บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2554

แจงล่าชื่อฎีกาแม้วศาลตอกแดงแหกประเพณี

เดลินิวส์


พลังเงียบเคือง ปู ช่วยพวกนปช.ขยับต้านโผย้ายทหาร
โฆษก ศาลฯ แจงไม่เคยมีปรากฏการณ์ล่าชื่อถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ ปัดให้ความเห็นกระบวนการดำเนินงานยันไม่เกี่ยวในขั้นตอนศาลยุติธรรมยิ่ง ลักษณ์ ยันไม่เร่งขั้นตอนถวายฎีกาช่วยพี่ชาย แจงปล่อยตามขั้นตอน “อภิสิทธิ์” เตือนอย่าทำ 2 มาตรฐาน ย้ำต้องเป็นญาติเกี่ยวข้องเท่านั้นที่จะเป็นผู้ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ อดีตรมว.ยุติธรรม ตรวจพบ 3 รายชื่อ มีสายสัมพันธ์กับ “ทักษิณ” แต่ไม่มีใครยืนยันกลับ แม้กระทั่ง “พายัพ ชินวัตร” ก็ไม่ยอมเซ็นชื่อมาด้วย “วิรัตน์” ลั่น “ทักษิณ” อดกลับบ้าน ส่วน “พล.อ.สมเจตน์” ย้ำต้องให้คนผิดสำนึกได้ ก่อนช่วยเหลือ “อัมมาร์” ตั้งฉายารัฐลบาล “ดีแต่โม้” ห่วงจำนำข้าวทำเสียหาย ฝ่าย “ภาคแรงงาน” เร่งรัฐบาลขึ้นค่าแรง 300 บาทต่อวันทันที พร้อมเร่งตั้งกองทุนอุ้มคนตกงาน หวั่นนายจ้างเลิกจ้างค่าแรงแพง วุฒิสภา นัดคัดตัว 11 กสทช. ปัดไม่มีค่าเหนื่อย ส.ว.สายสื่อ แจงแค่มีแนะนำตัว ไม่มีการจ่ายเงิน “ประธานวุฒิฯ” มั่นใจทุกขั้นตอนราบรื่น

“ปู”ไม่เร่งฎีกาช่วยพี่ชาย
   
เมื่อวันที่ 4 ก.ย. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงในการยื่นถวายฎีกาขออภัยโทษ ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯว่า เราไม่ได้ไปเร่งกระบวนการ ทุกอย่างเป็นไปตามการพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ดูเป็นเรื่องตกค้าง ก็นำมาพิจารณาตามกำหนดเวลา ไม่มีการไปเร่งรัดเป็นกรณีพิเศษ เมื่อถามว่า เอแบคโพลล์สำรวจความเห็นประชาชนระบุว่าถ้ารัฐบาลเข้าไปทำเรื่องของ พ.ต.ท.ทักษิณจะยิ่งทำให้อายุของรัฐบาลไปเร็วขึ้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า รัฐบาลยังไม่ได้เข้าไปดูเลย ทุกอย่างอยู่ในขั้นตอนของแต่ละกระทรวงที่จะพิจารณา เมื่อถามว่า การที่จะยื่นถวายฎีกาได้นั้น พ.ต.ท.ทักษิณต้องกลับมาจำคุกก่อน แบบนี้จะเป็นไปได้หรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า “เอาให้หน่วยงานได้ศึกษาเรื่องก่อนดีไหมคะ แล้วค่อยพิจารณา”
   
ส่วนภารกิจของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ช่วงเช้าได้ใช้เวลาพักผ่อนอยู่ภายในบ้านพักในซอยโยธินพัฒนา 3 จากนั้นเวลา 13.15 น. จึงเดินทางมายังทำเนียบรัฐบาล เพื่อเป็นประธานการประชุมมอบนโยบายในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยให้กับ ผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ 9 จังหวัด จากนั้นในช่วงเย็น นายกฯ ได้เดินทางไปร่วมงานพระราชทานเพลิงศพ พ.ต.อ.ชัชธรรม พรหมนอก บุตรชาย พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ที่วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน

“มาร์ค”ย้ำมาตรฐานเดียว
   
ที่ จ.พิษณุโลก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์กรณีกลุ่มเสื้อแดงเคลื่อนไหวทวงถามความคืบหน้าหลังได้ถวายฎีกาขอ พระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท.ทักษิณว่า เป็นเรื่องหน่วยงานที่ต้องตรวจสอบว่าผู้ที่ดำเนินการเข้าชื่อถวายฎีกาเข้า ข่ายหลักเกณฑ์ปกติหรือไม่ เกี่ยวข้องเป็นญาติหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค อดีต รมว.ยุติธรรมได้รายงานว่า ได้มีการตรวจสอบพบว่ามีผู้เกี่ยวข้อง 3 ราย และมีการประสานงานเพื่อให้ยืนยันเจตนาที่จะถวายฎีกา ซึ่งหากยืนยันแล้ว หน่วยงานจะทำตาม กระบวนการเหมือนกรณีอื่น ๆ
    
