวีรกรรม
บนหลังม้าครั้งนี้กองทัพบกไทยจึงมีมติให้วันที่ ๔ มกราคม ของทุกปี
เป็นวันทหารม้า มีพิธีสักการะอนุสรณ์สถานพระเจ้ากรุงธนบุรี
ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
และมีการจัดงานวันที่รำลึกทหารม้าในวันดังกล่าวทุกปีด้วยครับ
กองทัพเรือก็ไม่เคยลืมวันที่ ๖ พฤศจิกายนครับ
เพราะวันนี้เป็นวันสำคัญของกองทัพเรืออีกวันหนึ่ง
การ
ที่พระยาวชิรปราการยกทัพเรือกู้ชาติเดินทางจากเมืองจันทบุรี
มาทางทะเลเข้าสู่ปากแม่น้ำเจ้าพระยา
และได้ยกพลขึ้นบกเข้าโจมตีค่ายข้าศึกจากทางทะเลในครั้งนั้น
ถือเป็นการยุทธสะเทินน้ำสะเทินบกครั้งแรกของกองทัพเรือไทย
กองทัพเรือจึงได้อนุมัติให้วันที่ ๖ พฤศจิกายน ของทุกปี
เป็นวันคล้ายวันสถาปนากองเรือยกพลขึ้นบกและยุทธบริการ กองเรือยุทธการ
มีพิธีบวงสรวงและทำบุญกันทุกปี
นอก
จากนี้ ทุกหน่วยงานสถานที่
และทุกจังหวัดที่มีประวัติศาสตร์เกี่ยวเนื่องกับพระราชประวัติล้วนจัดให้มี
กิจกรรมต่างๆเพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณในวาระสำคัญนั้นๆเป็นประจำ
นาย
นที เน้นย้ำว่า โดยเฉพาะยุค ๔-๕ ปีหลังที่มีการทำให้พระเจ้าตากถูกลืม
เรื่องนี้ผมยังสงสัยเพราะกิจกรรมต่างๆที่เคยจัดเพื่อรำลึกถึงพระองค์ก็เห็น
ยังจัดกันอยู่เป็นปกติ หรือว่านายนทีต้องการบอกว่า
รัฐบาลหรือใครก็ตามในช่วง ๔-๕ปีนี้ตั้งใจทำให้คนลืมพระเจ้าตาก
นายนทีบอกได้ไหมครับว่า ๔-๕ ปีหลังที่ว่านี้ รัฐบาลหรือใครก็ตาม
ทำอะไรหรือไม่ทำอะไร ที่ทำให้เห็นเจตนาอย่างที่ว่า
และพฤติกรรมที่ว่านี้มันเพิ่งเกิดขึ้นในรัฐบาลนี้หรือว่าเกิดขึ้นมาตั้งแต่
รัฐบาลก่อนๆ
จริงหรือที่ นาย นทีบอกว่า ประวัติศาสตร์ไม่เคยกล่าวถึง วันที่ ๗ พ.ย.๒๓๑๐?
ผมเองก็สงสัยครับว่าทำไมประวัติศาสตร์ไม่กล่าวถึงวันสำคัญอย่างนี้
ยัง
ไม่มีเวลาไปเปิดดูพงศาวดารทุกฉบับหรอกครับ
แต่ที่เปิดดูสองสามฉบับก็เห็นกล่าวถึงเหตุการณ์ยกทัพเรือของพระเจ้าตากมาตี
กรุงธนบุรี แล้วยกทัพไปตีค่ายโพธิ์สามต้นทุกฉบับ
หรือนายนทีหมายถึงแบบเรียนของเด็กๆครับ
ผมยังไม่มีเวลาไปเปิดดู แต่ถ้าไม่ได้บรรจุเรื่องนี้เอาไว้
หากปรับปรุงหลักสูตรคราวหน้าก็ควรจะใส่ไว้นะครับ
ประเด็นต่างๆที่นายนทีพูดถึง ยังมีอีกหลายเรื่องครับ แล้วจะหยิบยกมาทีละประเด็น เรื่องนี้ยาวครับ ยังต้องประดาบกันอีกหลายวัน
การขยับปรับมุมอนุสาวรีย์พระเจ้าตากสินมหาราช
รู้ไม่จริงหรือตั้งใจบิดเบือน(๒)
เมื่อวันที่ ๖ พ.ย.๕๓ ณ ห้างอิมพิเรียล ชั้น๕ กลุ่มคนเสื้อแดงได้จัดงานเสวนา ๒๔๓
ปี การกอบกู้เอกราชของพระเจ้าตาก ผู้ร่วมอภิปรายคนหนึ่ง คือ นาย นที
สรวารี นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
ในประเด็นที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับอนุสาวรีย์ของพระองค์ท่าน
นาย นที นำเสนอว่า
“..ได้
มีการขยับปรับมุมอนุสาวรีย์พระเจ้าตากสินมหาราช ในสมัยเผด็จการ
ก่อนหน้านี้สมเด็จพระเจ้าตากสินจะผินพระพักตร์มาทางสะพานพระพุทธยอดฟ้า
ก็ด้วยตระกูลที่เกรงกลัวเรื่องไสยศาสตร์จนขึ้นสมองไปทั้งตระกูลเขาบอกว่า
สมเด็จพระเจ้าตากสินผินหน้ามาทางสะพานพุทธพยายามจะเอามีดมาฟันคนที่นั่งอยู่
ริมสะพาน ก็ผินหน้าไปเสีย หันหน้าไปอีกทาง
อันนี้ก็เป็นเรื่องที่สมเด็จพระเจ้าตากสินแม้จะสิ้นพระชนม์ไปแล้วก็ยัง
ถูกกระทำอย่างต่อเนื่อง..”
เรื่อง
นี้เป็นเรื่องใหม่สำหรับผม เพราะไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อน ต้องขอบคุณ นาย
นทีเป็นอย่างมาก ผมไม่ทราบว่าเรื่องนี้ นาย นทีไปเอามาจากไหน ใครเล่าให้ฟัง
หรือ แต่งขึ้นมาเอง
ถ้ามีหลักฐานมายืนยันกันสักหน่อยจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อคนรู้น้อยอย่าง
ผม จะได้ฉลาดทันคนขึ้นมาบ้าง
ผม
เป็นเด็กตรอกสารภีครับ วงเวียนใหญ่นี่เป็นสนามเด็กเล่นของผม
เมื่อห้าสิบกว่าปีก่อน
ไปวิ่งเล่นแทบทุกเย็นกับสมัครพรรคพวกเด็กแถวบ้านสิบกว่าคน
พอมืดหน่อยก็มานั่งดูโทรทัศน์สาธารณะที่เขาตั้งเอาไว้บริการประชาชน
สมัยนั้นเพิ่งจะทดลองออกอากาศ ยังแพร่ภาพเป็นขาวดำอยู่ครับ
ราคาเครื่องรับโทรทัศน์ยังแพงอยู่ต้องอาศัยดูตามที่สาธารณะ
เช่นที่วงเวียนใหญ่ สะพานพุทธฯเป็นต้น
รายการที่ผมกับเพื่อนๆชอบดูเป็นประจำคือหุ่นกระบอกเรื่องพระอภัยมณีของคณะ
นายเปียก ประเสริฐกุล
แต่วันไหนมีถ่ายทอดมวยตู้วันนั้นเป็นอันอดดูโทรทัศน์ครับ
เพราะถูกผู้ใหญ่แย่งดูมวย เด็กๆเรากลับบ้านกันแต่วัน
โต
ขึ้นอีกหน่อยย้ายบ้านจากตรอกสารภีมาอยู่สำเหร่ แถวโรงเรียนสมบุญวิทยา
ถนนตากสิน ต้องข้ามฟากมาเรียนหนังสือฝั่งพระนคร
ก็นั่งรถเมล์จากบ้านมาต่อรถที่วงเวียนใหญ่ทุกวัน วันละสองเที่ยวไปกลับ
ด้วยความเคารพครับ ท่านนักวิชาการอิสระ ตั้งแต่จำความได้จนบัดนี้อายุหกสิบกว่าปีแล้ว ผมไม่เคยเห็นอนุสาวรีย์พระเจ้าตากสิน “ผินพระพักตร์” ไปทางไหนเลย ส่วนข้อที่ว่าก่อนหน้านี้ท่าน“ผินพระพักตร์”ไป
ทางสะพานพุทธหรือเปล่า
ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันเพราะตอนที่สร้างนั้นผมยังเด็กอยู่จำความไม่ได้
วันก่อนก็เลยลองสอบถามญาติผู้ใหญ่ที่ยังเหลืออยู่
และเคยเห็นวงเวียนใหญ่มาตั้งแต่ยังไม่มีพระบรมรูป ท่านก็ว่า
ตั้งแต่แรกสร้างแล้ว ก็เห็นพระองค์ทรงม้าชูดาบ หันพระพักตร์ไปทิศทางนี้แหละ
เรื่อง
ทิศทางนี่มันมีนัยยะครับ แต่ไม่เกี่ยวกับไปฟันไปแทงหลังใครทั้งนั้น
ความคิดของผู้ที่กำหนดรูปแบบ ลักษณะพระบรมรูป ตลอดจนทิศทางการวาง
ไม่ตื้นเขินเบาปัญญาด้วยเรื่องไร้สาระแบบนี้
ลักษณะของพระบรมรูปพระราชอนุสาวรีย์ สมเด็จพระเจ้าตากสินกรุงธนบุรี มีรายละเอียดอย่างนี้ครับ
“พระ
บรมรูปทรงม้าพระที่นั่งออกศึก ทรงเครื่องกษัตริย์นักรบ สวมพระมาลาเบี่ยง
พระหัตถ์ขวาทรงเงื้อพระแสงดาบนำพลออกรุกไล่ข้าศึก พระหัตถ์ซ้ายทรงบังเหียน
หล่อด้วยทองสำริด ประดิษฐานบนแท่นเสาใหญ่ หล่อด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก
ทั้ง
สองด้านของแท่นฐานจารึกรูปนูนตามความหมายทางประวัติศาสตร์ด้านละ ๒ กรอบรูป
ความสูงประมาณ ๑๕ เมตร คือ จากแท่นที่ม้ายืนถึงพระหัตถ์ที่ชูพระแสงดาบ ๔
เมตร ๒๐ เซนติเมตร จากพื้นดินถึงแท่นที่ม้ายืน ๙ เมตร ๙๐ เซนติเมตร
ผินพระพักตร์ ทางตะวันออกเฉียงใต้สู่จังหวัดจันทบุรี
การปั้นหล่อพระบรมรูปพระราชอนุสาวรีย์และการสร้างแท่นฐานลานพระบรมรูปตลอดจนสิ่งอื่นๆ อันเนื่องในการนี้ สิ้นค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น ๕,๑๙๗,๘๘๒ บาท ๔๕ สตางค์”
คณะ
กรรมการเขากำหนดทิศทางมาตั้งแต่แรกแล้วครับให้ผินพระพักตร์สู่จังหวัด
จันทบุรี
เพราะเป็นพระประสงค์ของพระองค์มาตั้งแต่ฝ่าทัพพม่าออกมาจากวัดพิชัยแล้ว
ที่จะมุ่งตะวันออก แล้วไปตั้งหลักรวมพลทางฝั่งทะเลตะวันออก
ซึ่งสุดท้ายแหล่งปรับกำลังจัดทัพก็อยู่ที่จันทบุรีนั่นแหละ
ส่วน
พระบรมราชานุสาวรีย์ที่จันทบุรีซึ่งสร้างขึ้นทีหลังนั้น
ท่านกำหนดทิศทางให้หันพระพักตร์มาทางกรุงธนบุรี กรุงศรีอยุธยาครับ
เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการนำทัพจากฝั่งทะเลตะวันออกมากู้เอกราชกรุงศรีอยุธยา
นั่นเอง
คณะ
กรรมการเขากำหนดเอาไว้เหมาะสมแล้วครับ
สนองตามพระราชประสงค์เดิมของสมเด็จพระเจ้าตากสินทุกประการ
ไม่ได้ผินพระพักตร์ไปทางนั้นด้วยเหตุใด
ผู้ที่บังอาจบิดเบือนแนวพระราชประสงค์นี้เพื่อประโยชน์อื่น
ถือว่าชั่วช้าเนรคุณต่อพระองค์มากนะครับ
การ
กำหนดรูปแบบและทิศทางการวางพระบรมรูปนั้นไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่ง
หรือตระกูลใดตระกุลหนึ่ง(ไม่ว่าจะไสยศาสตร์ขึ้นสมองหรือไม่ก็ตาม)จะเป็นผู้
กำหนดได้ เพราะการดำเนินการสร้างอยู่ในการกำกับดูแลของคณะกรรมการ
ซึ่งกว่าจะสร้างเสร็จต้องผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการหลายคณะด้วยกัน
ผมขอเล่าประวัติการก่อสร้างพระราชอนุสาวรีย์ย่อๆให้ฟังอย่างนี้นะครับ
แนว
ความคิดเรื่องการก่อสร้างพระราชอนุสาวรีย์มีมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๗๗ แล้ว
โดยต้องให้เครดิตแก่ นายทองอยู่ พุฒพัฒน์
ผู้แทนราษฎรจังหวัดธนบุรีคนแรกเป็นผู้ริเริ่มและติดตามโครงการนี้เป็นเวลา
ยาวนานถึง ๓๐ ปี จนสำเร็จ
นายทองอยู่ไม่ได้ทำคนเดียวนะครับแต่ได้เชิญผู้แทนตำบลในจังหวัดธนบุรี ๑๒๖ คน กับผู้ที่ไม่ได้เป็นผู้แทนตำบลอีก๑๐ คนมาเป็นกรรมการ
คณะ
กรรมการได้พยายามติดต่อกับ บุคคลสำคัญหลายท่านในยุคนั้น
นับตั้งแต่ประธานผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ไปจนถึงนายกรัฐมนตรี
และรัฐมนตรีอีกหลายคนเพื่อขอความเห็นชอบและความสนับสนุน
