น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก
"รัฐตำรวจ" รีเทิร์น จาก "ทักษิณ" ถึง "ยิ่งลักษณ์" โคลนนิ่งยุทธศาสตร์ บู๊-บุ๋น ดึงผองเพื่อนสีกากี ร่วมสังฆกรรมนโยบายรัฐ-สนองกลุ่มการเมือง
ในวันที่ “รัฐตำรวจ”เรืองอำนาจ(ตอนจบ)

ในรัฐบาลของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย ผู้ซึ่งเป็นน้องสาวแท้ๆของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แน่นอนว่า การดำเนินงานทั้งด้านกิจการภายในกองทัพและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำเป็นต้องมีคนช่วยเหลือดูแล เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินไม่สะดุดหยุดลงเพียงเพราะขาด “คีย์แมน”สำคัญ

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

หนึ่งเดียวในการสถาปนารัฐตำรวจให้เฟื่องฟูคงหนีไม่พ้น “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” อดีตนายตำรวจผู้คลุกคลีตีโมงกับระบบทักษิณ มาอย่างยาวนาน ด้วยความจงรักภักดีที่มีต่อพ.ต.ท.ทักษิณ ทำให้ ร.ต.อ.เฉลิม ได้รับตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลชุดนี้ ในตำแหน่ง “รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง” ผู้กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติและกระทรวงยุติธรรมรวมไปถึง นโยบายการปราบปรามยาเสพติด  โดย ร.ต.อ.เฉลิม เป็นประธานก.ตร.โดยตำแหน่ง ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้


  ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ


  1. ร.ต.อ.เฉลิม     อยูบํารุง รองนายกรัฐมนตรี ประธาน
  2.  พล.ต.อ.วิเชียร  พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. (ขณะนั้น)กรรมการ 
  3.  นายนนทิกร  กาญจนะจิตรา เลขาธิการ ก.พ.   กรรมการ
  4. พล.ต.อ.เพรียวพันธ์  ดามาพงศ์ รอง ผบ.ตร.(กศ) กรรมการ
  5. พล.ต.อ.ปานศิริ  ประภาวัต รอง ผบ.ตร.(ปป 1) กรรมการ
  6. พล.ต.อ.ชลอ  ชูวงษ์   รอง ผบ.ตร.(บร 1) กรรมการ
  7. พล.ต.อ.วัชรพล  ประสารราชกิจ รอง ผบ.ตร.(ปป 2) กรรมการ
  8. พล.ต.อ.วุฒิ  พัวเวส   รอง ผบ.ตร.(มค 1) กรรมการ
  9. พล.ต.อ.ภาณุพงศ์  สิงหรา ณ อยุธยา รอง ผบ.ตร.(ปป 3) กรรมการ
  10. พล.ต.อ.อดุลย์  แสงสิงแก้ว   รอง ผบ.ตร.(ปป 4) กรรมการ
  11. พล.ต.อ.สถาพร  หลาวทอง  จตช. กรรมการ 

จุดเริ่มต้นในการล้างบางขั้วอำนาจเก่าสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์และพรรค ภูมิใจไทย ทำให้ร.ต.อ.เฉลิม สั่งให้ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. เข้าตรวจสอบ ภายหลังที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรครักประเทศไทย ออกมาแฉกลางสภาว่ามีบ่อนกลางกรุง  ทำให้ พล.ต.อ.วิเชียร ต้องลาออกจากตำแหน่งผบ.ตร. และเข้ารับตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) แทนนายถวิล เปลี่ยนสี ที่ถูกคำสั่งให้ไปปฏิบัติราชการประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  เพื่อเป็นการเปิดทางให้  พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ดำรงตำแหน่งผบ.ตร. ก่อนเกษียณราชการในปี 2555


นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรครักประเทศไทย

พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ รองผบ.ตร. เป็นพี่ชายของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร  อดีตภริยาพ.ต.ท.ทักษิณ  เดิมทีถูกคำสั่งคปค.ที่ 11/2549 ลงวันที่ 21 ก.ย. 2549 ให้มาปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรี และถูกดองแช่เข็งในตำแหน่งรองผบ.ตร.เป็นต้นมาจนกระทั่งในสมัยรัฐบาลพรรค เพื่อไทยกลับมาเรืองอำนาจอีกครั้ง  หากย้อนดูเส้นทางชีวิตราชการของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ จะพบว่า ก้าวหน้าทางราชการอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะในปี 2545  ได้รับตำแหน่งผู้ช่วยผบ.ตร.  และต่อมาเพียงปีกว่า ขึ้นเป็นรองผบ.ตร. จ่อคิวดำรงตำแหน่งสูงสุดของสตช.

     พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี อดีตผบ.ตร.



