บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันพุธที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ทางเลือกทางรอดประเทศไทย “อำมาตยาฯหรือทุนทรราช”



ทางเลือกทางรอดประเทศไทย “อำมาตยาฯหรือทุนทรราช”
โดย Tan Rasana เมื่อ 5 ตุลาคม 2011 เวลา 12:34 น.
เขียนเอาไว้ตั้งแต่ปี ๒๕๕๒ เอามาให้อ่านกันใหม่ คิดว่ายังไม่เชย
 
ทางเลือกทางรอดประเทศไทย “อำมาตยาฯหรือทุนทรราช”
                                     
          วาทะกรรมอันร้อนแรงของทักษิณ ชินวัตรที่ประกาศจะล้ม “อำมาตยาธิปไตย”คือการแสดงท่าทีที่แจ่มชัดในการเคลื่อนไหวทางการเมืองซึ่งเรียกได้ว่าเป็นการ “ทิ้งไพ่ใบสุดท้าย” ทำให้รอยปริร้าวบนความแตกต่างทางความคิดของผู้คนในประเทศแตกหักในทันที  คล้ายจะเป็นการปักป้ายประกาศทางเลือกระหว่างการปกครองแบบสองระบอบอ้างอิงความเป็นประชาธิปไตย
 
          และมันก็คือการประกาศสงคราม...//
 
          สงครามที่บรรดาเหล่าขุนพลเองไม่รู้ว่าด้วยซ้ำว่า แม่ทัพของเขากำลังอยู่บนส่วนไหนของเปลือกโลก  ขณะที่สงครามนี้ เป็นสงครามที่หมิ่นเหม่ที่จะเกิดการปะทะกันระหว่างมวลชนอย่างยิ่ง
 
          อนึ่ง วาทะกรรมทางการเมืองที่ใช้เรียก “อำมาตยาธิปไตย”และกลยุทธการใช้ข้ออ้างนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่  ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย การรัฐประหาร ๒๔๗๕ และการเรียกร้องสิ่งที่เรียกว่าประชาธิปไตยในยุคนั้นก็ได้พุ่งปลายหอกไปสู่ “คณะอภิรัฐมนตรี”ที่อยู่แวดล้อมกษัตริย์ หรือหากจะใช้วาทะกรรมของทักษิณ ชินวัตร ก็ต้องบอกว่าเป็น “พวกรอบวัง” ต่างกันก็แต่บทบาท อำนาจและกาลเวลาหากสถานะและหน้าที่เกือบจะคล้ายคลึงกัน 
 
          ย้อนกลับไปพิจารณาทบทวนการพัฒนาประชาธิปไตยในบ้านเมืองของเรา หลังจากที่ระบบทุนได้เข้ามามีบทบาทเหนือการเมืองสักนิด 
 
          ใช่หรือไม่ว่า-ประชาธิปไตยได้กลายเป็นข้ออ้างของนักเลือกตั้งผู้หาวิธีเข้าสู่อำนาจได้อย่างง่ายๆโดยวิธีการล่อซื้อคะแนนด้วยเงินรายหัวที่มีค่าเท่ากับอาหารของคนชั้นกลางเพียงจานเดียว  โดยมีเป้าหมายเพื่อเข้าไปแสวงหาผลประโยชน์ทางธุรกิจของตนเอง
 
          ใช่หรือไม่ว่า-อาชีพนักการเมืองได้กลายเป็นอาชีพเพื่อการลงทุนไปเสียแล้ว
 
          และใช่หรือไม่ว่า-ระบบทุนได้เข้ากลืนกินระบอบประชาธิปไตยไปเกือบครึ่งค่อนเข้าไปแล้ว
 
          ไม่ใช่เพียงแต่เม็ดเงินจากการถอนทุนคืน  บรรดาผู้ที่อ้างตนมาจากการเลือกตั้งได้ยังได้รับอภิสิทธิ์ในเรื่องของเกียรติยศและศักดิ์ศรีที่สำคัญก็คืออำนาจ
 