เดือน
กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ รัฐบาลมีมติแต่งตั้งคณะกรรมการคณะหนึ่ง
มีหน้าที่พิจารณาจัดสร้าง ประเด็นสำคัญที่โต้เถียงกันมาก คือ
ลักษณะของพระราชอนุสาวรีย์ซึ่งแยกออกเป็น ๒ ฝ่าย
“ฝ่ายหนึ่งเห็นว่า ไม่ควรสร้างเป็นพระบรมรูป โดยให้เหตุผลว่าจะหาพระบรมรูปที่แท้จริงมาจำลองไม่ได้ถ้าสร้างก็จะผิดจากพระบรมรูปจริง
ควร
สร้างเป็นถาวรวัตถุอย่างใดขึ้น แล้วจารึกพระนามาภิไธยของพระองค์ท่านไว้
และให้เปลี่ยนชื่อจากพระราชอนุสาวรีย์เป็นพระราชอนุสรณีย์
เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้ระลึกถึงเท่านั้น
อีก
ฝ่ายหนึ่งเห็นว่า ควรสร้างเป็นพระราชอนุสาวรีย์พระบรมรูป
ทำนองเดียวกับพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
ซึ่งก็เป็นพระบรมรูปที่สมมุติขึ้นเหมือนกัน
ถ้าสร้างเป็นถาวรวัตถุอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว
ความสนใจในพระองค์ท่านจากประชาชนจะน้อยไป แต่ถ้าสร้างขึ้นเป็นพระบรมรูปแล้ว
จะทำให้เกิดความสนใจมากขึ้นและจะเป็นเครื่องเตือนใจให้เกิดความเลื่อมใสใน
คุณงามความดีของพระองค์ท่านที่ได้ทรงกอบกู้ประเทศชาติให้เป็นเอกราชมาจนทุก
วันนี้
ผลของการประชุม มีมติให้สร้างเป็นพระบรมรูป”
จะเห็นได้ว่าคณะกรรมการพิจารณาอย่างรอบคอบครับ ที่ให้สร้างเป็นพระบรมรูป “ทำนองเดียวกับพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก” แสดงว่า ความคิดเรื่องการแบ่งแยกแตกต่างไม่มีอยู่เลย คงถวายพระเกียรติเฉกเช่นที่พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ของพสกนิกรทุกคนเสมอกัน
เมื่อตกลงใจว่าจะสร้างเป็นพระบรมรูป ต่อไปก็เป็นเรื่องของการออกแบบครับ
คณะกรรมการกำหนดแนวความคิดของรูปแบบเป็น ๒ ประการ คือ
ก. อนุสาวรีย์จะต้องเป็นของสูงใหญ่ งามสง่ากระทบตากระเทือนใจให้ผู้ดูรู้สึกความสูงใหญ่มั่นคง ซึ่งสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ได้ทรงทำให้แก่ประเทศชาติ และ
ข. รูปอนุสาวรีย์ควรเป็นหลักหกหลัก
หรือถ้าเป็นหลักเดียวก็ควรให้เห็นเป็นหกเหลี่ยมหกซีก
รัดรึงตรึงกันเป็นอันเดียว ซึ่งแสดงความหมายในทางประวัติศาสตร์ว่า
เมื่อเสียกรุงแก่พม่าใน ใน พ.ศ. ๒๓๑๐ นั้น สยามได้แตกแยกเป็นหกส่วน
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้รวบรวมสยามที่แตกแยกให้กลับเป็นอันหนึ่งอันเดียว
กัน
งาน
ที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงทำให้แก่ชาติเรานั้น ก่อให้เกิดลัทธิที่ว่า
สยามต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จะแบ่งแยกกันมิได้
ลัทธิอันนี้ได้เป็นบทรัฐธรรมนูญมาตราต้น ในเวลานั้น
คณะ
กรรมการคำนึงถึงงานที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงทำให้แก่ชาติ นั่นคือ
ทรงรวบรวมสยามที่แตกแยกให้กลับเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
แล้วกำหนดรูปแบบของพระราชอนุสาวรีย์ให้สื่อถึงพระราชกรณียกิจนั้น
ใคร
ก็ตามที่พยายามสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นในชาติ
มันผู้นั้นประพฤติสวนทางกับพระราชประสงค์ของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีครับ
ไม่ว่าปากจะอ้างว่าเทิดทูนพระองค์เพียงใดก็ตาม
ปี
พ.ศ. ๒๔๘๐ หลวงวิจิตรวาทการ อธิบดีกรมศิลปากร
ได้มอบให้ช่างของกรมศิลปากรปั้นพระบรมรูปเล็กๆขึ้น ๗ แบบ
แล้วนำไปตั้งแสดงที่ร้านของกรมศิลปากรในงานฉลองรัฐธรรมนูญ เพื่อขอมติมหาชน
ให้ร่วมกันพิจารณาและออกคะแนนเสียงแสดงความปรารถนาว่าจะเลือกสร้างแบบไหน
คณะกรรมการจะมาแอบตกลงใจกันเงียบๆก็ไม่ได้นะครับ ต้องขอมติมหาชนก่อน ส่วนวิธีการขอประชามติก็เข้าที ท่านทำกันแบบนี้ครับ
ด้านหน้าของพระบรมรูปแบบต่างๆที่ตั้งแสดงจะมีตู้บริจาคเงินวางไว้ตู้ละใบ
ใครชอบแนวความคิดพระบรมรูปแบบใด ก็ให้บริจาคเงินเป็นคะแนนเสียงใส่ในตู้
การนับคะแนนเสียงไม่ได้คำนึงถึงค่าของเงิน แต่จะนับสตางค์หนึ่งเหรียญก็เป็นหนึ่งเสียง หรือ ธนบัตรพันบาทหนึ่งแผ่น ก็นับเป็นหนึ่งเสียงเหมือนกัน
และ ทรัพย์ที่มหาชนบริจาคในการลงคะแนนเสียงนั้น จะส่งเข้าร่วมสมทบทุนสร้างอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทั้งหมด
ผล
ของการขอมติมหาชนแบบนี้ ปรากฏว่า หีบพระบรมรูปพระราชอนุสาวรีย์ทรงม้า
พระหัตถ์ขวาเงื้อพระแสงดาบประดิษฐานอยู่บนแท่นสูง
ดังที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันได้รับคะแนนสูงสุด คือ ๓๙๓๒ คะแนน
การ
ก่อสร้างพระราชอนุสาวรีย์ต้องชะงักลงระยะหนึ่ง เพราะเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒
สถานภาพทางบ้านเมืองไม่อำนวยให้ รัฐบาลต้องเปลี่ยนไปหลายคณะ
กว่าจะมาเริ่มโครงการกันใหม่ก็ ปีพ.ศ. ๒๔๙๑ แล้วครับ
พ.ศ. ๒๔๙๒ คณะรัฐมนตรีมีมติเป็นเอกฉันท์อนุมัติเงินงบประมาณจำนวน๒๐๐,๐๐๐ บาท เป็นทุนเริ่มแรกในการสร้าง แต่พอเอาเข้าจริงต้องขยายพระบรมรูป ขยายม้าทรง แท่นฐาน ฯลฯ งบประมาณบานปลายเป็นกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท คณะกรรมการ จึงต้องมีมติให้หาทุนโดยการเปิดการเรี่ยไรขึ้น
ใน
ส่วนของพระบรมรูปนั้น กรมศิลปากรมอบให้ศาสตราจารย์ ศิลป พีระศรี ( ซี.
เฟโรจี ) เป็นผู้ปั้นหุ่น การปั้นสำเร็จเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๔๙๔
และเททองหล่อพระเศียรเป็นปฐมฤกษ์ในวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๔
จากนั้นใช้เวลาอีกประมาณ ๒
ปีในการหล่อพระบรมรูปและการจัดสร้างแท่นฐานตลอดจนปรับปรุงบริเวณจนสำเร็จ
เรียบร้อยและ
กราบบังคมทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ปัจจุบันเสด็จพระราช
ดำเนินเปิดในวันที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๗ เวลา ๗.๓๐ น.
ทางราชการได้กำหนดวันถวายบังคมพระบรมรูปประจำปี ในวันที่ ๒๘ ธันวาคม ของทุกปีอย่างที่เราท่านทราบกันอยู่แล้ว
ว่าจะเล่าย่อๆแต่ไหงกลายมาเป็นยืดยาวไปได้
แต่เห็นว่าจำเป็นครับ
เพราะคำพูดที่ว่า “สมเด็จพระเจ้าตากสินแม้จะสิ้นพระชนม์ไปแล้วก็ยังถูกกระทำอย่างต่อเนื่อง” นี่ละครับ
ใครกระทำพระองค์ครับ?
ผมเห็นแต่พระองค์ท่านถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างต่อเนื่องต่างหาก
อย่าปฏิเสธเลยครับว่าที่นำเรื่องราวของพระองค์ท่านมานำเสนอนั้น ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ทางการเมือง
ถ้า
อ้างว่าต้องการเรียกร้องความยุติธรรมให้สมเด็จพระเจ้าตากสินแล้ว
ท่านก็ต้องให้ความยุติธรรมต่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯด้วยเช่นกัน
เรา
ไม่ควรปฏิเสธประวัติศาสตร์ในแง่ของความเป็นจริงที่เกิดขึ้นครับ
ไม่ว่าความจริงนั้นจะถูกใจเราหรือไม่
แต่ทั้งหลายทั้งปวงนั้นต้องมีหลักฐานที่แน่นอน ตรวจสอบได้
ไม่ใช่ยกขึ้นมากล่าวลอยๆให้คนฟังเกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน
ข้อมูล
ที่ว่ามาทั้งหมดนั้น ผมคัดมาจากวารสารศิลปากร เรียบเรียงโดย คุณ ประพัฒน์
ตรีณรงค์ แห่งกองวรรณคดีเเละประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร ครับ ขอขอบพระคุณ
คุณประพัฒน์ มา ณ ที่นี้
ผม
เองก็ไม่ได้เก่งกล้าสามารถมาจากไหน แต่เมื่อพบเห็นอะไรที่ไม่ถูกต้อง
และจะทำให้สังคมเกิดความเข้าใจผิด ก็ต้องไปหาความรู้มาขยายกันให้ทราบครับ
นัก
วิชาการ จะอิสระหรือมีสังกัดก็ตาม เมื่อเป็นนักวิชาการแล้ว
ก็ต้องนำเสนอความรู้ในเชิงวิชาการเพื่อสร้างสรร ครับ อย่ามีอคติ
หรือจงใจบิดเบือนข้อเท็จจริง
ไม่งั้นก็อย่าให้ใครเขาแนะนำตัวท่านว่าเป็นนักวิชาการเลย
สมัยนี้แยกกันไม่ค่อยออกเสียด้วยว่าใครเป็นนักวิชาการจริง ใครเป็นนักวิชาการเก๊
ยิ่ง
เขากล่าวหาว่าในกลุ่มคนเสื้อแดงนี่มีพวกแดงล้มจ้าวแอบแฝงอยู่
มันจะเสียชื่อคนเสื้อแดงส่วนมากที่เขายังเทิดทูนระบอบกษัตริย์อยู่นะครับ
ผมรักเสื้อแดงนะครับ ถึงได้เตือน
รู้ไม่จริงหรือตั้งใจบิดเบือน (3)
“..อยู่ๆสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกมาจากไหนถึงได้มา ผมขออนุญาตใช้คำแรง “ชุบมือเปิบ” แล้วบอกว่าเป็นคนร่วมกอบกู้เอกราชด้วย ทั้งๆที่ไม่เคยร่วมรบกับพม่าเลยแม้แต่ครั้งเดียวนะครับนับตั้งแต่กอบกู้เอกราช..”
คำพูดของนายนที สรวารี ในงานเสวนา๒๔๓ ปีการกอบกู้เอกราชของพระเจ้าตากจัดโดยกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อวันที่ ๖ พ.ย.๕๓ ณ ห้างอิมพิเรียล ชั้น๕
วันนี้ยังเดินหน้าเข้าคลองไปไม่ได้ถึงไหนละครับ เศษสวะมันเยอะเหลือเกิน ขอหยุดเรือจัดการเก็บกวาดกันสักหน่อยก่อนนะครับ
นายนที กล่าวนำ “จั่วหัว” เพื่อ
ให้นายอริน พูดต่อ
อันที่จริงผมตั้งใจว่าจะรอเก็บกวาดเสียพร้อมกันทีเดียวเลย แต่ยิ่งฟัง
นายนทีก็ยิ่งเลอะเทอะไปกันใหญ่ ไม่อยากให้ผู้ที่บังเอิญได้ฟังการเสวนา
หรือได้ข้อมูลเหล่านี้มาจากทางไหน เข้าใจผิดตามนายนทีไปด้วย
จึงขอตัดตอนเฉพาะของนายนทีก่อนนะครับ ส่วนของนายอรินนั้นใจเย็นๆครับ
แล้วจะชี้ให้ดูว่าเลอะเทอะเพ้อเจ้อพอกันหรือมากกว่านี้แค่ไหน
ประเด็นแรก นายนที กล่าวว่า
“…. ชื่อ
ตำแหน่งว่าสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก
มีจริงหรือเปล่าในประวัติศาสตร์ไทยนะครับ
และตำแหน่งนี้คือตำแหน่งของใครครับ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก
ตำแหน่งของนายทองด้วง
ที่ในประวัติศาสตร์กล่าวกันว่าเป็นเพื่อนรักร่วมสาบานกับพระยาตากมา
แล้วมามีเหตุการณ์กันเบื้องหลังภายหลัง
ซึ่งเดี๋ยวพี่อรินจะมาเล่าให้ฟังว่าแท้จริงมันเป็นยังไง..”