เป็นที่แน่นอนว่าย่อมมีการล้างบางนายตำรวจที่ไม่ใช่พรรค-ไม่ใช่พวกออกจาก สารระบบอย่างแน่นอน โดยเฉพาะคนสนิทของนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามกับพ.ต.ท.ทักษิณ  อาทิ  พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบช.น. คนสนิทนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ และนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย ที่จะก้าวสู่ตำแหน่งผช.ผบ.ตร. รวมไปถึงตำแหน่ง ผบช.ภ.1 ที่พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง อาจจะหลุดมือให้กับพล.ต.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง
ขณะที่ตำแหน่ง ผบช.ภ.2 พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศัตรู สามีของนางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่จะเลื่อนขึ้นเป็นผช.ผบ.ตร. ก็คงต้องยอมเสียเก้าอี้ดังกล่าวไป  นอกจากนี้ตำแหน่งผบช.ภ.5  และ 7 ที่มีคนสนิทของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ดำรงตำแหน่งดังกล่าวก็คงจะหลุดมือไปด้วย
ทั้งนี้แน่นอนแล้วว่า พล.ต.ชัยยะ คนสนิทของนายยงยุทธ ติยะไพรัช ที่เคยโด่งดังจากปฏิบัติการยุทธตู้เย็น จะกลับมาผงาดอีกครั้ง ซึ่งลักษณะการแบ่งสรรเก้าอี้ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติแบ่งได้ดังนี้
  1. แบ่งสรรให้กลุ่มอาวุโส 33% ไป 4 เก้าอี้
  2. คัดเลือกตามความเหมาะสมอีก  7 เก้าอี้
  3. มีการล๊อกเก้าอี้ไว้สำหรับโควตาเรียบร้อยแล้ว 5 เก้าอี้
จากการตรวจสอบพบว่า  พล.ต.ต.คำรณวิทย์ สายตรง พ.ต.ท.ทักษิณ,  พล.ต.ต.หาญพล นิตย์วิบูลย์ รอง ผบช.ก. มือขวา พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ , พล.ต.ต.ชัยวัฒน์ โชติมา รอง ผบช.ปส. มือทำงานของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์  อย่างไรก็ตามนอกจากรายชื่อบุคคลเหล่านี้  ยังมีชื่อของ พล.ต.ต.วินัย ทองสอง รอง ผบช.ก. หลานเขย พ.ต.ท.ทักษิณ และ พล.ต.ต.โกสินทร์ หินเธาว์ รอง ผบช.ภ.9 โดย 2 รายหลังเคยเป็นผู้บังคับการกองปราบปรามยุค พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกฯ
ส่วนที่น่าจับตาเป็นพิเศษคือ พล.ต.ต.ภาณุ เกิดลาภผล รอง ผบช.น. อาวุโสอันดับ 1 ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เนื่องจากได้รับการติดยศนายพลครั้งแรกในสมัยพ.ต.ท.ทักษิณ และถูกวางมือให้อยู่ในสายบุ๋นที่พ.ต.ท.ทักษิณ ไว้วางใจ จึงเป็นอีกคนที่คาดว่าจะได้รับตำแหน่งสำคัญในสตช.
นอกจากกระบวนการแต่งตั้งโยกย้ายที่น่าจับตาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้ว อีกหนึ่งกระทรวงที่ได้รับความสนใจในสังคมขณะนี้คือ กระทรวงยุติธรรม  หนึ่งในกุญแจสำคัญที่หลายฝ่ายมองว่าเป็นหนทางในการนำพ.ต.ท.ทักษิณ กลับบ้านได้  จากมติครม.เมื่อวันที่ 13 ก.ย.54 ที่ผ่านมามีการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการในกระทรวงยุติธรรม ล๊อตใหญ่ โดยผู้เสนอวาระเข้าสู่การประชุมครม. คือ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม  โดยครม.มีมติดังนี้

การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงยุติธรรม)

                   คณะรัฐมนตรีอนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง กระทรวงยุติธรรม จำนวน 7 ราย ดังนี้
1. นายชาติชาย  สุทธิกลม อธิบดี (บริหารสูง) กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม ให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง (บริหารสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงยุติธรรม
2. นางสุวณา  สุวรรณจูฑะ อธิบดี (บริหารสูง) กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง (บริหารสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงยุติธรรม
3. นายพิทยา จินาวัฒน์  รองปลัดกระทรวง (บริหารสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงยุติธรรม ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี (บริหารสูง) กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม
4.นางสุรีย์ประภา  ตรัยเวช เลขาธิการ (บริหารสูง) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ป.ป.ส.) กระทรวงยุติธรรม ให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง (บริหารสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงยุติธรรม
5.พ.ต.อ. สุชาติ  วงศ์อนันต์ชัย ผู้ตรวจราชการกระทรวง (บริหารสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี (บริหารสูง) กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม
6.พ.ต.อ.ดุษฎี  อารยวุฒิ ผู้ตรวจราชการกระทรวง (บริหารสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงยุติธรรม  ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ (บริหารสูง) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.)กระทรวงยุติธรรม
7.นายอำพล  วงศ์ศิริ เลขาธิการ (บริหารสูง) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ กระทรวงยุติธรรม ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (บริหารสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงยุติธรรม
                   ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป
ทันทีที่มติครม.ออกมา ทำให้ประเด็นดังกล่าวถูกจับจ้องมากในสังคมคือ การโยกย้ายนายชาติชาย สุทธิกลม อธิบดีกรมราชทัณฑ์ไปเป็นรองปลัดกระทรวงยุติธรรม และให้ พ.ต.อ. สุชาติ  วงศ์อนันต์ชัย ผู้ตรวจราชการกระทรวงไอซีทีมาดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมราชทัณฑ์นั้น

เป็นที่รู้กันว่า พ.ต.อ.สุชาติ เป็นรุ่นน้องนรต.รุ่น 37 ของพ.ต.ท.ทักษิณ  และเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รองปลัดกระทรวงยุติธรรมซึ่งเคยดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยมีพ.ต.อ.สุชาติเป็นรองอธิบดีในขณะนั้น   หลังพ.ต.ท.ทักษิณ ถูกยึดอำนาจ ขณะที่พ.ต.อ.สุชาติ ถูกย้ายไปประจำสำนักกิจการยุติธรรม ขณะที่พ.ต.อ.ทวี ถูกย้ายไปดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงยุติธรรม สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ  ซึ่งพ.ต.อ.สุชาติ ได้ขอย้ายไปเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงไอซีที  โดยมีกระแสข่าวว่า พ.ต.อ.สุชาติ เข้าไปเกี่ยวข้องกับแกนนำคนเสื้อแดง และมีส่วนในคดีฟ้องยุบพรรคประชาธิปัตย์ คดีไซฟอนเงิน โดยการให้ปากคำต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในฐานะรองอธิบดีดีเอสไอ(ขณะนั้น)

ทั้งนี้ มีการตั้งข้อสังเกตว่าการให้พ.ต.อ.สุชาติ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมราชทัณฑ์ครั้งนี้ เป็นการมอบหมายหน้าที่รับผิดชอบในการทำความเห็นประกอบฎีกาขอพระราช ทานอภัยโทษให้กับพ.ต.ท.ทักษิณ โดยเฉพาะ อย่างไรก็ตามเส้นทางราชการของพ.ต.อ.สุชาติเป็นที่น่าจับตาอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นอดีตนายเวรของพล.ต.อ.สมบัติ อมรวิวัฒน์ อดีตอธิบดีดีเอสไอ  น้องชายนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์  อดีตรมว.ยุติธรรมสมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช-นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์
น่าจับตาอย่างยิ่งเมื่อ พ.ต.อ.สุชาติ ได้ขอลาออกมาเป็นข้าราชการพลเรือนโดยได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการสำนักงาน คดีอาญาพิเศษ  อีกทั้งยังมีความสนิทสนมกับ ร.ต.อ.เฉลิม เป็นอย่างมาก โดยคอยให้ความช่วยเหลือด้านข้อมูลในการอภิปรายไม่ไว้วางใจกรณีพรรคประชา ธิปัตย์ไซฟอนเงิน รวมไปถึงผลงานในการทำคดีพิเศษเกี่ยวกับพรรคประชาธิปัตย์หลายต่อหลายคดี เช่น คดีเงินบริจาคของบริษัททีพีไอ ซึ่งต่อมาขยายผลสู่คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ (ศาลได้ตัดสินไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์) , คดีทุจริตจัดซื้อเรือและรถดับเพลิงของกทม.จนนำไปสู่การชี้มูลความผิดของนาย อภิรักษ์ โกษะโยธิน ,รื้อฟื้นคดีอุ้มฆ่านักธุรกิจชาวซาอุฯ จนอัยการมีคำสั่งฟ้องพล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม อดีตผบช.ภ.5

นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นของรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ เท่านั้นภายหลังจากได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง และแถลงนโยบายต่อรัฐบาล ที่ได้ดำเนินการสร้างอาณาจักรแห่ง “รัฐตำรวจ” ให้เรืองอำนาจเฉกเช่นในอดีตที่เคยมีมา และดูเหมือนว่า นโยบายเร่งด่วนที่ได้แถลงต่อรัฐสภานั้นไม่มีนโยบายเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย  แต่การดำเนินการในเรื่องดังกล่าวนี้เป็นแจ่มชัดแล้วว่า “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ”  เป็นเรื่องจริง ทำจริง !แจ่มแจ้งแดงแจ๋ที่สุด!



ศูนย์ข้อมูลและข่าวสืบสวนเพื่อสิทธิพลเมือง