หยุดเลย อย่าโทรมา ขอร้อง หยุดเลย .... เสียงจาก นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ส่งผ่านไปยังพี่ชาย (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร)
ตามรายงานข่าววันนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ เสมือนเป็นนายกฯ นั่งหัวโต๊ะ สั่งการอย่างออกนอกหน้า ให้ลูกทีมเร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ผลักดันนโยบายต่างๆ รวมไปถึงการแก้ปัญหาน้ำท่วม
โดยสำทับว่า ต้องไม่ทำแบบรัฐบาลที่ผ่านมาที่กำหนดเอาเอง แต่ให้สอบถามประชาชนในหมู่บ้านและในชุมชนนั้นๆ ว่าต้องการอะไร แถมบอกผ่านไปยังรัฐมนตรีแต่ละคนว่า ต้องเขียนโครงการมาก่อน ไม่ใช่ตั้งงบประมาณก่อน
ประเด็นเหล่านี้ ทำให้สังคมเคลือบแคลงพอสมควร ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ สั่งการในฐานะอะไร ใช่นายกฯ ต่างแดนหรือไม่? หรือเป็นเพียงแค่ให้คำแนะนำ แต่ถ้าวิเคราะห์จากถ้อยคำที่ออกมา บทบาทน่าจะเป็นผู้สั่งการมากกว่าแนะนำ
สิ่งที่ปรากฏกลายเป็นเรื่องที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ทำเอานายกฯ ยิ่งลักษณ์ แก้ต่างแทบไม่ทัน ....จน ถึงขั้นแจ้งผ่านรัฐมนตรีทำนองว่า ถ้ามันยุ่งยากนัก ใครอยากโทรหา ก็ตัวใครตัวมัน รัฐมนตรีทุกคนก็มีเบอร์โทรศัพท์สามารถโทรปรึกษาได้อยู่แล้ว ...กลัว!! เสียแล้ว...
หลังปล่อยให้พี่ชายสไกป์ ผ่านเข้ามาในวงประชุม นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ก็เกือบเสียศูนย์ โดยไม่รู้ตัว ถึงขั้นบ่นกับคนใกล้ชิดว่า "ถ้าพี่โทรมาเป็นประเด็น ก็อย่าโทรเลย เรื่องน้ำท่วมก็ปวดหัวพออยู่แล้ว ใครอยากคุยอยากปรึกษาต่างคนต่างโทรไปก็แล้วกัน"
ทำเอาที่ประชุมพรรคเพื่อไทยเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา เป็นการประชุมเพื่อประเมินสถานการณ์การบริหารงานรอบ 1 เดือน พร้อมกับให้รัฐมนตรีของพรรค ชี้แจงการนำนโยบายไปปฏิบัติว่าติดขัดอย่างไร เพื่อแจ้งให้ ส.ส.ในพรรครับรู้รับทราบ
หากวิเคราะห์ลงลึกถึงรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ที่ยกหูต่อสายตรงหาอดีตนายกฯ ทักษิณ อยู่เป็นประจำ นอกเหนือจากนายกฯ ยิ่งลักษณ์ เห็นทีจะมีอยู่ไม่กี่คน เพราะรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทยที่เข้ามาท่ามกลางกระแส "นอมินี" หรือ "เด็กฝาก" มีอยู่หลายสายพอสมควร ทั้ง สายเครือญาติ สายพี่สะใภ้ พี่เขย พี่สาว พี่ชาย กลุ่มบ้านเลขที่ 111
ฉะนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ที่รัฐมนตรีทุกคนจะโทรหา พ.ต.ท.ทักษิณ ได้อย่างที่คิดๆ กัน ถ้ายกหูโทรปรึกษาคนเดียวจบทั้งหมด ปัญหาคงไม่ยุ่งยากและวุ่นวายอย่างที่เห็นๆ
"กลุ่มสายตรง" ที่ยกหูถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ เห็นทีจะเป็น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง พิชัย นริพทะพันธุ์ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก เป็นต้น ขณะที่รัฐมนตรีหลายคน ไม่กล้าต่อสายตรง นอกจากคอยรับบัญชามากกว่า
อีกกลุ่มเป็น รัฐมนตรีสายตรงผ่านเครือญาติ กองบัญชาการกลุ่มนี้จะมีตั้งแต่ พี่เขย พี่สะใภ้ พี่สาว ของนายกฯ ส่วนบรรดารัฐมนตรีในคาถา ก็จะกระจายอยู่ในกระทรวงต่างๆ
กลุ่มถัดมาเป็น รัฐมนตรีสายตรงนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ส่วนใหญ่จะเป็นรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ อย่าง กิตติรัตน์ ณ ระนอง พิชัย นริพทะพันธุ์ เป็นต้น
ดังนั้น เมื่อแบ่งกองบัญชาการอย่างนี้ ย่อมทำให้การบริหาร "ตะกุกตะกัก" เป็นธรรมดา เพราะอำนาจไม่ได้เบ็ดเสร็จอยู่ที่คนใดคนหนึ่ง แต่อำนาจกลับกระจายอยู่ตามเครือญาติ อย่างที่เห็นๆ
ตัวอย่างเห็นชัด นโยบายบ้านหลังแรก กับ รถยนต์คันแรก ที่มีรัฐมนตรีดูแลและควบคุม 2 คน ทั้งคู่มาจาก "นายใหญ่" คนละกลุ่ม ความจริงแล้ว ไม่ว่าจะมาจากสายไหน กลุ่มไหน ไม่สำคัญ แต่อยู่ที่ว่า เวลากำหนดนโยบายอะไรออกมา ควรให้ตกผลึกเสียก่อนที่จะออกมาป่าวประกาศให้สังคมรับรู้ มิฉะนั้น ก็จะเกิดความสับสนอย่างที่เห็นๆ
วันนี้ทั้งคนซื้อและคนขายสับสนวุ่นวายกับนโยบายรัฐ ชักเข้า ชักออก ไหนๆ ก็เป็นรัฐมนตรีกระทรวงการคลังด้วยกัน พรรคเดียวกัน แม้จะเป็นเด็กคนละ "นายใหญ่" แต่ก็ควรคุยกันให้มากกว่านี้ ประชาชนจะได้ไม่สับสนนะท่าน...
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น