ตำแหน่ง
สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกมีจริงหรือเปล่าในประวัติศาสตร์
ตอบได้เลยว่าไม่มีอยู่ในทำเนียบข้าราชการสมัยอยุธยาแน่นอน ครับ
เพราะเป็นตำแหน่งที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
ทรงกำหนดขึ้นใหม่ในรัชสมัยของพระองค์ เพื่อบุคคลคนเดียว คือ
ผู้ที่นายนทีใช้คำว่า “นายทองด้วง”
สมเด็จ
พระเจ้ากรุงธนบุรีนั้นทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาสามารถหลายประการ
ทรงเป็นแม่ทัพที่เก่งกาจด้านการนำทัพ รวมทั้งการบังคับบัญชาที่ยอดเยี่ยม
มีความกล้าหาญและมีพระวิริยะอุตสาหะแรงกล้า
และที่สำคัญที่สุดคือการที่ทรงเป็นนักบริหารชั้นเยี่ยม
ทรงรู้จักใช้คนให้เหมาะสมกับภารกิจ
และปูนบำเหน็จแก่นักรบของพระองค์อย่างถ้วนหน้าสมกับความดีความชอบที่ได้
กระทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้กระทำระหว่างศึกสงคราม
ใน
ขณะที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯนั้น
ก็ทรงเป็นนักรบที่เคียงคู่กับพระอนุชาของพระองค์(ซึ่งต่อมาคือ
สมเด็จกรมพระราชวังบวรสุรสิงหนาท) นำทัพรบมาแล้วทุกภาคของประเทศ
ว่ากันเฉพาะศึกสงครามก่อนที่จะได้รับพระราชทานบำเหน็จให้เป็นสมเด็จเจ้า
พระยามหากษัตริย์ศึก
ก็ทรงได้รับความไว้วางพระทัยให้เป็นแม่ทัพรับผิดชอบภารกิจสำคัญมาแล้วหลาย
ครั้ง ซึ่งทุกครั้งไม่เคยทำให้พระเจ้ากรุงธนบุรีผิดหวัง เริ่มตั้งแต่..
พ.ศ.๒๓๑๑ เมื่อ
ครั้งที่ยังปราบปรามชุมนุมต่างๆเพื่อรวบรวมอาณาจักรให้เป็นหนึ่งเดียวอีก
ครั้งนั้น คราวที่ยกทัพไปปราบชุมนุมเจ้าพิมาย
ขณะนั้นยังดำรงยศเป็นพระราชรินทร์ ทรงได้รับมอบหมายให้ร่วมกับพระอนุชา
ยกทัพน้อยแยกออกอีกเส้นทางหนึ่งเข้าตีประสานกับทัพของพระเจ้ากรุงธนบุรี
ครั้งนั้นตีนครราชสีมา ปราบปรามชุมนุมเจ้าพิมายลงได้
ทรงได้เลื่อนยศเป็นพระยาอภัยรณฤทธิ์
พ.ศ. ๒๓๑๒ ขณะ
ที่ยังคุมพลอยู่ที่นครราชสีมาไม่ทันกลับเข้าเมืองหลวง
ก็ได้รับคำสั่งให้ร่วมกับพระอนุชา
นำกำลังยกทัพไปตีเขมรและโจมตีได้เมืองเสียมราฐ
พ.ศ.๒๓๑๓
พระเจ้ากรุงธนบุรียกทัพตีหัวเมืองเหนือ หลังเสร็จจากศึกสงคราม
ได้ตั้งข้าราชการที่มีบำเหน็จความชอบในสงคราม
ครั้งนั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯทรงได้เลื่อนจาก พระยาอภัยรณฤทธิ์
เป็นพระยายมราช บัญชาการมหาดไทยแทนเจ้าพระยาจักรี(แขก) สมุหนายกคนเก่า
ถ้าไม่มีความดีความชอบท่านคิดว่าจะได้รับพระราชทานเลื่อนยศหรือครับ
พ.ศ. ๒๓๑๔ พระเจ้ากรุงธนบุรี เลื่อนพระยายมราช หรือ “นายทองด้วง” ที่
นายนทีเรียก เป็น เจ้าพระยาจักรี แล้วให้เป็นแม่ทัพบกคุมพล ๑๐๐๐๐
ยกทัพไปตีเขมรอีกครั้ง ถ้าพระเจ้ากรุงธนบุรีไม่ไว้วางพระทัย ไม่เชื่อฝีมือ
จะทรงเลือกให้ไปปฏิบัติงานนี้หรือครับ
และขุนศึกคู่พระทัยก็ไม่ทำให้ทรงผิดหวังครับ
ครั้งนั้นทัพไทยตีได้เมืองโพธิสัตว์ เมืองพระตะบอง เมืองบริบูรณ์
เมืองกำพงโสม และเมืองบันทายมาศ
พ.ศ.๒๓๑๔ เป็นแม่ทัพใหญ่ร่วมกับพระยาสุรสีห์ฯคุมกำลังเมืองเหนือขึ้นไปตีเชียงใหม่ กองทัพไทยชนะ ยึดนครเชียงใหม่คืนจากพม่าได้
พ.ศ.๒๓๑๔ เสร็จ
ศึกเชียงใหม่ ไม่ทันได้พักละครับ เพราะศึกพม่าเข้ามาทางราชบุรีอีกทางหนึ่ง
ขณะนั้นพระเจ้ากรุงธนบุรียกทัพไปยันศึกไว้ก่อน
ทำให้เจ้าพระยาจักรีต้องรีบยกทัพจากเมืองเหนือลงมาสมทบทัพพระเจ้ากรุงธนบุรี
ที่บางแก้ว ราชบุรี พระเจ้ากรุงธนบุรี จึงทรงมอบหมายให้บัญชาการล้อมพม่าต่อ
แสดงว่าพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงไว้วางพระทัยทหารเอกของพระองค์มาก
ครั้น
ทัพเจ้าพระยาสุรสีห์ฯกับพวกหัวเมืองฝ่ายเหนือลงมาสมทบอีกจึงได้ช่วยกันตั้ง
ค่ายสกัดทัพพม่าไม่ให้ทัพพม่าช่วยเหลือกันได้ ในที่สุดพม่าจึงต้องยอมแพ้
ชัยชนะในครั้งนี้ส่งผลให้ผู้คนที่หลบซ่อนตามที่ต่าง ๆ
เข้ามาสวามิภักดิ์เป็นจำนวนมาก เนื่องจากหมดความกลัวเกรงพม่า
นับเป็นสงครามแบบจิตวิทยาโดยแท้
พ.ศ. ๒๓๑๘-๒๓๑๙
คราวอะแซหวุ่นกี้ตีหัวเมืองเหนือนี่ละครับที่เป็นสงครามครั้งสำคัญที่สุด
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงตั้งทัพหลวงอยู่ที่ ปากพิง นครสวรรค์
คอยสนับสนุนส่งกำลังบำรุง โดยมี เจ้าพระยาจักรี(ทองด้วง) เป็นแม่ทัพหน้า และ เจ้าพระยาสุรสีห์พิษณุวาธิราช(บุญมา)เจ้า
เมืองพิษณุโลก ช่วยกันบัญชาการรบ
ดำเนินแผนทางยุทธศาสตร์ให้พม่าขาดแคลนเสบียง เข้ามาติดกับในเมืองพิษณุโลก