          อำนาจ...ซึ่งในท้ายที่สุด มันจะกลายเป็นเครื่องมือที่ถูกนำกลับมาขูดรีดสังคมอย่างฝังเร้นและฉ้อฉล แต่มันได้ถูกทำให้กลายเป็นสิ่งชอบธรรมโดยช่องว่างของกฎหมาย บนความเพิกเฉยของเจ้าพนักงานแห่งรัฐที่ต้องคอยพินอบพิเทาต่อศูนย์อำนาจดังกล่าว
  
          สำหรับนักการเมืองที่มักน้อย กินน้อย ก็ยังได้อานิสงค์จากวิธีการเลือกตั้งว่า อย่างน้อยก็มีความชอบธรรมที่จะเชิดหน้าชูตาในรัฐสภาอันทรงเกียรติ และก็มักจะได้รับสมญาว่าเป็นนักการเมืองคุณภาพ  และได้กลายมาเป็นบุคลากรทางการเมืองผู้มีอุดมการณ์ ผู้ที่ได้สร้างความหวังให้แก่การพัฒนาระบอบประชาธิปไตยไทยที่ไม่เคยบรรลุสู่เป้าหมายในทางเป็นจริง
 
          อันเนื่องมาจากการที่นักเลือกตั้งในระบบทุนเข้าสู่อำนาจได้โดยการฉ้อฉลติดสิบบนหัวคะแนนและล่อซื้อเสียงจากผู้มีสิทธิ์  การดำรงอยู่ของพวกเขาจึงต้องขยันหมั่นเพียรอย่างยิ่งที่จะทำตนให้เป็นที่ปรากฎต่อสาธารณะในรูปแบบอันกล้าหาญต่างๆ ซึ่งอ้างว่าอิงแอบกับผลประโยชน์ประชาชน  เช่น
          -สร้างนโยบายรัฐสวัสดิการ เพื่อเรียกคะแนนนิยม แต่กลับปกปิดความจริงที่เกิดความเสียหายเชิงหลักการและผลกระทบอื่นๆที่ตามมา เพียงเพราะต้องการให้ถูกใจประชาชนมากกว่าความถูกต้องตามหลักการบริหารระบบที่ต้องพิจารณาอย่างเป็นองค์รวม
 
          -ปรากฏตัวตามสื่อ เพื่อสร้างวาระที่ให้ประชาชนลืมไม่ลง หรือแม้กระทั่งการชิงไหวชิงพริบที่น่าเอือมระอาเพื่อให้ได้มีโอกาสได้ลุกขึ้นถกเถียงกันอย่างดื้อด้านในช่วงเวลาของการถ่ายทอดสดการประชุมสภา
 
          -สร้างวาทกรรมทางการเมืองและนำเอาเทคนิคการใช้คำขวัญโฆษณา หากเวลาใดที่พวกเขาเกิดความไม่มั่นคงอันเนื่องมาจากถูกตรวจสอบ ถูกเปิดโปงคดีคอร์รัปชั่นของตนเอง พวกเขาจะเร่งรีบเค้นสมองเพื่อการนี้
 
          และวาทกรรมสำเร็จรูปแบบอาหารแดกด่วนที่ง่ายต่อการหยิบฉวยมาใช้ ก็คือ อ้างความเป็นรัฐบาลที่มาจากหีบเลือกตั้ง แต่ทำเป็นลืมไปว่า บัตรแต่ละใบในหีบได้มาจากการมือที่ตนซื้อเสียงไปทั้งหมดแล้ว
 
          ข้อเท็จจริงเหล่านี้ทำให้ผู้คนเบื่อหน่ายต่อนักเลือกตั้งและผู้ที่พล่ามพูดถึงความเป็น “รัฐบาลประชาธิปไตย”จนกลายเป็นบทอาขยานสำหรับเขา
 
