รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับ 2550 ประกาศบังคับใช้ในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2550 อาจถือได้ว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ให้ความสำคัญกับ “สิทธิชุมชน” และ “สิทธิสิ่งแวดล้อม” ไว้เด่นชัดเป็นรูปธรรมที่สุด โดยเฉพาะในบทบัญญัติมาตรา 66 และ 67 ที่เจตนารมณ์ของกฎหมายในมาตราดังกล่าวสามารถบังคับใช้ได้ทันทีที่รัฐธรรมนูญ ประกาศบังคับใช้ในราชกิจจานุเบกษา
สิทธิดังกล่าวแม้จะไม่ใช่เรื่องใหม่เพราะใน
รัฐธรรมนูญ ฉบับ 2540 ก็ได้เคยบัญญัติไว้บางส่วนแล้วในมาตรา 46 และมาตรา 56
แต่ทว่าในฉบับปี 2540 มิได้สามารถนำมาบังคับใช้ได้ทันที
ต้องรอให้มีการออกกฎหมายลูกขึ้นมารองรับเจตนารมณ์ของกฎหมายดังกล่าวเสียก่อน
เพราะในตอนท้ายของกฎหมายกลับเขียนไว้ว่า “ทั้งนี้ตามที่กฎหมายบัญญัติ”
เพราะในภาษากฎหมายเป็นที่รู้กันว่า
ถ้ายังไม่มีกฎหมายลูกเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญมาตราดังกล่าวก็ไม่สามารถนำมา
บังคับใช้ได้
เรื่องดังกล่าวจึงเข้าล็อคของเหล่านักการ
เมือง
ผู้ประกอบการนายทุนและข้าราชการบางส่วนที่ไม่ต้องการให้รัฐธรรมนูญมาตราดัง
กล่าวมีผลบังคับใช้
ดังนั้นเราจึงเห็นเป็นรูปธรรมเด่นชัดว่าตลอดระยะเวลาเกือบ 9 ปี
ตั้งแต่วันที่รัฐธรรมนูญฉบับ 2540 ประกาศใช้ 11 ตุลาคม 2540
จนถึงวันที่รัฐธรรมนูญถูกยกเลิก 19 กันยายน 2549
การผลักดันให้มีกฎหมายลูกเพื่ออนุวัตรให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของมาตรา 46 และ
56 จึงไม่สามารถบังเกิดขึ้นได้
แต่หลังจากที่เรามีรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550
ขึ้นมาและประกาศใช้เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2550 ความพยายามที่จะขัดขวาง
หรือต่อต้าน หรือไม่เห็นชอบให้มีการอนุวัตรกฎหมายลูกให้ออกมาบังคับใช้
ยังคงถูกต่อต้านตลอดเวลาจากพวกนักการเมือง ผู้ประกอบการนายทุน
และข้าราชการบางส่วนที่เกี่ยวข้อง แม้จะได้มีการเสนอ กระตุ้น ร้องเรียน
ต่าง ๆ นานาจากภาคประชาสังคมมากมายเพียงใดก็ตาม
จนในที่สุดระยะเวลาผ่านไปเกือบ 2
ปีความกระตือรือร้นที่จะผลักดันกฎหมายดังกล่าวให้นำเข้าสภาให้เห็นชอบแล้วนำ
ออกมาประกาศบังคับใช้ก็ไม่เป็นผล
ในที่สุดสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนและชาวบ้านมาบตาพุด
เริ่มจับเล่ห์ฉลของเหล่านักการเมือง นายทุน และข้าราชการที่เกี่ยวข้องได้
จึงได้ใช้มาตรการทางกฎหมาย
ขึ้นมาใช้ทันทีโดยฟ้องหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง 8
หน่วยงานต่อศาลปกครองกลาง เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2552
ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ดำเนินการให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา
67 วรรคสอง
ต่อมาไม่นานวันที่ 29 กันยายน 2552
ศาลปกครองกลางได้มีคำสั่งให้การคุ้มครองชั่วคราวสิทธิชุมชนของชาวบ้านใน
พื้นที่มาบตาพุดและบ้านฉาง ตามคำฟ้องโดยสั่งให้หน่วยงานรัฐผู้ถูกฟ้อง 8
หน่วยงานได้สั่งให้ผู้ประกอบการนายทุนเจ้าของโครงการหรือกิจกรรมประเภท
รุนแรงจำนวน 76 โครงการระงับการดำเนินโครงการไว้เป็นการชั่วคราวก่อน
คำสั่งของศาลปกครองกลางดังกล่าว
เปรียบเสมือนฟ้าผ่าลงมากลางหัวใจของรัฐบาลและนักธุรกิจทุนอุตสาหกรรมทั้ง
หลาย เพราะไม่มีใครคาดคิดว่า พลังของสิทธิชุมชนจากชาวบ้านตัวเล็ก ๆ
จะสามารถทำให้เหล่าพวกยักษ์อุตสาหกรรมและหน่วยงานรัฐร้องโอดโอยไปได้
เพราะคงไม่มีใครคาดคิดอีกเช่นกันว่าผู้กุมอำนาจรัฐทั้งหลาย
จะพ่ายแพ้มรรควิธีตามกระบวนการของกฎหมายโดยภาคประชาสังคม
นักการเมือง นายทุน
และข้าราชการที่เกี่ยวข้องต่างออกมาเสนอหน้าเพื่อขอความเห็นใจและเร่งรีบ
ผลักดันให้มีกฎหรือระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา
67 วรรคสอง แทบจะโดยทันที ไม่ว่าภาคประชาสังคม
ประชาชนจะเสนอแนะอะไรเป็นตอบรับเห็นดีเห็นงามไปหมด
จนในที่สุดเราก็ได้ระเบียบหรือแนวทางเกี่ยวกับการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผล
กระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพหรือ EHIA ได้ประเภทกิจการรุนแรง
และเราก็ได้ร่างกฎหมายองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ พ.ศ.
ที่ผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียแล้วจากทุก
ภูมิภาคทั่วประเทศ
แต่เนื่องจากเกรงว่าภาคธุรกิจผู้ประกอบการจะ
เสียหายไปมากกว่านี้จึงได้ช่วยกันผ่อนปรนหรือยอมอ่อนข้อให้มีการจัดตั้ง
องค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพขึ้นมาเป็นการชั่วคราวก่อน
ในรูปแบบของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
และคาดหวังว่าเมื่อร่างกฎหมายดังกล่าวผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี
ผ่านกฤษฎีกา ผ่านสภาผู้แทนราษฎร ผ่านวุฒิสภาแล้วจะมี
“องค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ”
ที่ถาวรอยู่ในรูปพระราชบัญญัติโดยเร็วต่อไปทันที
แต่เผอิญมีการยุบสภาไปเสียก่อน
ร่างกฎหมายดังกล่าวจึงต้องค้างพิจารณาไว้ที่รัฐสภา
จนกว่าจะมีสภาผู้แทนชุดใหม่ และมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้ามาทำงานแล้ว
เพราะตามหลักรัฐธรรมนูญ มาตรา 153
เมื่อมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่หลังจากการเลือกตั้ง
หากมีกฎหมายใดที่ค้างการพิจารณาอยู่ในรัฐสภาจะต้องตกไป
เว้นแต่คณะรัฐมนตรีชุดใหม่จะได้ร้องขอกลับไปยังรัฐสภาภายใน 60
วันหลังจากมีการเรียกประชุมรัฐสภาครั้งแรก (1 สิงหา 54) กฎหมายต่าง ๆ
ที่ค้างรัฐสภาอยู่ก็จะสามารถเดินหน้าการพิจารณาต่อไปได้
เรื่องนี้สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน
และผองเพื่อนได้ยื่นจดหมายถึงท่านายกรัฐมนตรีและท่านรัฐมนตรีกระทรวง
ทรัพยากรฯแล้ว 2 ครั้ง
เพื่อขอให้ท่านได้ยืนยันร่างกฎหมายดังกล่าวให้สภาฯได้พิจารณาดำเนินการต่อไป
เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายที่รัฐบาลได้แถลงต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม
54 ที่ระบุไว้ในนโยบาย ข้อที่ 5.3 เกี่ยวกับนโยบายที่ดิน
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ว่าจะดูแลรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมและเร่งรัดการควบคุมมลพิษ
โดยการปรับปรุงกฎหมายสิ่งแวดล้อม รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการ
การประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม
การประเมินผลกระทบทางสุขภาพ
ปรับปรุงกองทุนสิ่งแวดล้อมเพื่อให้เอื้อต่อการเข้าถึงขององค์กรภาคประชาชน
และผลักดันกฎหมายว่าด้วยองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อม
ปัจจุบันเท่าที่ทราบข่าวมาว่าฝ่ายการเมือง
โดยเฉพาะกลุ่มสายอดีตรัฐมนตรียิงตู้เย็นพรุน
ไม่ต้องการให้มีกฎหมายฉบับดังกล่าวเกิดขึ้น
ในขณะเดียวกันฝ่ายราชการประจำในกระทรวงที่เกี่ยวข้องก็เห็นพ้องด้วย
เพราะหากปล่อยให้มีองค์การอิสระฯถาวรขึ้นมา
อาจจะเป็นการสร้างองค์กรใหม่มาบดบังรัศมีหน่วยงานของตนนั่นเอง
เรื่องนี้ต้องติดตามดูกันต่อไป
ถ้ารัฐบาลปฏิเสธไม่ยอมยืนยันกฎหมายดังกล่าวให้รัฐสภาพิจารณาต่อไป
ก็จะเป็นหลักฐานที่สำคัญที่สมาคมฯจักต้องนำเสนอต่อศาลปกครอง
และศาลรัฐธรรมนูญในคดีที่สมาคมฟ้องร้องเกี่ยวพันอยู่กับประเด็นดังกล่าวใน
หลาย ๆ คดีต่อไป ซึ่งจะชี้ให้ศาลเห็นว่ารัฐบาลหลอกลวงประชาชนมาโดยตลอด
โดยเฉพาะคดีมาบตาพุดที่ยังรอการพิสูจน์ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายในชั้นศาล
ปกครองสูงสุดอยู่ รวมทั้งการก้าวย่างสู่ศาลรัฐธรรมนูญ
และจะพิสูจน์เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 66 และ 67 ในอีกหลายคดี
ซึ่งหากรัฐบาลเบี้ยวไม่ยืนยันร่างกฎหมายดังกล่าว
สมาคมฯจำต้องร่วมมือกับชาวบ้านทั่วประเทศ
จะช่วยกันฟ้องร้องรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแบบไม่ไว้หน้ากัน
หรือไม่ต้องเกรงใจกันอีกต่อไป อาทิ
คดีการก่อตั้งนิคมอุตสาหกรรมบ้านค่ายใน
จังหวัดระยอง คดีการไม่ยอมประกาศผังเมืองรวมในพื้นที่มาบตาพุด
และจังหวัดระยอง
คดีเรียกค่าเสียหายจากผลกระทบจากการแพร่กระจายมลพิษจากนิคมอุตสาหกรรมมาบตา
พุดและใกล้เคียง คดีล้มโรงไฟฟ้า IPP-SPP ทั่วประเทศ
คดีล้มโครงการย้ายโรงงานยาสูบไปที่อยุธยา คดีล้มโครงการรถไฟฟ้าทั้ง 10
สายใน กทม. คดีล้มมอเตอร์เวย์ทั่วประเทศ คดีล้มแลนด์บริดจ์ท่าเรือปากบารา
คดีล้มกองทุนน้ำมัน คดีล้มโครงการใช้ไฟฟ้าฟรี 90 หน่วย และอีกหลาย ๆ คดี
เรื่องนี้ไม่ใช่ขู่แต่เอาจริง ตราบใดที่รัฐบาลปฏิเสธไม่ยืนยันร่าง พรบ.องค์การอิสระฯเข้าสภาภายใน 29 ก.ย.นี้...ไม่เชื่อลองดูกัน...
โดย..นายศรีสุวรรณ จรรยานายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน
www.thaisgwa.co
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น