และต้องแยกกำลังออกเป็นส่วนย่อย จนถูกกองทัพไทยล้อมทำลาย
กองทัพพม่าพ่ายแพ้ทางยุทธศาสตร์ต้องสูญเสียอย่างหนัก
พอดีกับพระมหากษัตริย์พม่าสวรรคต
อะแซหวุ่นกี้ต้องนำทัพพม่าที่ยังคุมกันได้ถอยกลับไปรักษาสถานการณ์ที่อังวะ
ระหว่างทางถูกทัพไทยไล่ตีติดตามจนล้มตายบ้าง ถูก
จับเป็นเชลยบ้าง สูญเสียไพร่พล สรรพาวุธยุทโธปกรณ์เหลือคณานับ
จนพงศาวดารพม่าต้องบันทึกไว้ว่าอะแซหวุ่นกี้ หรือ มหาสีหสุระ
ยกทัพมาครั้งนี้ พ่ายแพ้อย่างยับเยิน
ศึกอะแซหวุ่นกี้คราวนี้แหละครับที่พิสูจน์ว่า
เจ้าพระยาจักรีท่านเป็นจ้าวยุทธศาสตร์ตัวจริง
(ถ้าสนใจเหตุการณ์ตอนนี้โดยละเอียด พร้อมการวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์ ผมแนะนำหนังสือ “ยุทธศาสตร์สงคราม ไทย-พม่า กรณีศึกอะแซหวุ่นกี้ พ.ศ.๒๓๑๙” ของ คุณ บดินทร์ กินาวงศ์ ครับ เป็นหนังสือน่าสนใจอีกเล่มหนึ่งที่มีมุมมองทางยุทธศาสตร์ดีมากๆ)
พ.ศ. ๒๓๑๙
เจ้าพระยาจักรี(ทองด้วง)เป็นแม่ทัพยกไปปราบเจ้าเมืองนางรอง แล้ว
ออกไปปราบเมืองจำปาสักและยังตีได้เมืองอัตตะปือด้วย
ต่อจากนั้นยังออกเกลี้ยกล่อมเมืองเขมรป่าดง
ซึ่งอยู่ระหว่างจำปาสักกับนครราชสีมาเป็นพวกได้อีก ๓ เมือง คือ สุรินทร์
สังขะ ขุขันธ์ ทั้ง ๓ เมืองยอมเข้าเป็นเขตเมืองไทย
เสร็จศึกครั้งนี้ พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงพอพระทัยในผลงานมาก โปรดเกล้าฯให้เลื่อน เจ้าพระยาจักรี เป็น “สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกฯ” มี
เครื่องยศอย่างเจ้าต่างกรม ทั้งที่ไม่เคยมีตำแหน่งนี้มาก่อน
แต่ด้วยความดีความชอบที่มีมาก
พระเจ้ากรุงธนบุรีจึงทรงสถาปนายศฐาบรรดาศักดิ์ใหม่
เพื่อขุนศึกคู่พระทัยของพระองค์ ทั้งยังสถาปนาให้เป็น “เจ้าต่างกรม” มีฐานันดรเสมอกับเชื้อพระวงศ์พระองค์หนึ่ง
ถูก
ต้อง อย่างที่นายนทีว่าไว้ครับ ตำแหน่งนี้ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์
แต่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเป็นผู้โปรดเกล้าฯตั้งขึ้นเพื่อพระราชทานแก่ “นายทองด้วง” ผู้มีความดีความชอบอย่างยิ่ง ได้รับความไว้วางพระทัยให้ทำงานใหญ่มาตลอด อย่างที่ขุนศึกอีกหลายคนที่ “นที-อริน”กล่าวอ้าง ไม่เคยได้รับความไว้วางพระทัยเช่นนี้ และ “นายทองด้วง” ก็ไม่เคยทำให้พระเจ้ากรุงธนบุรีผิดหวัง
“…แต่
เอาแน่ๆครับว่าช่วงระหว่างกอบกู้เอกราช
เจ็ดเดือนนี่ไม่มีชื่อนายทองด้วงร่วมรบอยู่ด้วยเลยแม้แต่ครั้งเดียว
อันนี้ประวัติศาสตร์ชัดเจนมาก..”
นายนทีกล่าวถูกต้องอีกครับ “ไม่มีชื่อนายทองด้วงร่วมรบอยู่ด้วยเลยแม้แต่ครั้งเดียว” ตลอด
เวลาเจ็ดเดือนนับแต่เสียกรุง คือตั้งแต่เดือนเมษายน ๒๓๑๐ ถึง พฤศจิกายน
๒๓๑๐ ท่านยังเป็นยกบัตรเมืองราชบุรีอยู่ครับ
ราชบุรีนั้นเป็นทางผ่านของทัพพม่า จะทิ้งหน้าที่ทิ้งประชาชนมาก็ยังไงอยู่
นะครับ อีกอย่างหนึ่งขณะนั้นยังไม่มีใครรู้หรอกครับว่า วัน ว.
คือวันลงมือปฏิบัติการของพระยาวชิรปราการเป็นวันไหน เมื่อไหร่
แต่ก็ได้สนับสนุนให้น้องชายของท่าน เข้าร่วมกับทัพพระยาวชิรปราการ
พร้อมกับฝากแหวนของท่านมากับน้องชายเพื่อยืนยันว่าท่านเอาด้วยกับภารกิจนี้
และเมื่อได้ทราบข่าวว่าทัพพระยาวชิรปราการลงมือปฏิบัติการ
และปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระเจ้ากรุงธนบุรี
ท่านยกบัตรเมืองราชบุรีก็ลงเรือเดินทางมาเข้าเฝ้าทันที
และได้เข้าร่วมศึกกู้ชาติบ้านเมืองกันนับแต่บัดนั้น
แต่
การกอบกู้เอกราชไม่ได้ยุติลงแค่เจ็ดเดือนแรกนี่ครับ
นั่นมันแค่ขับไล่ข้าศึกออกไปจากดินแดนเท่านั้น
แต่เรายังต้องรบราปราบปรามชุมนุมต่างๆอีกหลายชุมนุม
กว่าจะสถาปนาความเป็นปึกแผ่นเอกภาพขึ้นมาได้
นอก
จากนี้ ทัพพม่าก็ไม่ได้ยุติการรุกรานนะครับ
ยังยกทัพใหญ่น้อยเข้ามาเกือบทุกปี หลากหลายเส้นทาง ตั้งแต่เหนือจรดใต้
ย้อนกลับไปอ่านข้างต้นนี้ก็ได้ครับ แต่นี่เฉพาะที่เกี่ยวข้องกับ “นายทองด้วง” ที่ทรงเป็นแม่ทัพเท่านั้นนะครับ ครั้งที่ “นายบุญมา” น้องชายของพระองค์เป็นแม่ทัพตีพม่าแตกไปยังมีอีกหลายครั้งทีเดียว
ฟุตบอล
ชนะแล้วบอกว่าผู้รักษาประตูไม่มีส่วนร่วมในทีม
เพราะไม่เคยยิงประตูนี่มันยังไงๆอยู่นะครับ
ตอนที่เปลี่ยนตำแหน่งมาเล่นเป็นศูนย์หน้า ยิงระเบิดเถิดเทิง
ทำแฮตทริกตั้งหลายครั้งทำไมไม่เอามาพูดถึงกันบ้าง ยุติธรรมหน่อยสิครับ
“…นาย
ทองด้วงตอนนั้นกินตำแหน่งหลวงยกบัตร ที่..ที่ไหนนะครับพี่..ราชบุรี
อำเภอยกบัตรนะครับ เป็นแค่อำเภอ
เป็นแค่เหมือนกับนายอำเภอสมัยนี่นะครับอยู่ที่ราชบุรี…”
นั่ง
ฟังมาถึงตอนนี้ก็สงสัยเต็มทีครับว่า
ท่านผู้อภิปรายคิดยังไงถึงกล้าขึ้นไปนั่งแสดงความไม่รู้ให้คนอื่นฟัง
หรือคิดว่าคนฟังนี่โง่ หลอกง่าย พูดยังไงก็เชื่อ
ถ้ายังงั้นก็ดูถูกคนฟังเกินไปครับ นายนทีไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่า “นายทองด้วง” รับ
ราชการอยู่ที่ไหน ต้องหันไปถามผู้ร่วมอภิปรายที่นั่งอยู่ข้างๆ
แต่ก็ยังแสดงความไม่รู้ต่อไปอีก โดยเข้าใจว่า ยกบัตรนี่เป็นชื่อของอำเภอ
อำเภอยกบัตรน่ะมีเสียที่ไหนกันครับ นายนทีมั่วจนเลอะเทอะไปหมด เอาเถอะ
อย่างน้อยสมัยนั้นก็ยังไม่มีอำเภอแน่ๆ การจัดการปกครองเป็นรูปอำเภอนั้น
เพิ่งมามีเอาในสมัยรัชกาลที่ ๕ ครับ
แล้วโปรดทราบด้วยครับว่าจะเทียบตำแหน่งยกบัตรว่าเหมือนกับนายอำเภอสมัยนี้
นั้นไม่ได้ เพราะ
ยกบัตรนั้นเป็นตำแหน่งเจ้าพนักงานที่ทำหน้าที่กำกับดูแลเกี่ยวกับอรรถคดี
ด้านพระอัยการ ด้านกฎหมาย ถ้าจะเปรียบให้ได้ละก็
เป็นอัยการจังหวัดราชบุรีดูจะใกล้เคียงกว่าครับ
“..หลัง
จากปราบดาภิเษกขึ้นมาแล้วระยะหนึ่งสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีถึงเรียกสองคนพี่
น้องนะครับ ตอนนั้นมี ผมไม่แน่ใจ ชื่อพระมหามนตรีหรือเปล่า หรือนายสุดจินดา
หรือนายบุญมา ที่เป็นน้องร่วมสาบานของนายทองด้วงอีกทีหนึ่ง ซึ่งต่อมา
มาเป็นวังหน้าในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นะครับ ถึงเรียกสองคนนี้เข้ามา..”
ตอนนี้นายนทียิ่งแสดงให้เห็นว่ารู้ไม่จริงยิ่งขึ้น เอ๊ะ! หรือที่จริงรู้ แต่พยายามบิดเบือนกันแน่ “นายบุญมา”น่ะ น้องแท้ๆของ “นายทองด้วง” นะ
ครับ ไม่ใช่น้องร่วมสาบาน ถ้ารู้ไม่จริงก็แล้วไป ถือว่าโง่อวดฉลาด
แต่ถ้ารู้แล้วแกล้งบิดเบือน
ผมก็ต้องกล่าวหาว่านายนทีต้องการลดบทบาทความสำคัญของสมาชิกพระราชวงศ์จักรี
คนหนึ่ง โดยพยายามบอกกับผู้ฟังว่า “นายบุญมา” เป็นเพียงน้องร่วมสาบานเท่านั้น ตกลงโง่จริงหรือแกล้งโง่ครับจะได้เรียกถูก
สำหรับชื่อของท่าน ซึ่งนายนทีสารภาพว่าไม่แน่ใจนั้น(โง่แล้วยอมรับยังพออภัยครับ) ชื่อตัวท่านชื่อ “บุญมา” ครับ ท่านเข้ารับราชการเป็นมหาดเล็ก มีตำแหน่งเป็น “นายสุดจินดา” ที่
เรียกว่านายสุดจินดานี่เป็นชื่อตำแหน่งหนึ่งของมหาดเล็กนะครับ ไม่ใช่ชื่อคน
มหาดเล็กในตำแหน่งนี้ต้องรับใช้ใกล้ชิดพระมหากษัตริย์ขณะที่เสด็จออกฝ่ายนอก
ซึ่งยุคนั้นก็คือ พระเจ้าเอกทัศน์นั่นแหละครับ
ต้องเป็นคนที่ได้รับความไว้วางพระทัยอย่างยิ่งเท่านั้นจึงจะรับหน้าที่นี้
ได้
ตำแหน่ง
มหาดเล็กมี๑๒ตำแหน่ง มีหน้าที่แตกต่างกัน พูดอย่างปัจจุบันก็แบ่งออกเป็น ๔
ทีม มีหัวหน้าเป็นหลวงนายเวรรับผิดชอบ
ผลัดเปลี่ยนเวรกันทำหน้าที่ตลอด๒๔ชั่วโมงครับ คงไม่ลงลึกในรายละเอียดละครับ
เอาแค่ทราบว่ามหาดเล็กที่ว่า มีชื่อเรียกตำแหน่งต่างๆดังนี้
๑)นายสนิท ๒)นายเสน่ห์ ๓)นายเล่ห์อาวุธ
๔)นายสุดจินดา ๕)นายพลพ่าย (มาถึงร.๖ ทรงเปลี่ยนเป็นนายพลพ่าห์) ๖)นายพลพัน
๗)นายชัยขรรค์ ๘)นายสรรค์วิชัย ๙)นายพินัยราชกิจ
๑๐)นายพินิจราชการ ๑๑)นายพิจิตร์สรรพการ ๑๒)นายพิจารณ์สรรพกิจ
(ที่มา http://www.vcharkarn.com/varticle/168)
สรุปว่า นายสุดจินดา นั้นเป็นชื่อตำแหน่งครับ
ท่าน
บุญมานั้น ไม่ได้ไปร่วมกับพระยาวชิรปราการตั้งแต่แรกเมื่อตีฝ่าวงล้อมพม่า
เพราะตอนนั้นท่านยังอยู่ในกรุงศรีอยุธยาครับ
เป็นมหาดเล็กของพระเจ้าแผ่นดินอยู่จะละทิ้งไปได้อย่างไร
ต่อเมื่อเสียกรุงแล้วท่านจึงหลบหลีกทัพพม่าออกมาจากกรุงได้
ตามหาพี่ชายจนเจอ แล้วจึงไปสมทบกับพระยาวชิรปราการที่จันทบุรี
ตอน
ยกทัพกันมาจากจันทบุรีน่ะ ท่านบุญมาก็มาด้วยนะครับ
ตอนเข้าตีค่ายนายทองอินที่ธนบุรีท่านก็เข้าตีด้วย
ไปรบพม่าที่โพธิ์สามต้นท่านก็รบด้วย
ร่วมรบกันมากับพระเจ้ากรุงธนบุรีมาตั้งแต่แรก
ยกเว้นตอนตีฝ่าพม่าออกจากวัดพิชัยมาเท่านั้น
อย่างนี้จะเรียกว่าท่านก็มีส่วนร่วมในการ “กอบกู้เอกราช” ด้วย
ไหมครับ หรือว่าไม่อยากเอ่ยถึงเพราะท่านเป็นสมาชิกพระราชวงศ์จักรี
นายนทีจึงพยายามบอกผู้ฟังว่าเป็นแค่น้องร่วมสาบาน รู้ไม่จริง หรือ
บิดเบือนครับ ตอบหน่อย
ดังนั้น ที่นายนทีบอกว่า หลังจากปราบดาภิเษกขึ้นมาแล้วระยะหนึ่งสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีถึงเรียกสองคนพี่น้องนี้เข้ามา น่ะ ผิดนะครับ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีไม่ได้“เรียกสองคนนี้เข้ามา”ครับ ถ้าเป็นเพลงลูกทุ่งก็ต้องร้องว่า “เปล่าชวนนะ เขามาเอง” เพราะ
ทั้งสองท่านตั้งใจเข้าร่วมกับสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
และเดินทางไปพบด้วยตนเอง โดยน้องชายเข้าร่วมตั้งแต่ที่จันทบุรี
ส่วนพี่ชายนั้น มาทีหลังเมื่อรบพม่าโพธิ์สามต้นแล้ว ถึงถ้าจะมีการชวนก็เป็น “น้องชาย” เป็นผู้ชวน “พี่ชาย” มากกว่าครับ
“….คำ
ถามที่จะต้องถามต่อมา ที่จะต้องให้พี่อรินเล่า
อาจจะช่วยกันแลกเปลี่ยนกันไปด้วยนะครับว่าในช่วงเจ็ดเดือนของการต่อสู้เพื่อ
กอบกู้เอกราชนั้นนักรบตัวจริงห้าขุนพล ห้าทหารเอกของพระยาตากเป็นใครบ้าง
แล้วบทสรุปของห้าทหารเอกของพระยาตาก ใครเป็นอะไรอยู่ที่ไหน
แล้วอยู่ๆสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกมาจากไหนถึงได้มา
ผมขออนุญาตใช้คำแรง “ชุบมือเปิบ” แล้วบอกว่าเป็นคนร่วมกอบกู้เอกราชด้วย ทั้งๆที่ไม่เคยร่วมรบกับพม่าเลยแม้แต่ครั้งเดียวนะครับนับตั้งแต่กอบกู้เอกราช..”
มา
ถึงตรงนี้ก็คงชัดเจนแล้วว่า สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกมาจากไหน
ใครเป็นผู้ตั้งตำแหน่งนี้ ตั้งให้ใคร เพราะเหตุใด
หากไม่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์และยอมรับแล้ว
ท่านคิดหรือว่าสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจะทรงยกย่องใครถึงขนาดเป็น “สมเด็จ” ซึ่งเทียบเท่าเป็นเชื้อพระวงศ์ด้วยผู้หนึ่ง
การ
กอบกู้เอกราชไม่ได้หมายความแค่ไล่พม่าออกไปจากแผ่นดินเท่านั้นครับ
การเป็นเอกราชหมายถึง
การที่สามารถสถาปนาอำนาจรัฐให้ครอบคลุมไปทั่วทั้งพระราชอาณาจักร
มีความมั่นคงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ได้รับการยอมรับจากนานาประเทศอีกด้วย ดังนั้น ตลอด๗เดือนที่ “นที-อริน” พูดถึง จึงเป็นเพียงแค่การเตรียมการและการขับไล่ข้าศึกสตรูออกไปจากแผ่นดินเท่านั้น การกอบกู้เอกราชจริงๆเกิดขึ้นหลังจากนั้นต่างหาก
ขับ
ไล่ข้าศึกน่ะไม่ยากเท่าไหร่ครับ เพราะถึงตอนนั้นกำลังพม่ากลับไปมากแล้ว
เหลือคุมพื้นที่อยู่เล็กน้อย
เพื่อขุดค้นทรัพย์สินและรวบรวมผู้คนที่ยังหลงเหลืออยู่จับเป็นเชลยเท่านั้น
เมื่อเรารวบรวมกำลังได้มากพอ การโจมตีค่ายพม่าเหล่านี้จึงสำเร็จโดยง่าย
แต่
ที่ยากยิ่งกว่าหลายเท่าคือการกอบกู้เอกราชครับ
เอกราชคือการมีพระราชาพระองค์เดียวผู้เป็นใหญ่เหนือเอกรัฐคือรัฐที่เป็นอัน
หนึ่งอันเดียวกัน ในขณะบ้านเมืองแตกเป็นเสี่ยงๆ งานนี้ยากยิ่งกว่าหลายเท่า
กว่าจะสร้างอำนาจรัฐขึ้นมาใหม่ให้เป็นที่ยอมรับ กว่า
ชุมนุมต่างๆจะยอมรับสถานะ
การเป็นพระเจ้าแผ่นดินของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีนั้นยากเย็นแสนเข็ญ
สูญเสียเลือดเนื้อกันไปไม่รู้เท่าไหร่
เจ็ด
เดือนก่อนสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์นั้น
สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกยังไม่ได้เข้าร่วมมีส่วนครับ
แต่อีกสิบห้าปีต่อจากนั้น ในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกรบมาหนักหนาแล้วครับ
และถ้าจะว่าไปแล้ว ตั้งแต่
พ.ศ.๒๓๑๙ คือเสร็จศึกอะแซหวุ่นกี้ตีหัวเมืองฝ่ายเหนือเป็นต้นมา
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีก็มิได้เสด็จออกนำทัพเองอีกเลย
การศึกสงครามนับแต่นี้ไปจะมีแต่สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกและ/หรือ“น้องชาย” เท่านั้นที่เป็นแม่ทัพบัญชาการรบ
นั่นคือ ในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงรบอยู่ ๙ ปีครับ โดยมี “นายทองดี” กับ “นายบุญมา” ได้
รับความไว้วางพระทัยให้เป็นแม่ทัพหน้า หลังจากนั้นอีก๖ปี
พระองค์ไม่ได้เสด็จไปในสนามรบแล้วครับ
สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกและ/หรือ“น้องชาย” เท่านั้น ที่รบมาตลอด
แบบนี้ยังจะกล่าวหาว่าพระองค์ไม่ได้มีส่วนในการรบเพื่อกู้เอกราชอีกหรือ “นที-อริน”
สมเด็จ
เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกท่านไม่เคยบอกว่าเป็นคนร่วมกอบกู้เอกราชด้วยหรอก
ครับ เพราะคงไม่มีความจำเป็นต้องบอก ด้วยผู้คนสมัยนั้นคงจะรู้กันอยู่
จะมีคนสมัยนี้แหละครับที่ถูกบิดเบือนข้อเท็จจริงจนทำให้ไขว้เขวเกิดความ
สงสัยกันขึ้น
กล่าวหาว่าสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกท่าน “ชุบมือเปิบ” ไปได้ยังไง
รู้ไม่จริง หรือบิดเบือน กันแน่ครับ
Chaoprayanews สำนักข่าวเจ้าพระยา