          พวกเขาจงใจที่จะบิดเบือนความเป็นจริงที่ว่า ประชาธิปไตยหรือเผด็จการนั้นแท้ที่จริงเป็นทั้งได้วิธีการและอุดมการณ์  รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่อ้างว่าเป็นรัฐบาลประชาธิปไตยนั้น ก็อาจจะกลายเป็นรัฐบาลเผด็จการได้ หากใช้วิธีการแบบเผด็จการในรัฐสภา เช่น ใช้อำนาจเงินฟาดหัวส.ส.ในรัฐสภาเพื่อโหวตให้กับผลประโยชน์ของตนในการออกกฎหมายเอื้อผลประโยชน์ให้แก่ธุรกิจ เป้าหมายก็คือการลดค่าสัมปทานที่ตนเองเป็นผู้ครอบครอง การใช้อำนาจเหนือเจ้าพนักงานของรัฐให้ช่วยหาช่องว่างทางกฎหมายเพื่อการหลีกเลี่ยงภาษี ปรากฏการณ์ดั่งนี้ย่อมไม่ใช่อุดมการณ์ประชาธิปไตยอย่างแน่นอน   
 
           ตรงกันข้าม หากนำเอาวิธีการเผด็จการมาใช้เพื่อผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ เพื่อรักษาแผ่นดินถิ่นเกิด รูปแบบที่เป็นเผด็จการนั้น ก็อาจจะสร้างสรรค์ประโยชน์สุขแก่คนส่วนรวมได้ และหลายครั้งยังจะสอดคล้องต้องกันกับอุดมการณ์ประชาธิปไตยมากกว่า
 
          และอย่าหลงลืมว่า รัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทย ได้มาจากปากกระบอกปืนและการรัฐประหารเมื่อ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๙๗
 
          ถามว่า..ทำไม นักการเมืองจึงต้องตีตรวนถาวร ล่ามโซ่ภาพลักษณ์เผด็จการอย่างไม่มีวันสลัดหลุดให้แก่กองทัพ รถถังและอำนาจปืน จนกระทั่งเกินเลยต่อความพอดี เกินเลยที่จะยอมรับว่า มันคือสิทธิเสรีภาพการแสดงออกในระบอบประชาธิปไตย เพราะมันเกินเลยต่อความเป็นธรรมของผู้ที่อยู่ในสถาบันหนึ่ง (การเมือง)จะยัดเยียดภาพลักษณ์อย่างนี้ให้กับผู้ที่อยู่ในอีกสถาบันหนึ่ง(กองทัพ)โดยที่พวกเขาไม่มีโอกาสได้ตอบโต้
 
          ซึ่งความเกินเลยแบบนี้มันก็คือรูปแบบของเผด็จการอย่างหนึ่ง..เผด็จการทางความคิด
 
          ตอบได้ง่ายๆว่า ศัตรูต่อความมั่นคงของนักเลือกตั้งไม่ใช่ใครที่ไหน  มันก็คือกองทัพ ปืนและรถถังที่พวกเขาตราหน้าเสมอมาว่า นั่นคือสัญลักษณ์ของระบบเผด็จการ ตอกย้ำกับประชาชนอย่างนั้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันโดยตัดตอนประวัติศาสตร์ทิ้ง  ทำให้ผู้คนลืมคิดไปว่า รัฐธรรมนูญและระบอบการปกครองที่บรรดานักการเมืองแอบอ้างความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของอยู่เวลานี้นั้น ที่แท้ก็ได้มาจากปากกระบอกปืนและสิ่งที่พวกเขาเกลียดกลัวราวปีศาจนั่นก็คือการ “ปฏิวัติ”(รัฐประหาร)นั่นเอง
 
          หากพิจารณาด้วยความเป็นธรรมถึงขีดขั้นความรุนแรงระหว่างเผด็จการสองจำพวก
 
          จะเห็นได้ว่า เผด็จการทหารนั้น ลิดรอนเสรีภาพโดยเฉพาะต่อคนชั้นกลางที่โหยหาสิทธิอันพึงมีพึงได้ของตน หากแต่เผด็จการรัฐสภานั้นกลืนกินสังคมทั้งสังคม ไม่ว่าการขูดรีดโภคทรัพย์อันมีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ ทางการเมืองพวกเขาใช้เงินและความเป็นเสียงข้างมากแก้ไขกฎหมายรวมศูนย์อำนาจรัฐอย่างมั่นคงที่สุดไว้ที่ศูนย์กลางอำนาจบริหาร มีการเข่นฆ่าผู้คนและละเมิดสิทธิมนุษยชนไม่แพ้กัน ยิ่งไปกว่านี้ยังได้ปลูกฝังวัฒนธรรมใหม่ที่กลืนกินจิตวิญญาณ ประเพณี ค่านิยมความเชื่อ ให้ผู้คนคิดได้อย่างสามานย์เฉกเช่นผู้คนในระบบทุนที่ใกล้จะถึงจุดจบทั่วไป
 
           และการอ้างเอาว่า ประชาธิปไตยในประเทศต้องล้มลุกคลุกคลานเพราะเผด็จการทหารนั้น ก็อาจนับได้ว่าเป็นคำพูดที่เป็นจริง แต่มันเป็นความเป็นจริงเพียงครึ่งเดียว ความเป็นจริงที่เหลือและสำคัญกว่าที่ทำให้ประชาธิปไตยในบ้านเมืองมีพัฒนาการอย่างล่าช้า ล้มลุกคลุกคลานมาโดยตลอด ก็เพราะคุณภาพของนักการเมืองเอง และหลายต่อหลายเหตุการณ์ในอดีต ชี้ให้เห็นชัดว่า คุณภาพของนักการเมืองนี่เองเป็นเงื่อนไขหลักที่ทำให้เกิดการรัฐประหาร
 
           ในอดีต เราได้นักการเมืองผู้ปฏิสนธิมาจากนักโต้วาที ดาวไฮปาร์ค อิทธิพลท้องถิ่นและผู้รับเหมา เราเคยมีรัฐมนตรีกินป่า รัฐมนตรีกินยา  รัฐมนตรีกินอิฐหินดินปูน ทุกเมื่อเชื่อวัน ปัจจุบันก็ยังเป็นอยู่อย่างนี้ เรามีรัฐมนตรีปลากระป๋องเน่าข้าวสารบูด เรามีรัฐมนตรีมาเฟีย เรามีรัฐมนตรีกินลำไย กินกล้ายาง กินสายพานสุวรรณภูมิ ฯลฯ
 
          แต่ที่น่าทึ่งที่สุดในสำหรับระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆก็คือ..
 
          เราเคยมีนายกรัฐมนตรีผู้มาจากหีบเลือกตั้งที่โกงกินภาษีของประชาชน เราเคยได้นายกรัฐมนตรีผู้เป็นนักธุรกิจระดับแสนล้านซึ่งทั่วโลกต่างก็ยอมรับในความสามารถ แต่กลับหลบเลี่ยงการจ่ายภาษี ภาษีที่จะนำไปพัฒนาประเทศชาติเพื่อผู้ยากไร้ได้มีอยู่มีกิน
 
          ถ้าจะเปรียบเปรยเย้ยหยันแบบชาวบ้านก็ต้องบอกว่า เราเคยมีนายกรัฐมนตรีที่เป็นนักการเมืองแบบ “ทั้งกินที่ร้าน(โกงภาษี)-ทั้งห่อกลับบ้าน(หลบเลี่ยงการจ่ายภาษี)”
 
          บรรยากาศทางการเมืองทุกเมื่อเชื่อวันก็ยังเป็นอยู่อย่างนี้ สร้างความน่าเบื่อหน่าย ประชาชนเริ่มตั้งคำถามต่อการเลือกตั้งว่า วิธีการนี้จะสามารถนำพาประเทศไทยไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยได้อย่างแท้จริงหรือไม่ ในขณะที่บรรดานักการเมืองที่สังคมแทบไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าสลับสับเปลี่ยนเวียนกันเข้าเป็นรัฐมนตรีนั่งในตำแหน่งเจ้ากระทรวงเข้าบริหารประเทศกุมชะตาชีวิตคนไทย ๖๐-๗๐ ล้านคนชุดแล้วชุดเล่า
 
          วาทกรรมอันร้อนแรง“อำมาตยาธิปไตย” ที่นักการเมืองระบบทุนผู้อ้างความเป็นประชาธิปไตยสร้างขึ้น  หลังจากที่พวกเขาเองได้รับสมญาจากสังคมว่า “ทุนสามานย์”(ซึ่งแท้ที่จริงน่าจะใช้คำว่า “ทุนทรราช”เพราะเป็นคำที่มีสีสันทางชนชั้นมากกว่า)  ซึ่งเป็นอาการแกว่งปากหาเป้าและสาดน้ำลายรดฟ้าของพวกเขาในเวลานี้ ชี้ให้เห็นเจตนารมณ์อันชัดเจนของยุทธการ “ล้มเจ้า” แม้เพียงจะประกาศว่า ต้องการโค่น “อำมาตยาธิปไตย”เพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตยเอาไว้  แต่ในทางเป็นจริง มันได้บอกกล่าวกับสังคมให้เห็นอย่างชัดเจนถึงกลยุทธที่แม้ทหารเลวในกองทัพก็สามารถอ่านออกเข้าใจได้  
 
          ว่าความต้องการอันแท้จริงของพวกเขาก็คือการลิดรอนพระราชอำนาจของกษัตริย์โดยผลักดันให้ขึ้นไปสู่ที่สูง ในที่ที่ซึ่งไม่มีใครแตะต้องและแตะต้องใครไม่ได้ โดยตัดพระกรและสายพระเนตรพระกรรณทิ้งไปเสีย เพื่อสร้างระบอบใหม่ที่พวกเขาอ้างเอาว่ามันคือ ระบอบ“ประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข”.....???
 
          ปมเงื่อนของความแตกแยกในสังคม ไม่ใช่อะไรอื่น มันก็คือความพยายามแบ่งแยกมวลชนเพื่อใช้เป็นฐานในการเปลี่ยนแปลงสังคมประเทศไทยเสียใหม่ด้วยการ “รัฐประหารเงียบ”โดยระบบเผด็จการรัฐสภาที่ใช้เพียงกระสุนเงิน  พวกเขาได้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับ ๒๕๔๐ ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับ “นายทุนใหญ่”และได้ใช้ฐานมวลชนที่มีอยู่เรียกร้องเอามันกลับคืนมาแทนรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ซึ่งอ้างว่า เขียนขึ้นโดยนักกฎหมายที่มีปากกระบอกปืนจ่ออยู่เหนือศีรษะ   นอกจากนี้ยังพยายามแก้ไขกฎหมายอีกหลายฉบับเพื่อผลประโยชน์ทางการค้าและการหลบเลี่ยงภาษี  แก้ไขกฎหมายเพื่อรวมศูนย์ระบบราชการให้ขึ้นตรงต่อศูนย์อำนาจของฝ่ายบริหาร
 
          นั่นคือการเปลี่ยนนิยาม “ข้าราชการ”เสียใหม่ไปเป็น “เจ้าพนักงานแห่งรัฐ”..//
 
          อาจจะเป็นสิ่งที่ยอมรับกันได้ ถ้าหากอำนาจรัฐไม่ได้ตกไปอยู่ในมือของทุนทรราชและข้าราชการไม่ได้กลายเป็นพนักงานบรรษัทประเทศไทยที่กำลังจะพลัดหลงเข้าไปในกระแสโลกาวิบัติอันเชี่ยวกราก 
 
          ฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ผู้คนตระหนักชัด คือ ความพยายามของทุนทรราชที่จะก้าวข้ามเส้นจากความแป็น “ผู้จัดการรัฐ”(GOVERNER)ไปสู่การเป็น “ผู้ครอบครองอำนาจรัฐแบบเบ็ดเสร็จ”( NEO-ABSOLUTE MONARCHY) เพราะนั่นมันเท่ากับการกบฎต่อประชาชน  กบฎต่อระบอบประชาธิปไตย..//
 
          หากจะกล่าวในแง่นี้ ความขัดแย้งระหว่าง “ทุนทรราช” กับสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า “อำมาตยาธิปไตย”ก็น่าจะเดินทางมาถึงจุดแตกหักในหัวเลี้ยวประวัติศาสตร์พ.ศ.๒๕๕๒   ซึ่งจะเป็นการชี้ชะตาทิศทางประเทศไทยและชะตากรรมของคนไทยทั้งประเทศ
 
          ผลของงานวิจัยทั้งไทยและเทศในหัวเรื่องการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยในเมืองไทยเคยให้เหตุผลตรงกันว่า เมื่อใดประเทศไทยได้นักการเมืองคุณภาพด้อย เอาแต่โกงกินเมื่อนั้นระบอบที่เรียกว่า “อำมาตยาธิปไตย”ก็จะเข้มแข็ง แต่เมื่อใด เราได้นักการเมืองที่มีคุณภาพ ระบบการเมืองเข้มแข้ง อำนาจของบรรดาข้าราชการหรืออำนาจนอกรัฐธรรมนูญ(ซึ่งไม่มีในทางเป็นจริง)อื่นๆก็จะเข้ามาชำแรกแทรกแซงได้ยาก
 
          วีรชน ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ และวีรชน ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ พวกเขาได้พลีร่างและอุทิศชีวิตสู้กับเผด็จการทั้งรูปแบบและเนื้อหาของทหารกลุ่มหนึ่งเพื่อกรุยทางพัฒนาการเมืองให้ไปในทิศทางที่สมบูรณ์ทั้งวิธีการที่เป็นประชาธิปไตยและอุดมการณ์  ประชาธิปไตยที่เป็นของประชาชน เพื่อประชาชน โดยประชาชน หากวิญญาณลุกขึ้นร้องเรียนได้ เขาก็คงจะลุกขึ้นมาทวงชีวิตที่พวกเขาได้เสียสละไปกลับคืน เพราะไม่อาจทนเห็นการแอบอ้างเอาประชาธิปไตยขึ้นบังหน้าแล้วสร้างรูปแบบเผด็จการอย่างใหม่ขึ้น เผด็จการที่เต็มไปด้วยความรุนแรงแบบซ่อนเร้น อำนาจที่เหมือนจะกระจายแต่แท้จริงยิ่งกระจุก เป็นอำนาจที่เบ็ดเสร็จยากแก่การตรวจสอบ สภาพเศรษฐกิจที่ดูเหมือนจะดีแต่หนี้สินพอกพูนขึ้นทุกวัน ช่องว่างระหว่างความรวย-ความจนถ่างกว้างออกไปทุกที
 
          คนทำมาหากินหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินมาตลอดชีวิตโดยสุจริต ดำรงชีวิตอยู่อย่างชักหน้าไม่ถึงหลัง แต่บุตรหลานผู้เป็นทายาทนักการเมืองที่กำลังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย ไม่เคยปรากฏการลงแรงทำงานประกอบสัมมาอาชีพใด กลับกลายเป็นเศรษฐีพันล้านในช่วงเวลาเพียงปีสองปีที่บิดาดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้วยัดเยียดความร่ำรวยให้โดยการซุกหุ้นตบตาประชาชน
 
          เราควรจะเลือกระบอบไหน ระหว่าง “อำมาตยาธิปไตย”หรือ “ทุนทรราช”..หรือจะมีทางออกที่สาม???
                                                                  
                                                                  
                                                                                                                                                                    ๙ เมษายน ๒๕๕๒   
         
 

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง