บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2554

แถลงการณ์ผลสอบคดีซุกหุ้น “ยิ่งลักษณ์” ให้การเท็จ วินมาร์ค”

ก.ล.ต. เผยแถลงการณ์ผลสอบคดีซุกหุ้น “ยิ่งลักษณ์” ให้การเท็จ วินมาร์ค” ไม่เข้าข่ายผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์ พร้อมชี้แจง ได้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่แล้ว ทั้งกรณีถือหุ้นของครอบครัวชินวัตร ในชินคอร์ป และเอสซี แอสเสท จึงถือว่าคดีน่าจะเป็นที่สิ้นสุด พร้อมระบุ “ยิ่งลักษณ์” ไม่มีหน้าที่รายงานถือหุ้น SHIN เหตุถือต่ำกว่า 5%
      
       นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยผ่านแถลงการณ์ชี้แจงกรณีการเคลื่อนไหวของเครือข่ายพลเมืองคัดค้าน นิรโทษกรรมคอร์รัปชันทักษิณ (คนท.) ที่เรียกร้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึง ก.ล.ต. ให้ดำเนินการต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ปาร์ตี้ลิสต์อันดับที่ 1 ของพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้เป็นไปตามผลของคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้น ก.ล.ต.ได้ตรวจสอบข้อมูลโดยละเอียดแล้ว ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ ก.ล.ต.มี 2 ประเด็น ดังนี้
      
       ประเด็นที่สืบเนื่องจากการที่ศาลฎีกาฯ ได้วินิจฉัยว่า การถือหุ้นในบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH (ชื่อเดิม SHIN) ของบุคคล 4 ราย (ซึ่งรวมถึงนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) และของบริษัท แอมเพิลริช อินเวสต์เมนท์ จำกัด เป็นการถือหุ้นแทน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร (ชินวัตร) ดังนั้น บุคคลที่ถือหุ้นแทนดังกล่าว จะถือว่ามีการรายงานการซื้อขายหลักทรัพย์อันเป็นเท็จหรือไม่
      
       ก.ล.ต.ชี้แจงว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้รายงานการขายหุ้นให้แก่บุคคลทั้ง 4 ราย และบริษัทแอมเพิลริชฯ ในปี 2543 ซึ่งศาลได้วินิจฉัยเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 ว่าไม่ใช่การขายจริง ในเรื่องนี้ ก.ล.ต.ได้กล่าวโทษ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษแล้ว (ดีเอสไอ) ตั้งแต่วันที่ 28 เมษายน 2553 ในข้อหาว่าไม่รายงานการเปลี่ยนแปลงการถือหลักทรัพย์ตามมาตรา 246 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ ซึ่งได้ครอบคลุมถึงการรายงานอันเป็นเท็จทั้งในปี 2543-2544 และการขายในปี 2549 ด้วย
      
       ทั้งนี้ ก.ล.ต.ได้รับหนังสือจากกรมสอบสวนคดีพิเศษลงวันที่ 21 ตุลาคม 2553 แจ้งว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษเห็นควรสั่งไม่ฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมานในกรณีการรายงานการถือหลักทรัพย์อันเป็นเท็จในปี 2543 และต่อมาพนักงานอัยการก็มีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องบุคคลทั้งสองในกรณีดังกล่าว แล้วเช่นกัน
      
       และในประเด็นที่ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ซึ่งศาลฎีกาฯ วินิจฉัยว่าถือหุ้นแทน พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน จะมีหน้าที่ประการใดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ หรือไม่นั้น เนื่องจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์มีจำนวนหุ้นที่เกี่ยวข้องต่ำกว่าร้อยละ 5 จึงไม่มีหน้าที่ต้องยื่นรายงานใดๆ ตามพระราชบัญญัติดังกล่าว
      
       ทั้งนี้ การกล่าวโทษดังกล่าว ก.ล.ต.ดำเนินการภายหลังจากที่มีคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ โดย ก.ล.ต.ก็ได้ส่งพยานหลักฐานทั้งหมดให้กรมสอบสวนคดีพิเศษและคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปแล้ว ดังนั้น สำหรับด้าน ก.ล.ต.จึงถือได้ว่าได้ปฏิบัติหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัติ หลักทรัพย์ฯ ครบถ้วนแล้ว
      
       ส่วนอีกประเด็น กรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ชี้แจงว่า ครอบครัวชินวัตรไม่เกี่ยวข้องกับการถือหุ้นในกองทุน 2 แห่ง และบริษัทวินมาร์ค โดยขัดต่อพยานหลักฐานที่ ก.ล.ต.ได้จากการตรวจสอบนั้น ก.ล.ต.ไม่สามารถดำเนินการต่อได้ เนื่องจากไม่เข้าองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 238 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ ที่ครอบคลุมเฉพาะการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ โดยเจตนาให้ผู้อื่นสำคัญผิดในข้อเท็จจริงเกี่ยวกับฐานะการเงิน ผลการดำเนินงาน หรือเกี่ยวกับราคาซื้อขายหลักทรัพย์ แต่ข้อเท็จจริงกรณีนี้เป็นเรื่องเฉพาะที่เกี่ยวกับการถือหุ้น มิใช่ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับบริษัทหรือราคาซื้อขาย จึงไม่เข้าลักษณะความผิดที่กฎหมายหลักทรัพย์กำหนดไว้
      
       และการชี้แจงดังกล่าวเกิดขึ้นในขั้นตอนทั่วไปที่ ก.ล.ต.สอบถามมิใช่การชี้แจงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามที่กำหนดไว้ในพระราช บัญญัติหลักทรัพย์ฯ จึงไม่ใช่ความผิดที่ ก.ล.ต.จะใช้อำนาจกฎหมายดำเนินการได้ตามมาตรา 302 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ
      
       อนึ่ง กรณีเกี่ยวกับการปกปิดโครงสร้างการถือหุ้นในบริษัทเอสซี แอสเสทฯ ตามประเด็นที่ 2 ก.ล.ต.ได้รวบรวบข้อมูลหลักฐานทั้งในและต่างประเทศ และส่งเรื่องไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษ เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2550 โดยมีการประสานความร่วมมือต่อเนื่องมาจนกรมสอบสวนคดีพิเศษได้มีความเห็นควร สั่งฟ้องบริษัท และนางบุษบา ดามาพงศ์ ในฐานะกรรมการบริษัทที่ร่วมลงนามในแบบดังกล่าวในความผิดฐานเปิดเผยข้อมูล เป็นเท็จในแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ตามมาตรา 278 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ และเห็นควรสั่งฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ในความผิดเกี่ยวกับรายงานการเปลี่ยนแปลงการถือหลักทรัพย์ และการไม่ทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ของบริษัทเอสซี แอสเสทฯ ตามมาตรา 246 และ 247 แห่งพระราชบัญญัติฉบับเดียวกัน
      
       ในปัจจุบันคดีนี้ได้ยุติแล้ว โดยพนักงานอัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องบุคคลทุกรายดังกล่าว ด้วยข้อเท็จจริงข้างต้น ก.ล.ต.จึงเห็นว่าได้ดำเนินการในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคำพิพากษาศาลฎีกาฯ หรือการถือหุ้นของครอบครัวชินวัตรในบริษัท ชินคอร์ป และบริษัท เอสซี แอสเสทฯ ตามอำนาจหน้าที่แล้ว และได้รายงานการดำเนินการให้คณะกรรมการ ก.ล.ต.ทราบในการประชุม เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2553 ด้วยแล้ว
      
       อย่างไรก็ดี หากปรากฏว่าข้อมูลใดใหม่ ก.ล.ต.ก็พร้อมจะพิจารณาเรื่องเหล่านี้อีกครั้ง และจะแจ้งดำเนินการในเรื่องนี้ต่อคณะกรรมการ ก.ล.ต.เพื่อทราบในการประชุมครั้งต่อไปด้วย

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง