แต่เมื่อสถานการณ์มาถึงจุดนี้ จับอาการแถลงข่าวของนายกรัฐมนตรี เหมือนกับออกมาบอกประชาชน ว่าให้ยอมรับสภาพที่จะเกิดขึ้น ไม่สามารถต้านมวลน้ำจำนวนมหาศาลที่มาจ่ออยู่หน้าบ้านด้านทิศเหนือของ กทม.ได้ ซ้ำต้องยอมปล่อยให้ท่วมกทม.บางพื้นที่ โดยครม.ประกาศให้เป็นวันหยุดราชการตั้งแต่ 27-31 ต.ค.นี้ พร้อมประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนคน กทม. ย้ายออกไปต่างจังหวัด
ส่วน ที่เหลือก็เหมือนรอให้หน่วยงานภาครัฐและเจ้าหน้าที่เข้าไปเยียวยาผู้ประสบ อุทกภัย หากรัฐบาลและ กทม.ป้องกันไว้ไม่อยู่ ซึ่งเค้าลางก็ปรากฏชัดขึ้นมาเป็นลำดับ ทั้งพื้่นที่ในเขตดอนเมือง สายไหม หลักสี่ บางพลัด จนถึงเขตเศรษฐกิจสำคัญอย่างเยาวราช เรื่อยไปถึงเขตลาดพร้าว วังทองหลางที่ถูกประกาศเป็นเขตเฝ้าระวังพิเศษ ทำให้เชื่อว่า กทม.คงมิอาจรอดพ้นจากน้ำท่วมไปได้ เพียงแต่จะหนักหนาสาหัสแค่ไหนเท่านั้น เพราะอาหาร น้ำดื่ม และสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิตก็เริ่มที่จะขาดแคลน ราคาพุ่งสูงขึ้นเสียแล้ว
แต่กับกรณีการกั๊ก ของบริจาค ที่ประชาชนจากทั่วประเทศบริจาคให้กับผู้ประสบอุทกภัยที่ปรากฏเป็นข่าวมาหลาย วันนั้น คนส่วนใหญ่ไม่อาจยอมรับได้ เนื่องจากสิ่งของเหล่านั้น ผู้บริจาคต้องการให้รัฐบาลโดยเฉพาะ ศปภ.ที่มีหน้าที่หลักแก้ปัญหาเรื่องน้ำท่วมโดยตรง ได้ส่งสิ่งของรับบริจาคเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นข้าวสารอาหารแห้ง น้ำดื่ม สิ่งที่จำเป็นในภาวะน้ำท่วม รวมไปถึงเรือพาหนะจำเป็น ในยามต้องอพยพออกจากพื้นที่วิกฤติ หรือ ใช้สัญจรในยามที่น้ำท่วมสูง จะต้องไปถึงมือของผู้ประสบอุทกภัยโดยเร็วที่สุด
ทั้งนี้ไม่ว่าจะตั้งใจเก็บไว้เพื่อนำไป แจกให้ผู้ประสบภัยในเขตพื้นที่รับผิดชอบ หรือหนักกว่านั้นคือการกั๊กของที่ได้รับบริจาคให้กลายมาเป็นกรรมสิทธิ์ของตน เอง หากเป็นความจริงก็ต้องถามว่า มีเหมาะสมหรือไม่ อย่างไร นี่ยังไม่นับรวมกรณี มีหญิงนิรนามคนหนึ่ง ไปอ้างชื่อของ"เจ๋ง" ไปขอเบิกของบริจาคที่ศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยที่ตั้งอยู่ที่สนามศุภ ชลาศัย
จะอย่าง ไรข้อมูลข่าวสารในโลกโซเชียลมีเดียก็ไปไกลกว่ามาก เมื่อปรากฏว่ามีประชาชนเข้าไปโพสต์แสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวางและหลาก หลาย ทั้งให้กำลังใจและในเชิงต่อว่าการทำหน้าที่ของศปภ. รัฐบาล รวมไปถึงแกนนำเสื้อแดงที่ตกเป็นจำเลยสังคมในแบบตั้งใจหรือไม่ก็ตาม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าทำให้ภาพพจน์ ศปภ.ยิ่งตกต่ำลงชนิดที่เรียกว่าน่าใจหาย
จน มาถึงกรณี นายฉลอง เรี่ยวแรง ส.ส.นนทบุรี เพื่อไทย ที่ต้องนับว่าเป็นคนกันเองกับกลุ่มนปช. ยังตัดสินใจออกมาโวยผ่านสื่อฯ ระบายความอัดอั้นในการทำงานของ ศปภ.ว่า "ตกลงตนเป็นส.ส.เพื่อไทยหรือนี่เป็นพรรคเสื้อแดงกันแน่ เพราะไปที่ศปภ.เพื่อขอถุงยังชีพให้กับชาวบ้านทั้งหมด 2,000 ชุด แต่ปรากฏว่าได้มาเพียงแค่ 500 ชุด ซึ่งไม่พอตนจึงคืนไป เพราะเมื่อขอแล้วได้เท่านี้สู้เอาเงินไปซื้อเองดีกว่า ต่างจากพวกเสื้อแดงที่ไปขอถุงยังชีพที่มีรถเอาไปส่งให้ถึงที่แถมยังได้ มากกว่าจำนวนที่ขอไปอีกด้วย ดังนั้นสงสัยว่าตกลงตัวเป็นส.ส.พรรคเพื่อไทยหรืออยู่พรรคเสื้อแดงกันแน่"
"วันนี้ เชื่อว่าการบริหารจัดการที่ไม่ทั่วถึงนั้นเกิดจากบางบุคคลเท่านั้น นายกฯคงจะไม่เกี่ยวข้องด้วย ส.ส.ไปขอของแต่กลับบอกให้เอารถไปขนเอง มีครั้งหนึ่งเคยไปขอตอนเที่ยงแต่ได้ของมาตอนสองทุ่ม ต่างจากพวกนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หรือนายยศวริศ ชูกล่อม เลขานุการรมช.มหาดไทย ที่มีรถขนของไปส่งให้ถึงที่ จัดรถให้ถึง 5 คันเอาถุงยังชีพไปให้ ทั้งนี้ที่ตนพูดในวันนี้พูดในนามส.ส.นนทบุรีอีก 3 คนด้วย ทุกวันนี้ต้องประสานไปยังอบต.นนทบุรี ซึ่งเป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อเอาถุงยังชีพมาช่วยเหลือประชาชน"นายฉลอง กล่าว...
สุดท้ายต้องขึ้นอยู่กับนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย จะต้องกล้าแสดงภาวะความเป็นผู้นำ กล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง ทำให้ความจริงกระจ่างออกมาให้ได้ว่ามีต้นสายปลายเหตุ ความเป็นมาอย่างไร พร้อมนำคนผิดมาลงโทษ หากทำไม่ได้ รัฐบาลและศปภ.ก็ต้องเผชิญกับวิกฤติความน่าเชื่อถือ ชึ่งขณะนี้เองก็ถือว่าตกต่ำมากอยู่แล้วจากเรื่องการแก้ปัญหาน้ำท่วมที่ สะท้อนภาวะไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ต่อไปอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
ดัง นั้นขอเตือนว่าจากนี้ไปอย่ามัวแต่'เกรงอกเกรงใจ'กับผู้เคยมีอุปการคุณกับ รัฐบาล หรือเป็นเหมือนกับ"น้ำท่วมปาก"อยู่อีกเลย ไม่งั้นแม้จะเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กๆ แต่หากชะล่าใจ รัฐบาลปู1 ก็อาจพังแบบที่เรียกว่า"ไม่รู้เนื้อรู้ตัวก็เป็นได้"
ไทยรัฐ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น