สำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ปัจจุบันแปลงร่างมาเป็นสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ( กสทช.) เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักกรณีใช้งบประมาณในการเช่ารถยนต์ประจำตำแหน่ง ,จ้างที่ปรึกษาในโครงการ 3G ซื้อวิทยุแจกกรมวังผู้ใหญ่ และงบประมาณประชาสัมพันธ์สร้างภาพลักษณ์องค์กรรวมหลายร้อยล้านบาท ล่าสุดสำนักงาน กสทช. ได้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อีกครั้งกรณีรับของขวัญมูลค่าเกิน 3,000 บาทจากเอกชนที่อยู่ภายใต้กำกับของ กสทช.
ทั้งนี้ สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2555 ที่ผ่านมา สำนักงาน กสทช. ได้จัดงานกีฬาสีและงานเลี้ยงประจำปีขึ้น กิจกรรมในงานตอนเย็นคือจับสลากของขวัญจาก กสทช.และ ผู้บริหารสำนักงาน เพื่อมอบให้พนักงานที่ร่วมงาน ปรากฏว่าของรางวัลพิเศษที่ สำนักงาน กสทช.ได้รับจากเอกชนและแจกให้พนักงานในวันนั้นประกอบด้วย โทรศัพท์เคลื่อนที่ (I Phone 4s 64 GB) 1 เครื่องจากบริษัท AIS และ ตุ๊กตาน้องอุ่นใจ จากบริษัท AIS อีก 15 รางวัล นอกจากนี้บริษัท เอ็มบิส จำกัด ยังส่งกล้อง ดิจิตอล ยี่ห้อ ฟูจิ 1 ตัว , Digital Photo Frame 1 ตัว ,โทรศัพท์เคลื่อนที่ยี่ห้อซัมซุง กาแลกซี่มินิ 1 เครื่อง และ ซัมซุง พันช์ 1 เครื่อง (Sumsung Punch) รวม 4 รางวัลเป็นของขวัญของรางวัลอีกด้วย
รายงานข่าวแจ้งว่า นอกจากการรับของขวัญรายการดังกล่าว ยังมีข้อมูลระบุว่า ผู้บริหารธุรกิจสื่อสารรายใหญ่แห่งหนึ่งได้นำกล่องของขวัญปีใหม่ไปมอบให้ กรรมการ กสทช.คนละอย่างน้อย 1 ชิ้นไม่รวมของขวัญพิเศษ มีคนเห็นว่าเป็นโทรศัพท์เคลื่อนที่ I Phone 4s ขนาด 64 GB มูลค่าเครื่องละเกือบ 30,000 บาท มอบให้กรรมการ กสทช. โดยอ้างว่าทดลองใช้ อย่างไรก็ตามไม่แน่ใจว่ากรรมการ กสทช.แต่ละคนรับของขวัญจากเอกชนรายนี้หรือไม่
สำนักข่าวอิศรารายงานว่า (www.isranews.org) การรับของขวัญของรางวัลที่มีมูลค่าสูงดังกล่าวได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงเหมาะ สม เนื่องจากเอกชน 2 รายก่อนหน้านี้ และเอกชนรายหลัง อาจมีส่วนได้ส่วนเสียกับ กสทช. ขณะเดียวกันอาจมีปัญหาขัดต่อประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต แห่งชาติ กรณี ห้ามรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากบุคคลอื่นซึ่งมิใช่ญาติมีราคาหรือมี ค่าเกิน 3,000 บาท
ทั้งนี้ ประกาศของ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ดังกล่าวออกตามความ มาตรา 103 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา103 บัญญัติว่า ห้ามเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดรับทรัพย์สินหรือประโยชนอื่นใดจากบุคคล นอกเหนือจากทรัพย์สินหรือประโยชน์อันควรได้ตามกฎหมาย หรือกฎ ข้อบังคับที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เว้นแต่การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดตามธรรมจรรยา ตามหลักเกณฑ์และจำนวนที่ คณะกรรมการ ป.ป.ช.กำหนด
บทบัญญัติในวรรคที่หนึ่งให้ใช้บังคับกับการรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด ของผู้ซึ่งพ้นจากการเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐมาแล้ยังไม่ถึง2 ปีด้วยโดยอนุโลม
วันที่ 30 พฤศจิกายน 2543 นายโอภาส อรุณินท์ ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ได้วางหลักเกณฑ์การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยธรรมจรรยาของเจ้า หน้าที่ของรัฐ พ.ศ. 2543 สรุปสาระสำคัญดังนี้
1. ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากบุคคลภายนอก เว้นแต่โดยธรรมจรรยาได้แก่ การรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดจากญาติ หรือจากบุคคลที่ให้กันในโอกาสต่างๆ โดยปกติตามขนบธรรมเนียมประเพณี หรือวัฒนธรรม หรือให้กันตามมารยาทที่ปฏิบัติกันในสังคม การรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด โดยธรรมจรรยาได้ดังต่อไปนี้
1) จากญาติซึ่งได้โดยเสน่หาตามจำนวนที่เหมาะสมตามฐานานุรูป 2) จากบุคคลอื่นซึ่งไม่ใช่ญาติมีราคาหรือมูลค่าในการรับจากแต่ละบุคคล และแต่ละโอกาสไม่เกินสามพันบาท 3) เป็นการให้ในลักษณะให้กับบุคคลทั่วไป
2. การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากต่างประเทศ ซึ่งมิได้ระบุให้เป็นการส่วนตัว หรือมีราคา หรือมูลค่าเกินกว่าสามพันบาท เจ้าหน้าที่ของรัฐมีเหตุผลความจำเป็นที่จะต้องรับเพื่อรักษาไมตรี มิตรภาพหรือความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล ให้รายงานรายละเอียดข้อเท็จจริงให้ผู้บังคับบัญชาทราบโดยเร็ว หากผู้บังคับบัญชาเห็นว่าไม่มีเหตุที่จะอนุญาตให้ยึดถือไว้เป็นประโยชน์ส่วน บุคคล ให้ส่งมอบทรัพย์สินให้หน่วยงานที่เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นสังกัดอยู่โดย ทันที
3. การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดที่ไม่ได้เป็นไปโดยธรรมจรรยา มีราคาหรือมูลค่าเกินกว่าสามพันบาท เจ้าหน้าที่ของรัฐมีเหตุผลจำเป็นที่จะต้องรับเพื่อรักษาไมตรี มิตรภาพ หรือความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคลให้รายงานรายละเอียดข้อเท็จจริงให้ผู้ บังคับบัญชาซึ่งเป็นหัวหน้าส่วนราชการโดยทันที เพื่อวินิจฉัยว่ามีเหตุผลความจำเป็นที่จะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์ไว้เป็นสิทธิของตน หรือไม่ กรณีมีคำสั่งไม่สมควรรับให้คืนทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยทันที กรณีไม่สามารถคืนได้ ให้ส่งคืนหน่วยงานของเจ้าหน้าที่ที่ผู้นั้นสังกัดโดยเร็ว เมื่อมีการดำเนินการแล้วให้ถือว่าเจ้าหน้าที่ผู้นั้นไม่เคยรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์เลย (ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 117 ตอน 118 ก 19 ธันวาคม 2543)
คมชัดลึก
'สุรพงษ์'เผยเตรียมแจกไอแพดขรก.บัวแก้ว
"สุรพงษ์"เผยเตรียมแจกไอแพดขรก.กระทรวงการต่างประเทศ ควง "ยิ่งลักษณ์" เยือนเขมร 15 ก.ย.นี้ พร้อมเจรจาช่วย "วีระ-ราตรี" พ้นคุกเปรซอร์ ยินดี "องอาจ" นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีเงาต่างประเทศ ครม.รับทราบกรอบกองทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาคอาเซียน
วันที่ 6 ก.ย.2554 ที่โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ เป็นประธานเปิดการประชุมเจ้าหน้าที่กงสุลทั่วโลก ประจำปี 2554 โดยมีเนื้อหาสรุปว่า งานกงสุลถือเป็นหัวใจของงานบริการของกระทรวงการต่างประเทศ เพราะได้สัมผัสใกล้ชิดกับประชาชน โดยช่วยเหลือคนไทยทั่วโลก ซึ่งรัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาว่าจะสนับสนุนการทูตเพื่อคุ้มครองผล ประโยชน์ของคนไทยในต่างแดน และคาดหวังว่าเจ้าหน้าที่จะมีจิตใจรักบริการ อดทน เอาใจเขามาใส่ใจเรา มีความยืดหยุ่นภายใต้กรอบอำนาจหน้าที่ทั้งกับคนไทยและต่างแดน เพื่อให้งานกงสุลมีประสิทธิภาพ เจ้าหน้าที่กงสุลต้องเข้าถึงคนไทยในต่างประเทศ รวมทั้งนักธุรกิจ แรงงาน แม่บ้าน และนักเรียนนักศึกษา โดยต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและเครือข่ายกับสมาคม ชมรม วัดไทย เพื่อรับทราบความต้องการของคนไทยในต่างประเทศ นอกจากนี้ต้องเน้นการทูตเชิงรุก เพื่อป้องกันปัญหาและเตือนภัย รวมถึงต้องมีการวางแผนรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับคน ไทยเมื่อ ถามถึงการเพิ่มบุคลากรและงบประมาณของกระทรวงการต่างประเทศ นายสุรพงษ์ กล่าวว่า เท่าที่ได้ตรวจเยี่ยมพบว่า บุคลากรไม่เพียงพอ ทำงานหนักมาก เช่น กรมอาเซียน มีข้าราชการเพียง 10 กว่าคน ขณะที่ประเทศไทยกำลังจะไปสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558
ควง"ยิ่งลักษณ์"เยือนเขมร15ก.ย.นี้
นายสุรพงษ์กล่าวถึงกำหนดการเยือนกัมพูชา ของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ ว่า คณะนายกฯจะเดินทางวันที่ 15 ก.ย.นี้ ส่วนกำหนดการที่แน่นอนอยู่ระหว่างการประสานกับฝ่ายกัมพูชา และจะมีการเดินทางไปสปป.ลาวด้วย สำหรับการเดินทางไปกัมพูชาครั้งนี้เพื่อแนะนำตัวในโอกาสเข้ารับตำแหน่งใหม่ เมื่อถามว่าจะมีการพบหารือกับนายฮอร์ นัมฮง รองนายกฯ และรมต.ต่างประเทศ ด้วยหรือไม่ นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ยังดูเวลากำหนดการอีกครั้งนี้ เพราะตนต้องติดตามคณะของนายกรัฐมนตรี
เมื่อถามว่า ในการเยือนครั้งนี้จะได้หารือถึงเรื่องการช่วยเหลือนายวีระ สมความคิด และน.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรย์ สองแกนนำกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ ที่ถูกจำคุกที่เรือนจำเปรยซอว์ ด้วยหรือไม่ นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ตนพร้อมจะพูดคุย แต่ต้องรอดูจังหวะก่อน โดยหากยังไม่มีโอกาสหารือในครั้งนี้ ตนก็จะกลับไปกัมพูชาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อถามถึงความเป็นอยู่ของสองคนไทย รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า ทราบว่าทั้งสองได้รับการดูแลอย่างดีจากสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงพนมเปญ โดยได้จัดส่งอาหาร และอำนวยการสะดวกให้ญาติของนายวีระ และน.ส.ราตรี ได้เข้าไปเยี่ยมได้มากกว่าปกติ
ผู้สื่อ ข่างถามถึงการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศ นายสุรพงษ์ กล่าวว่า จะยึดหลักอาวุโส คิดว่าในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศ ไม่น่ามีปัญหา เพราะทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน และยึดหลักอาวุโส หากปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เสนอมาอย่างไร ก็พิจารณาไปตามนั้น เมื่อถามว่ายืนยันได้หรือไม่ว่าจะไม่มีใบสั่งจากฝ่ายการเมือง นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ไม่มี หากท่านปลัดฯ เสนอมาอย่างไร ก็จะดำเนินการไปตามนั้น ปีนี้มีเกษียณ 19 คน ซึ่งก็ใช้กฎเกณฑ์เดิม
เมื่อถามถึงข้า ราชการที่เคยทำงานกับรัฐบาลชุดเก่าจะได้รับผลกระทบบ้างหรือไม่ นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ข้าราชการทุกคนในกระทรวงการต่างประเทศ ตั้งใจทำงานอยู่แล้ว ขอให้ทุกคนตั้งใจทำงานเหมือนเดิม อยู่ตำแหน่งไหนก็ใช้ได้ ไม่มีปัญหา ตนไม่ได้มีปัญหาเรื่องพวกนี้ อีกทั้งกระทรวงการต่างประเทศเป็นกระทรวงที่เรียบร้อยที่สุด อย่างไรก็ตามขณะนี้รายชื่อโยกย้ายข้าราชการยังไม่เสร็จสิ้น และคิดว่าในช่วงที่ตนเดินทางไปต่างประเทศ ก็จะดำเนินการ และจะพิจารณาเสนอครม.โดยเร็ว
เมื่อถามถึงความคืบหน้าใน การแต่งตั้งข้าราชการการเมืองในส่วนที่เหลือของกระทรวงการต่างประเทศ นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ที่จริง อยากเสนอรายชื่อตำแหน่งที่ปรึกษารมว.ต่างประเทศ ในการประชุมครม.วันนี้ (6 ก.ย.) จึงเตรียมจะเสนอรายชื่อในสัปดาห์หน้า และจากนั้นจะเสนอแต่งตั้งตำแหน่งผู้ช่วย รมว.ต่างประเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ด้านการเมือง
เมื่อถามถึง กรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ แต่งตั้งรัฐบาลเงา โดยให้นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ เป็นรมว.ต่างประเทศเงา เพื่อตรวจสอบการทำงานของกระทรวงการต่างประเทศ นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ดีใจ และขอแสดงความยินดีที่ได้มาเป็นรัฐมนตรีเงาของกระทรวงการต่างประเทศ และอยากให้ท่านติดตามงานที่ตนได้ดำเนินการ อย่างน้อยถ้าตนทำได้ดี จะได้ทำตามที่ตนได้ทำไว้ อันไหนที่ตนทำไม่ดี ก็ขอให้เสนอแนะมา ตนจะรับฟังคำชี้แนะของท่าน อย่างไรก็ตามตนคิดว่ากระทรวงการต่างประเทศ วันนี้ในทางการเมืองคงจะน้อยลง แต่จะเน้นเรื่องการสร้างความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน และการนำพาประเทศไทยกลับสู่ความเป็นผู้นำในอาเซียนเหมือนกับในอดีต รวมทั้งการสร้างความเข้าใจกับประเทศในภูมิภาคอื่น เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับต่างชาติว่าขณะนี้ประเทศไทยได้สงบแล้ว ก็สามารถกลับมาลงทุน ก็ขอให้นายองอาจ ได้ติดตามงาน
ครม.รับทราบกรอบกองทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภูมิภาคอาเซียน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมครม.วันนี้ คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอดังนี้ 1. เห็นชอบกรอบการเจรจาสำหรับการจัดตั้งกองทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานใน ภูมิภาคอาเซียน [Asean Infrastructure Fund (AIF)] และให้นำกรอบการเจรจาดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาเพื่อให้ความเห็น ชอบต่อไป 2. มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้แทนเข้าร่วมการเจรจาและ สามารถผูกพันวงเงินลงทุนในกองทุนฯ ในส่วนของประเทศไทยได้ตามความเหมาะสม ซึ่งในเบื้องต้นนี้ จะเป็นจำนวนเงิน 15 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยให้ดำเนินการต่อไปได้ เมื่อกรอบการเจรจาตามข้อ 1. ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาแล้ว
โดยสาระของเรื่องนี้นั้น กองทุน AIF จะมีเงินลงทุนเริ่มต้นจำนวน 485.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แบ่งเป็นเงินที่จะมาจากประเทศสมาชิกอาเซียน 335.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และจาก ADB 150 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประเทศไทยได้แสดงท่าทีในเบื้องต้นว่า จะสามารถร่วมลงเงินได้จำนวน 15 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) โดยจะร่วมลงทุน (Co-financing) กับ ADB ในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาคอาเซียนในอัตราส่วน 30 : 70 และมีแผนที่จะออกตราสารทางการเงินกึ่งหนี้กึ่งทุน (Hybrid Bond) และการออกพันธบัตร (Bond) รวมถึงการเพิ่มเงินกองทุนจากผู้ลงทุนรายเดิมและผู้ลงทุนรายใหม่ โดยคาดว่ากองทุน AIF นี้จะมีความน่าเชื่อถือในระดับที่ธนาคารกลางของประเทศสมาชิกอาเซียนสามารถ ถือพันธบัตร AIF เป็นส่วนหนึ่งของเงินสำรองระหว่างประเทศได้
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น