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า พรรคการเมืองที่ชอบพูดเรื่อง 2 มาตรฐาน ก็ควรจะมีมาตรฐานเดียวสำหรับคนไทยทุกคน อย่ามีมาตรฐานสำหรับพวกพ้องตัวเอง ทั้งนี้ ตนเห็นใจในฐานะพี่น้องกัน แต่ขณะนี้คนที่ใช้อำนาจตรงนี้ ต้องถือว่าเป็นนายกฯไม่ใช่พี่น้องใคร ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ตรงไปตรงมา ส่วนการทำหน้าที่ของอธิบดีกรมราชทัณฑ์จะถูกกดดันหรือไม่นั้น ยังไม่ทราบ แต่เห็นข่าวว่าอยู่ในขั้นตอนตรวจสอบและดูข้อกฎหมายอยู่ แต่ฝากข้าราชการทุกคนว่าให้ปฏิบัติหน้าที่ตรงไปตรงมา รักษาผลประโยชน์ของประเทศ เพราะที่ผ่านมาจะมีบทเรียนของราชการที่ไปสนองตอบในทางไม่ถูกต้อง สุดท้ายก็กระทบมายังตัวเองและตนเองต้องรับผิดชอบ

ต้องญาติถวายฎีกาเท่านั้น
   
นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อดีตรมว.ยุติธรรม เปิดเผยกับ “เดลินิวส์” ถึงกรณีความพยายามผลักดันให้มีการยื่นขอพระราชทานอภัยโทษให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า ถ้าถือหลักปฏิบัติตามกฎหมาย ผู้ที่จะมีสิทธิขอพระราชทานอภัยโทษจะมีอยู่ 2 ส่วน คือ ผู้ที่ต้องคำพิพากษาเอง กับผู้มีประโยชน์เกี่ยวข้องเท่านั้น ที่ผ่านมาทางเจ้าหน้าที่จะถือว่าผู้ที่มีประโยชน์เกี่ยวข้องจะหมายถึงพ่อแม่ สามี ภรรยา ลูก หรือญาติชั้นใกล้ชิด ถ้าไม่ใช่กลุ่มคนเหล่านี้จะถือว่าไม่มีสิทธิ และถ้าไม่มีญาติยื่นด้วยก็ถือเป็นการยื่นที่ไม่ถูกกฎหมาย เรื่องก็จะเดินต่อไปไม่ได้ เพราะการยื่นขอพระราชทานอภัยโทษ ไม่ต้องยึดจำนวนคน จะใช้คนเดียวที่อยู่ในกรอบหลักเกณฑ์ก็สามารถยื่นเรื่องได้
    
นายพีระพันธุ์ กล่าวอีกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ไม่ต้องถามว่ารัฐบาลต้องการอะไร แต่ในส่วนของข้าราชการ เจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นบุคคลที่ต้องยึดตามหลักเกณฑ์กฎหมาย ก็จะต้องยึดถือกฎเกณฑ์เป็นสำคัญ ในอดีตสมัยที่ตนเป็น รมว.ยุติธรรม อธิบดีกรมราชทัณฑ์เคยเสนอรายชื่อผู้เสนอขอพระราชทานอภัยโทษมาถึงตน โดยผลการตรวจสอบแล้วพบว่ามีรายชื่อ 3 คน ที่มีนามสกุลเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่มีแต่ชื่อ ไม่มีลายเซ็น ตนจึงให้กรมราชทัณฑ์ติดต่อไปยัง 3 บุคคลดังกล่าวเพื่อให้แจ้งความประสงค์กลับมาว่าจะยื่นเรื่องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ประเด็นสำคัญคือ 2 บุคคลที่ไม่ตอบกลับมา หนึ่งในนั้นมีชื่อว่า นายพายัพ ชินวัตร ที่ไม่มีการยืนยันกลับมาว่าจะยื่นเรื่องดังกล่าวหรือไม่

ปชป.ลั่น“แม้ว”อดกลับ
   
นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา หัวหน้าคณะทำงานฝ่ายกฎหมาย พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงความพยายามผลักดันให้มีการยื่นขอพระราชทานอภัยโทษให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณว่า กลุ่มคนเสื้อแดงทราบอยู่แล้วว่าหากไม่ใช่ญาติของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ไม่สามารถขอพระราชทานอภัยโทษได้ แม้จะใช้คน 2 ล้านคน หรือ 60 ล้านคน ก็ไม่มีผล แต่ก็พยายามใช้จำนวนคนมาก ๆ เพื่อเป็นพลังกดดัน บีบ การใช้ดุลพินิจของผู้ที่จะพิจารณาเรื่องนี้ ดังนั้นนัยของเรื่องนี้คือต้องการให้มีผลให้สังคมเข้าใจผิดในบางองค์กร เป็นเจตนาร้ายที่ซ่อนรูป และมุ่งทำลาย
   
“บอกได้เลยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ กลับประเทศไทยได้ยาก เพราะไม่ได้มีคดีที่ดินรัชดาที่ศาลสั่งจำคุก 2 ปีเท่านั้น ยังมีคดีข้อหากบฏ การก่อการร้าย ซึ่งเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน ไม่สามารถนิรโทษกรรมได้ ดังนั้นอยากให้ทุกฝ่ายได้คิดว่าการจะใช้อะไรบีบก็แล้วแต่ แต่ทุกอย่างต้องอยู่บนหลักนิติรัฐ อย่าพยายามทำลายองค์กรที่เกี่ยวข้องเลย” นายวิรัตน์ กล่าว

ถ้าไม่สำนึกผิดก็ช่วยยาก
   
พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ส.ว.สรรหา และแกนนำกลุ่มสยามสามัคคี กล่าวถึงกรณีที่รมว.ยุติธรรมเตรียมพิจารณากลุ่มคนเสื้อแดง 2 ล้านชื่อที่ขอพระราชทานอภัยโทษให้กับพ.ต.ท.ทักษิณว่า โดยหลักการของกระบวนการขอพระราชทานอภัยโทษให้ใครบุคคลนั้นจะต้องมาต่อสู้ใน กระบวนการทางศาล ต้องสำนึกในความผิด ต้องมารับโทษ แล้วมีคุณงามความดี แต่ถ้าไม่สำนึกว่าตัวเองกระทำผิดก็ไม่มีเหตุผลที่จะขอนิรโทษกรรม เพราะปกติคนที่ไม่ผิดก็ไม่ต้องขออภัยโทษได้
   
พล.อ.สมเจตน์ ย้ำว่า เรื่องนี้จึงขาดหลักการ ไม่เคยมีที่ดำเนินการเช่นนี้ จึงอยากให้รมว.ยุติธรรมพิจารณาให้ดีรอบคอบ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นการโยนภาระทั้งหมดให้พระองค์ท่าน และถ้าหากไม่มีการพระราชทานอภัยโทษมา ก็จะสร้างปัญหาเป็นการล่วงละเมิด สร้างปัญหาให้กับพระองค์ท่าน ทำให้คนกลุ่มหนึ่งมองว่าพระองค์ท่านไม่พระราชทานความเมตตา

ศาลฯไม่ยุ่งชี้ไม่เคยมี
    
นายสิทธิศักดิ์ วนะชกิจ โฆษกศาลยุติธรรม กล่าวถึงกรณีการทูลเกล้าฯถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ พ.ต.ท.ทักษิณว่า ถือเป็นสิทธิการขอความเป็นธรรม แต่เนื่องจากกระบวนการทูลเกล้าฯถวายฎีกา ไม่ได้เกี่ยวข้องกับศาลยุติธรรม ซึ่งขั้นตอนปฏิบัติจะมีกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม พิจารณากลั่นกรอง จึงไม่อาจให้ความเห็นใด ๆ ได้ และไม่ต้องการให้เกิดการชี้นำ หรือนำศาลยุติธรรมไปเป็นเครื่องมือของฝ่ายใด หรือผูกโยงกับการเมือง ซึ่งเรื่องดังกล่าวเคยเงียบไปและได้จุดประกายอีกครั้งโดยมีทั้งประชาชนที่ เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย หากศาลถูกนำไปผูกโยงการเมืองก็จะเสียความเป็นกลาง
    
นายสิทธิศักดิ์ กล่าวว่า ส่วนกรณีมีความเป็นไปได้หรือไม่ในการทูลเกล้าฯถวายฎีกาขออภัยโทษ ทั้งที่จำเลยยังไม่เคยรับโทษบางส่วนมาก่อนตามเงื่อนไขกฎหมายกำหนดนั้น ไม่อาจคาดคะเนผลได้ เนื่องจากอำนาจสุดท้ายในการพิจารณาเรื่องนี้ไม่ใช่ศาลยุติธรรม แต่เรื่องแบบนี้ในอดีตไม่เคยปรากฏแนวทางลักษณะเช่นนี้มาก่อน ซึ่งการขออภัยโทษก็มีตัวอย่างคดีของนายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ ก็รับโทษมาแล้วบางส่วนจากข้อหาหมิ่นเบื้องสูง ตามกฎหมายผลทางคดีอาญาจะสิ้นสุดผลเมื่อจับกุมตัวผู้กระทำซึ่งศาลมีคำพิพากษา แล้วมารับโทษ หรือจำเลยหรือผู้ต้องโทษนั้นเสียชีวิต ซึ่งไม่อาจนำตัวมาพิจารณาความผิดและรับโทษได้ สำหรับการจะขออภัยโทษทั้งที่ผู้ต้องโทษยังไม่ได้รับโทษบางส่วนตามเงื่อนไขจะ ขัดกับหลักนิติรัฐ นิติธรรมหรือไม่นั้น ในการถวายฎีกาขออภัยโทษหรือการนิรโทษกรรม มีกฎหมายกำหนดหลักเกณฑ์การปฏิบัติอยู่แล้ว แต่แนวทางดังกล่าวไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน

“เสื้อแดง”พิทักษ์รัฐบาลปู
   
นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ แกนนำ นปช. เปิดเผยเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในปัจจุบันในโอกาสที่เดินทางมาร่วมประชุม แกนนำคนเสื้อแดงที่ จ.นครราชสีมาว่า ถึงแม้เราจะได้รัฐบาลที่มาจากประชาชนโดยแท้จริงแต่ก็ไม่ได้ชะล่าใจว่าอำนาจ ของรัฐบาลเป็นอำนาจที่เบ็ดเสร็จ เพราะเรายังต้องป้องกันอำนาจมืด อำนาจนอกระบบที่อาจจะมาเล่นงานรัฐบาลข้างหลังในอนาคต ยังมีกลุ่มบุคคลบางกลุ่มที่คิดที่จะให้อำนาจปลายกระบอกปืน อำนาจกองทัพมาล้มรัฐบาลชุดนี้อยู่ เราคิดว่าการรวมพลังของพี่น้องคนเสื้อแดงคือ การทวงความเป็นธรรมให้กับพี่น้องของเราในการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตย
   
นายสุภรณ์ ยังกล่าวว่า นอกจากนี้ คนเสื้อแดงยังมีภารกิจเรื่องการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ในประเทศ ไทย เพราะยังเป็นภารกิจที่ไม่จบสิ้น และที่สำคัญที่สุดหลังการเลือกตั้งมาแล้วเราก็อยากให้รัฐบาลได้เดินหน้าขับ เคลื่อนต่อไปอย่างมีเสถียรภาพ ดังนั้น คนเสื้อแดงจึงยังมีภารกิจที่ไม่อยากให้ใครมาขัดขวางการทำงานหรือมาล้อม รัฐบาลที่มาจากประชาชนที่กว่าจะได้มาต้องแลกด้วยชีวิต บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก ยืนยันว่าคนเสื้อแดงจะไม่ได้เป็นปัญหาอุปสรรครัฐบาลของน.ส.ยิ่งลักษณ์ หรือรัฐบาลพรรคเพื่อไทย หรือพรรคร่วมรัฐบาล แต่เราจะคอยเป็นองครักษ์ ให้รัฐบาลคอยทำงานได้อย่างราบรื่น และจะไม่ยอมให้บ้านเมืองนี้กลับไปสู่อำนาจมืดอีกเด็ดขาด

“อัมมาร์”ให้ฉายา“ดีแต่โม้”
   
ที่สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศ ไทย (ทีดีอาร์ไอ) นายอัมมาร์ สยามวาลา  นักวิชาการเกียรติคุณทีดีอาร์ไอ เปิดแถลงข่าวเรื่อง “กลับไปสู่...จำนำข้าว” ว่า  ปัจจุบันข้าวเป็นสินค้าทางการเมืองของบรรดานักการเมืองที่นำไปหาเสียงกับ ประชาชน เช่น การรับจำนำข้าวเปลือกตันละ 15,000 บาท ที่ในอนาคตจะสร้างความวุ่นวายแก่ประชาชนในประเทศที่ต้องซื้อข้าวในราคาที่ สูงกว่าตลาดโลก เนื่องจากรัฐบาลได้ยกราคาให้สูงกว่าราคาปัจจุบัน 50% จากเดิมที่อยู่ในระดับ 10,000 บาทต่อตัน อย่างไรก็ตามรัฐบาลยังคงเดินหน้ารับจำนำข้าวต่อไปเพราะได้สัญญากับประชาชน ไว้ก่อนหน้านี้ และก็ยากที่จะเยียวยาหรือเกินวิสัยที่ทีดีอาร์ไอจะไปเสนอแนะวิธีการแก้ไข ปัญหาให้กับรัฐบาลได้
   
นายอัมมาร์ ยังกล่าวว่า แต่ต้องการบอกให้รัฐบาลทราบว่าที่ผ่านมาผลกระทบจากนโยบายจำนำข้าวตั้งแต่ปี 47-52 รัฐบาลยังมีหนี้สินมาถึงทุกวันนี้ 141,000 ล้านบาท ที่ซุกในบัญชีของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) แถมยังมีสต๊อกข้าวที่เหลืออีกมาก จึงอยากให้รัฐบาลพิจารณาอย่างรอบคอบ ตามความเห็นส่วนตัวมองว่า
นโยบายจำนำ 1.5 หมื่นบาทนั้นไม่ควรทำตั้งแต่แรก แต่เข้าใจว่าเมื่อนำมาหาเสียงโดยไม่คิดให้รอบคอบจึงต้องออกมาแก้ปัญหาเฉพาะ หน้าทีละขั้นตอน ต่างกับนโยบายของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ที่แต่ละนโยบายมีการศึกษามานานแล้ว ตนเห็นนักการเมืองกำลังหันซ้ายหันขวาในการแก้ปัญหานโยบายที่ได้หาเสียงไว้ และโม้ไปวัน ๆ จึงขอตั้งฉายารัฐบาลนี้ดีแต่โม้

ดันขึ้นค่าแรงยกแผงทันที
   
รศ.ดร.ยงยุทธ แฉล้มวงศ์ นักวิชาการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวในการเสวนาเรื่อง “คิดอย่างไร...กับรายได้ 300 บาทต่อวัน” โดยมีตัวแทนนายจ้างและลูกจ้างพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลเข้าร่วมประมาณ 1,000 คนว่า ช่วง 10 ปี ที่ผ่านมาพบว่าค่าจ้างมีช่วงห่างกับค่าครองชีพถึง 60% เห็นได้จากปัจจุบันค่าจ้างขั้นต่ำอยู่ที่ 159-221 บาทต่อวันเท่านั้น ทำให้ที่ผ่านมาการปรับค่าจ้างไม่เพียงพอที่จะปกป้องแรงงานให้มีคุณภาพชีวิต ให้พ้นจากความยากจนตามหลักขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ได้เนื่องจากแรงงานหนึ่งคนต้องมีรายได้เพียงพอที่จะเลี้ยงครอบครัว 2-3 คน จึงเห็นว่าควรจะมีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 300 บาทไปพร้อมกันทีเดียวทั่วประเทศ เนื่องจากการปรับขึ้นค่าจ้างไม่ได้มีการปรับให้สอดคล้องกับค่าครองชีพมานาน 5-6 ปีแล้ว
   
ด้านนายทวีกิจ จตุรเจริญคุณ ผู้แทนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สภาอุตฯอยากให้ปรับแบบขั้นบันไดภายใน 4 ปี ซึ่งภาครัฐต้องมีการชดเชยต้นทุนส่วนต่างที่เพิ่มขึ้นให้แก่สถานประกอบการ ส่วนนายชัยพร จันทนา ผู้แทนคณะกรรมการค่าจ้างกลางฝ่ายลูกจ้าง กล่าวว่า คิดว่าการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน ทำได้และอยากให้ปรับขึ้นทันทีทั่วประเทศ เพราะการปรับค่าจ้างขั้นต่ำโดยไม่สอดรับกับค่าครองชีพที่แท้จริงสะสมมานาน หากไม่ปรับช่วงนี้ โอกาสที่จะปรับอีกเป็นไปได้ยาก เพราะค่าครองชีพตามความเป็นจริงของแรงงานที่ดูแลครอบครัวได้อยู่ที่ 400 บาทต่อวัน และราคาสินค้าได้ปรับขึ้นนำหน้าค่าจ้างไปก่อนแล้ว

เร่งกองทุนอุ้มคนตกงาน
   
นายวัลลภ กิ่งชาญศิลป์ ผู้แทนคณะกรรมการค่าจ้างกลาง ฝ่ายนายจ้าง กล่าวว่า ไม่คัดค้านที่รัฐบาลจะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำให้แรงงานแต่อยากให้ปรับเป็น ขั้นเป็นตอน และน่าจะให้เกียรติคณะกรรมการไตรภาคีในการพิจารณาอัตราค่าจ้างด้วย เพราะคณะกรรมการไตรภาคีจะต้องพิจารณาในหลาย ๆ ด้านอย่างรอบคอบเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม
   
นางอำมร เชาวลิต ที่ปรึกษาวิชาการแรงงาน สำนักปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ในเรื่องนี้กระทรวงแรงงานได้มีการตั้งกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างที่ได้รับผล กระทบจากนโยบายปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันไว้แล้ว โดยลูกจ้างที่มีอายุการทำงานตั้งแต่ 4-12 เดือนจะได้รับเงินช่วยเหลือ 30 วันของการทำงานก่อนออก ผู้ที่มีอายุงานตั้งแต่ 1-3 ปีก็จะได้รับเงินช่วยเหลือ 60 วัน ผู้ที่มีอายุงาน 3-6 ปีก็จะได้เงินช่วยเหลือ 90 วัน และผู้ที่มีอายุงานตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไปก็จะได้เงินช่วยเหลือ 180 วัน

“ขุนคลัง”แจงกองทุนมั่งคั่ง
   
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รมว.คลัง ได้โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊ก ถึงการบริหารจัดการด้านการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยเป็นการเขียนอธิบายการจัดตั้งกองทุนมั่งคั่ง ใช้ชื่อว่าตอบคำถามบางเรื่องเกี่ยวกับกองทุนมั่งคั่งแห่งชาติ ทั้งนี้ระบุว่า ต้องยอมรับว่าการลงทุนทุกรูปแบบมีความเสี่ยงทั้งนั้น เช่นสมมุติให้กู้แก่โครงการรถไฟความเร็วสูงในเอเชีย ลักษณะความเสี่ยงอาจเกิดจากจำนวนผู้โดยสารมีน้อยกว่าที่คาดไว้ แต่ทั้งนี้ อย่าเข้าใจผิดว่าการที่ ธปท. นำเงินทุนสำรองไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐและยุโรปดังที่ปฏิบัติอยู่ขณะ นี้ไม่มีความเสี่ยงนะครับ เพราะที่แท้จริงมีความเสี่ยงทั้งในด้านราคาที่ขึ้น ๆ ลง ๆ และในด้านค่าเงินต่างประเทศที่อ่อนตัวเพราะมีการพิมพ์เงินออกมามากเกินไป
   
ส่วนคำถามถึงการนำเงินทุนสำรองไปลงทุนแบบกองทุนมั่งคั่งของชาติเป็นการแทรก แซงธปท.หรือไม่ นายธีระชัย ได้ชี้แจงว่า ไม่เป็นการแทรกแซง ธปท. ครับ แต่เป็นการช่วยกันคิดเพื่อแก้ปัญหา เพราะ ณ สิ้นปี 2553 ธปท. มีส่วนของทุนติดลบเป็นจำนวนเงินมหาศาล สูงถึง ติดลบ 431,829 ล้านบาท ถ้าเป็นธุรกิจเอกชนก็จะต้องปิดกิจการไปแล้ว ถึงแม้ ธปท. ไม่ได้ขอให้รัฐบาลช่วยตั้งงบประมาณมาช่วยแก้ไขขาดทุนของ ธปท. แต่ทรัพย์สินของ ธปท. ก็เป็นทรัพย์สินของชาติ ซึ่งควรมีการบริหารจัดการให้ดีที่สุด ส่วนจำนวนที่จะกันไปเป็นกองทุนมั่งคั่งของชาติควรจะมาจากบัญชีใดใน ธปท.นั้น ตนได้ให้ ธปท. ไปศึกษา โดยในหลักการ จะไม่แตะต้องทองคำและเงินบริจาคของหลวงตามหาบัว และจะไม่แตะต้องจำนวนที่ต้องใช้หนุนหลังการออกธนบัตร

ลุ้นส.ว.คัดกสทช.ฉลุย
   
พล.อ.ธีรเดช มีเพียร ประธานวุฒิสภา เปิดเผยว่า ในการประชุมวุฒิสภาวันที่ 5 ก.ย.  จะมีการลงคะแนนเลือกกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ตามมาตรา 17 ของ พ.ร.บ. กสทช. พ.ศ. 2553 หลังจากที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) สามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรมของผู้สมควรได้รับเลือกเป็น กสทช.ได้ตรวจสอบเสร็จแล้ว โดยการประชุมเพื่อพิจารณาวาระดังกล่าวจะแบ่งออกเป็น 2 แบบคือ ประชุมโดยเปิดเผย และประชุมลับ เบื้องต้นเชื่อว่าการประชุมดังกล่าวจะไม่มีปัญหา เพราะ ส.ว.ส่วนใหญ่ระบุว่าอยากทำหน้าที่ตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้ ทั้งนี้ การลงคะแนนเลือก กสทช. นั้นตามกฎหมายระบุไว้ว่าให้เป็นการลงคะแนนลับ ขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้เตรียมความพร้อมไว้หมดแล้ว
   
นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการสามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรมของผู้สมควรได้รับเลือกเป็น กสทช. กล่าวถึงกระแสข่าวมีความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนที่ได้รับการเสนอชื่อทั้ง 44 คน เดินสายล็อบบี้ขอเสียงสนับสนุนจาก กลุ่ม ส.ว.บางกลุ่ม ให้สนับสนุนบุคคลที่ตัวเองจัดวางเอาไว้ว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องปกติที่จะมีการพูดคุยกันเพื่อที่จะแนะนำและชี้ชวน ให้มีการเลือกบุคคลที่ตนเองสนับสนุน หากไม่มีเรื่องของเงินหรือผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องก็สามารถทำได้ แต่หากมีเรื่องผลประโยชน์หรือมีนักการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องในการล็อบบี้ก็ ไม่ถูกต้อง ทั้งนี้ในฐานะที่เป็นส.ว.สายสื่อและได้ติดตามข่าวสารนั้นตนเชื่อว่า ส.ว.ในสายสื่อ ไม่ได้มีการล็อบบี้ตามที่มีกระแสข่าวอย่างแน่นอน คงมีแค่การแนะนำตัวเท่านั้น

แค่แนะนำไม่ได้ซื้อโหวต
   
นายมณเฑียร บุญตัน ส.ว.สรรหา กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวถือเป็นเรื่องธรรมดา เชื่อว่าแต่ละฝ่ายทำหน้าที่อย่างดีที่สุด ซึ่งในเรื่องของการล็อบบี้นั้น คงไม่มีเรื่องของผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง เป็นการพูดคุย หรือแนะนำบุคคลที่ตนเองสนับสนุนเท่านั้น เมื่อถามว่า ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อบางคนมีความใกล้ชิดกับนักการเมืองมาก่อน เช่น นายพงษ์ศักติฐ์ เสมสันต์ อดีตที่ปรึกษา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีต นายกฯ นายมณเฑียร กล่าวเพียงสั้น ๆ ว่า “ไม่ทราบ”
   
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ตั้งแต่เริ่มกระบวนการสรรหามีกระแสข่าวสะพัดมาต่อเนื่องว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามีความเคลื่อนไหวผิดปกติบางอย่างในการโน้มน้าว ส.ว.บางส่วน โดยเฉพาะที่น่าจับตาคือมีกลุ่มทุนบันเทิงยักษ์ใหญ่ ที่คาดว่าได้วางตัวบุคคลที่จะเข้ามาเป็น กสทช. มาตั้งแต่กระบวนการสรรหา โดยมีการจัดทำเป็นโพยบัญชีรายชื่อให้แก่ ส.ว. ขณะที่กลุ่ม ส.ว.สายสื่อก็ได้มีการเสนอข้อต่อรองขอให้พ่วงชื่อผู้ที่ตัวเองสนับสนุนเข้า ไปอยู่ในโพยด้วย เพื่อแลกกับเสียงสนับสนุนที่จะให้

ไม่ต้องร้อนตัวสอบทุจริต
   
ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงถึงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ไปจัดสัมมนาพรรคที่ จ.พิษณุโลก เมื่อวันที่ 3 ก.ย.ที่ผ่านมา เพื่อปรับการทำงานและมีการเปิดผลวิจัยสาเหตุที่พรรคประชาธิปัตย์แพ้เลือก ตั้งว่า เรื่องนี้คนในพรรคประชาธิปัตย์ก็ให้ข้อมูลกับตนว่านายอภิสิทธิ์ไม่พอใจอย่าง มากว่าผลวิจัยหลุดไปถึงสื่อได้อย่างไร เป็นการสะท้อนถึงนายอภิสิทธิ์ซึ่งการคิดอย่างนี้ถือว่าการปรับโครงสร้างพรรค และการไปสัมมนาที่พิษณุโลกน่าจะล้มเหลว ดังนั้นการปรับเปลี่ยนครั้งนี้ของประชาธิปัตย์ ต้องปรับหัวหน้าพรรค ตนเชื่อว่าในการเลือกตั้งครั้งต่อไปที่นายอภิสิทธิ์จะเป็นหัวหน้าพรรคก็จะ แพ้อีก ล่าสุดยังจะต้องมี ส.ส.เงาขึ้นมา โดยเน้นภาคเหนือและอีสานซึ่งไม่มี ส.ส.ในพื้นที่ ตั้งขึ้นมาแล้วขออย่าให้เป็นการจับผิด และอิงแอบอำนาจนอกระบบอย่างที่เคยชิน
   
นายพร้อมพงศ์ ยังแถลงว่ากรณีที่นายศุภชัย ใจสมุทร โฆษกพรรคภูมิใจไทย ระบุถึงการทำงานของคณะกรรมการด้านการประชาสัมพันธ์ พรรคเพื่อไทย เตรียมดำเนินการใน 172 โครงการของรัฐบาลที่ผ่านมาอาจมีการทุจริตว่าจะเป็นการเช็กบิลรัฐบาลที่ผ่าน มานั้น ตนในฐานะหัวหน้าคณะทำงานยังไม่บอกว่าเป็นโครงการใดบ้าง แต่พรรคภูมิใจไทยกลับร้อนท้องแล้ว ตนขอบอกพรรคภูมิใจไทยว่า ไม่ต้องร้อนตัว เพราะเราจะตรวจสอบอยู่แล้วถ้าบริหารราชการแผ่นดิน อนุมัติงบแบบทิ้งทวนเอื้อประโยชน์ต่อพวกพ้อง ทั้งนี้การตรวจสอบจะให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมทั้งคณะกรรมาธิการในสภา จึงไม่ต้องเป็นห่วงว่าอดีตรัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย และข้าราชการจะไม่ได้รับความเป็นธรรม

พลังเงียบไม่พอใจรัฐบาล
    
สำนักวิจัย เอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลสำรวจจุดยืนทางการเมือง เรื่อง “สำรวจจุดยืนทางการเมืองฐานสนับสนุนของสาธารณชนต่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์ 1 สามอารมณ์ สามมุม ในหมู่ประชาชน” จากกลุ่มตัวอย่างที่อายุ 18 ปี ขึ้นไป ใน 17 จังหวัดทั่วประเทศ จำนวน 2,614 ตัวอย่าง พบว่า ร้อยละ 57.9 ขอเป็นกลุ่มพลังเงียบที่ไม่เข้าข้างรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง ร้อยละ 33.1 หนุนรัฐบาล และ ร้อยละ 9.0 ไม่สนับสนุนรัฐบาล
    
ขณะผลสำรวจที่น่าสนใจ คือ คนส่วนใหญ่จากกลุ่มพลังเงียบดังกล่าวไม่พอใจการทำงานของรัฐบาลในหลายเรื่อง ที่ตรงกัน เช่น ความล่าช้าในการแก้ปัญหาน้ำท่วม สินค้าราคาแพง การจัดการค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำที่ไม่ทั่วถึง ซึ่งไม่ตรงกับช่วงที่เดินสายหาเสียง รวมถึงมีการแต่งตั้งข้าราชการการเมืองที่ไม่เหมาะสม แก้รัฐธรรมนูญ มุ่งช่วยพวกพ้อง อย่างไรก็ตาม กลุ่มพลังเงียบดังกล่าว ยังให้โอกาสรัฐบาล เนื่องจากไม่ต้องการเห็นบ้านเมืองวุ่นวาย ด้านกลุ่มคนที่ไม่สนับสนุนรัฐบาล พบว่า พร้อมที่จะออกมาเคลื่อนไหว แต่ขาดผู้นำที่ไว้ใจได้และ น่าศรัทธา เนื่องจากมองว่าที่ผ่านมา แกนนำผู้ชุมนุม มีผลประโยชน์แอบแฝงเสมอ ขณะที่เรื่องของปัจจัยในการส่งเสริมให้รัฐบาลอยู่ได้ไม่นานนั้น ร้อยละ 84.1 ระบุว่า คือ การทุจริตคอร์รัปชั่น หาประโยชน์ใส่ตัวและพวกพ้อง ขณะที่ร้อยละ 28.6 ระบุสาเหตุที่อาจส่งผลให้รัฐบาลอยู่ได้ไม่นาน เป็นเรื่องการมุ่งช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นต้น.
“เต้น,ตู่” กินข้าวบ้าน “เหลิม”
    
ในช่วงค่ำ ที่บ้านริมคลอง เวลา 19.30 น. นายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ส.ส. ระบบบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยนายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ และนายอารีย์ ไกรนรา เลขานุการ รมว.มหาดไทยได้เดินทางมาถึงบ้านริมคลอง เพื่อรับประทานอาหารร่วมกับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ โดยร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า นายจตุพรมีข้อมูลดีจึงต้องมีการพูดคุยกัน ด้านนายณัฐวุฒิและนายจตุพรได้แสดงท่าทีแปลกใจที่มีสื่อมาติดตามทำข่าวเป็น จำนวนมาก โดยระบุว่าเป็นเรื่องใหญ่เลยหรือ 
   
ทั้งนี้ ร.ต.อ.เฉลิม ให้สัมภาษณ์ถึงการนัดหมายนายจตุพร และแกนนำ นปช.มารับประทานอาหารค่ำร่วมกันว่า ปกตินายจตุพรก็มาทานข้าวเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ในวันที่ 4 ก.ย. คงมีการพูดคุยกันถึงข้อมูลที่นายจตุพร ออกมาระบุว่าจะมีขบวนการล้มรัฐบาลในช่วงเดือน ธ.ค. โดยเรื่องนี้นายจตุพรไม่เคยเล่าให้ตนฟังมาก่อน ส่วนจะมีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด ตนคงต้องรับฟังข้อมูลกับนายจตุพร อย่างไรก็ตามนายจตุพรเป็นคนที่มีการข่าวที่ดี ซึ่งจะได้มีการพูดคุยกัน

โผนายพลปราบแดงได้ดี
    
รายงานข่าวจากกองทัพเปิดเผยว่า บัญชีรายชื่อโยกย้ายนายทหารประจำปี 2554 ในส่วนกองทัพบก ที่ได้ส่งถึงมือ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมว.กลาโหม คาดว่าภายในสัปดาห์นี้จะส่งมอบให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ เพื่อนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ รายงานข่าวเปิดเผยต่อว่า โผทหารครั้งนี้ทาง พล.อ.ยุทธศักดิ์ ไม่เข้ามาล้วงโผเลย และมีบางตำแหน่งเห็นขัดแย้งกันบ้างแต่ก็ไม่มีการเสนอแก้ไข สำหรับรายชื่อนายทหารที่มีส่วนการปราบคนเสื้อแดง ที่ได้พิจารณาขึ้นมาสู่ตำแหน่งที่สำคัญประกอบด้วย พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ เสธ.ทบ. ขึ้นเป็น รอง ผบ.ทบ. พล.ท.โปฎก บุนนาค ผบ.หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (นสศ.) เป็น ผช.ผบ.ทบ.
    
พล.ท.ศิริชัย ดิษฐกุล รอง เสธ.ทบ. ก็ขึ้นมาเป็น เสธ.ทบ. รวมทั้ง พล.ท.ฉัตรชัย สาริกัลยะ ผช.เสธ.ทบ.ฝกบ.ก็ขยับเป็น ปลัดบัญชีทหารบก พล.ท.อำพน ชูประทุม ผช.เสธ.ทบ.ฝกพ.ก็ขยับ เป็น รอง เสธ.ทบ. พล.ท.วิลาศ อรุณศรี ผช.เสธ.ทบ.ฝขว. เป็น รอง เสธ.ทบ. พล.ท.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ ผช.เสธ.ทบ.ฝกร. เป็น รอง เสธ.ทบ.

นปช.นัดออกโรงกดดัน
   
ส่วน พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 และพล.ท.วรรณทิพย์ ว่องไว แม่ทัพภาคที่ 3 ยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิม จากเดิมได้รับการสนับสนุน เป็น ผช.ผบ.ทบ. สุดท้าย พล.อ.ประยุทธ์ ยังให้นั่งเป็นเก้าอี้ตัวเดิมไปก่อน เพราะเกรงว่าเหตุการณ์จากนี้ไปอาจจะไม่เหมือนเดิม เพราะพล.อ.ประยุทธ์ ไม่มั่นใจในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ในส่วนรัฐบาลก็ไม่มั่นใจในกองทัพ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ยังคงดึงเพื่อนร่วมรุ่น ตท.12 ขึ้นมาสู่อำนาจกองทัพเกือบทั้งหมด รวมทั้งยังดึง พล.ท.อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์ ที่ปรึกษาทบ. เป็นแม่ทัพภาคที่ 4 รวมทั้งดันน้องชาย พล.ต.ปรีชา จันทร์โอชา จากรองแม่ทัพภาคที่ 3 เป็นแม่ทัพน้อยที่ 3
    
รายงานข่าวเปิดเผยว่า หน่วยข่าวกองทัพยังได้รายงานว่า กลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งไม่พอใจการโยกย้ายนายทหารที่มีการสนับสนุนให้ผู้ที่มี ส่วนการปราบปรามคนเสื้อแดง จนนำไปสู่การเสียชีวิต 91 ศพ ขึ้นมานั่งในตำแหน่งสำคัญ ๆ ของกองทัพ ส่งผลเว็บไซต์และสถานีโทรทัศน์ในเครือข่ายคนเสื้อแดงได้ปลุกระดมให้คนเสื้อ แดงออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านและเดินทางชุมนุมหน้ากระทรวงกลาโหม เพื่อเรียกร้องขอความเป็นธรรมจาก พล.อ.ยุทธศักดิ์.    

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง