บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2554

กระบอกเสียงของกลุ่ม ที่อ้างว่าเป็นกลุ่มขบวนการปลดปล่อยสหรัฐปาตานี-Patani United Liberation Organization(PULO-พูโล) ในการอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ความรุนแรงรายวันชายแดนใต้

กระบอก เสียงของPULOกล่าวหาว่า อดีตรัฐบาลใช้ศอ.บต.หว่านซื้อมวลชนสารพัด แถมยังกวาดซื้อเสียงหัวละหนึ่งพันห้าร้อยบาท บางพื้นที่ถึงกับจี้บังคับว่าต้องได้คะแนนเท่านั้นเท่านี้ เพื่อเอาชนะอย่างเด็ดขาด เพื่อไม่ให้ศอ.บต.ต้องโดนยุบ และสกัดกั้นนโยบายจัดตั้งนครรัฐปัตตานีของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย

โดย ปาแด งา มูกอ
ที่มา เว็บไซต์PULO

27 สิงหาคม 2554

ขาประจำชายแดนใต้ ครับ.. วันนี้ขอนำบทความใน http://puloinfo.net/ กระบอกเสียงของกลุ่ม ที่อ้างว่าเป็นกลุ่มขบวนการปลดปล่อยสหรัฐปาตานี-Patani United Liberation Organization(PULO-พูโล) ในการอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ความรุนแรงรายวันชายแดนใต้

แต่หน่วยงานของรัฐในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ กลับไม่ให้ความสนใจซักเท่าไหร่

แต่ผมกลับมองว่า นี่คือ “สงครามไซเบอร์” ของฝ่ายตรงข้าม ที่ก้าวล้ำไปกว่าหน่วยงานภาครัฐ จะจริงเท็จอย่างไร ขบวนการนี้มีจริงหรือไม่ นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ

แต่ที่สำคัญมากๆก็คือ เว็ป puloinfo ดังกล่าว มันได้เพาะเชื้อ “นักรบไซเบอร์” ให้เกิดขึ้นอย่างมากมายในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้

ประเด็นนี้แหล่ะครับ ที่ทำให้ หน่วยงานของรัฐจับทางในการแก้ไขปัญหาไฟใต้ผิดพลาดมาโดยตลอด (หรือแกล้งโง่ก็ไม่รู้)

เว็ปดังกล่าว ได้ลงบทความติดต่อกัน 2 บทความในเดือน สิงหาคม เหมือนกับเป็นการต้อนรับ รัฐบาลชุดใหม่ และไว้อาลัย รัฐบาลชุดเก่า

แต่เท่าที่สังเกตผู้เขียนบทความที่สองเรื่อง สารัตถะแห่งนิยาม "เข้าใจ เข้าถึงและพัฒนา" ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของความเป็นคนไทยแบบเต็มร้อย เพราะปรากฏเห็นการใช้เลขไทย ที่ปัจจุบันหาดูและชมได้ยากมาก

รวมถึงการ “อู้คำเมือง” ตบท้าย ก็ขอฝากชมผู้เขียนบทความดังกล่าว ที่ถึงแม้ว่าจะเป็นกลุ่มขบวนการ หรือกลุ่มอะไรก็ตามก็อุตส่าห์เขียนไทยได้ขนาดนี้ บทความที่นำมาให้อ่านนี้ ไม่ใช่ว่าจะให้เห็นดีเห็นงามไปด้วยนะครับ เข้าตำรารู้เขารู้เรารบร้อยครั้งบ่มิพ่าย ลองไปทัศนากันดู

ไปดู บทความแรก เรื่อง ถอดระหัสแผนรุกของรัฐไทยที่มีต่อชาวมลายูปาตานีหลังเลือกตั้ง (สะกดตามต้นฉบับของเวบพูโลครับ) ลงเผยแพร่เมื่อ 16 สิงหาคม ความว่า...

ด้วยภาวะขาดจริยธรรม ไร้ความชอบธรรม ธรรมเนียมความไม่รับผิดชอบ หมิ่นศักดิ์ศรีหรือวาทะที่ส่อแสดงถึงความไม่รู้เรื่องของผู้นำรัฐไทยต่อ สถานะภาพของชนชาวมลายูมุสลิมปาตานียังปรากฏไม่เว้นแต่ละวัน บ่งบอกถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพี้นฐาน การกดขี่ข่มเหง รวมทั้งการลอบสังหารชนชาวมลายูปาตานีโดยรัฐไทยยังคงเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง นโยบายปรองดองหลังเลือกตั้งที่รัฐไทยได้ตั้งไว้จึงไร้ความหมายสำหรับชนชาว มลายูปาตานี

หากย้อนกลับไปก่อนประกาศวันเลือกตั้งเพียงหนึ่งวันคือวันที่ 3 พ.ค. 2554 นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯฝ่ายความมั่นคงในรัฐบาลอภิสิทธิ์ได้ประณามผู้ก่อเหตุว่าทารุณ โหดร้ายไร้มนุษยธรรมที่ใช้อาวุธสงครามกราดยิงยิงร้านน้ำชาบริเวณบ้านกาโสด บันนังสตา จ.ยะลาที่มีผู้บาดเจ็บ 16 ราย และเสียชีวิต จำนวน 4 คน ส่วนใหญ่เป็นเด็ก คนชราและผู้หญิง

แต่ในเมื่อครั้งนี้ชาวบ้านมีพยานหลักฐานที่สามารถสาวตัวถึงอาชญากร ที่แท้ได้ สามวันต่อมานายสุเทพ (พร้อมด้วยนายภานุ อุทัยรัตน์ เลขาฯศอ.บต.) จำต้องฝืนใจเปิดเผยว่านายธีรพล ปานดำ คนไทยพุทธในพื้นที่มามอบตัวและรับสารภาพแล้ว (ว่าเป็นผู้กระทำผิด)

เช่นเดียวกับกรณีนายสุทธิรักษ์ คงสุวรรณ (คนไทยพุทธในพื้นที่และพรรคพวก) กราดยิงชาวบ้านไอร์ปาแยที่กำลังทำการละหมาดที่มัสยิดอัลฟุรกอน เจาะไอร้อง นราธิวาส (8มิ.ย.52)นั้น (อดีต) ผบ.ทบ. พล.อ.อนุพงศ์ เผ่าจินดาปัดความรับผิดชอบทันทีทันใด (เหมือนๆกับการโยนความผิดไปมั่วที่ไร้ความรับผิดชอบของนายสุเทพที่ได้กล่าว มาแล้วข้างต้น) ว่าเป็นการกระทำของกลุ่มผู้ไม่หวังดีที่ต้องการให้เกิดการแตกแยกระหว่าง ศาสนา ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นข้ออ้างลอยๆไร้เหตุผลและพลิกแพลง

ก่อนที่นายสุทธิรักษ์จะปรากฏตัวที่กรุงเทพฯ(14ม.ค.53) พล.อ. อนุพงศ์เปิดเผยเมื่อวัน 28 ธ.ค.2552 ว่าเขา(นายสุทธิรักษ์)ได้หลบหนีออกนอกพื้นที่แล้ว ซึ่งที่แท้จริงก็คือ หลังก่อคดีเขาได้ไปฝากเนื้อฝากตัวภายใต้การกำกับดูแลของเจ้าหน้ารัฐไทย ชาติพันธุ์เดียวกันที่ศูนย์กลางที่กรุงเทพฯนั่นเอง ทั้งสองกรณีอาชญากรรมที่ยกมานี้มาจากหลายร้อยคดีร้ายแรง (ที่ไม่สามารถชี้แจงทุกกรณีในเนื้อที่อันจำกัดนี้ได้) และผู้ก่อคดีทั้งสองคนคืออดีตอาสาสมัครทหารพรานเอง (ตามที่อ้างโดยรัฐไทย) ที่ปลดประจำการแล้ว

แสดงว่ารัฐไทยใช้ข้ออ้างนี้เพื่อจงใจหลีกเลี่ยงการถูกกล่าวหา ทั้งๆที่มีส่วนรู้เห็นด้วยไม่ทางตรงก็ทางอ้อมและไม่ว่าจะปลดประจำการแล้ว หรือไม่ ทางรัฐไทยมีแต่เพิกเฉยต่อการกระทำของไทยพุทธที่ร้ายกาจไม่ว่าคดีนี้และคดี อื่นๆ ก็เท่ากับว่าคนไทยพุทธที่มาตั้งถิ่นฐานแถวนี้ย่อมมีเอกสิทธิ์และได้รับการ คุ้มครองอย่างดีเยี่ยมจากเจ้าหน้าที่รัฐไทยเอง มิฉะนั้นคงไม่กล้าบังอาจที่จะก่อเหตุการณ์วิสามัญกรรมเสียเอง และใช้กำลังเกินขอบเขต ซึ่งแท้จริงแล้วกฏหมายไทยมีการประกาศใช้เพื่อกดขี่ข่มเหงชนชาวมลายูและใบ เบิกทางสำหรับเจ้าหน้ารัฐไทยใช้อำนาจเต็มอัตราอาศัยอำนาจสิทธิพิเศษพ.ร.บ. ฉุกเฉินตามอำเภอใจ

ในเมื่อการกระทำของรัฐไทยที่ผ่านๆมาที่ไม่ต้องรับผิดชอบ ไม่ต้องอธิบาย ไม่ต้องให้ความจริง ไม่โปร่งใส หรือปิดบังซ่อนเร้นการกระทำของตัวเอง การปกครองของรัฐไทย ณ ดินแดนแห่งอดีตรัฐมลายูปาตานีจึงเป็นระบอบการปกครองโดยอำเภอใจ (arbitrary rule) ไร้ชอบธรรมไปโดยปริยาย และเมื่อเหตุการณ์อาชญากรรมร้ายแรงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

แท้จริงแล้วรัฐไทยเองคือผู้ทำลายความเชื่อมั่น ความเชื่อถือศรัทธาของชนชาวมลายูปาตานีซึ่งก็คือรัฐไทยก็ทำลายความชอบธรรม ของตนเองลงเสียเอง ทำให้ความยิ่งใหญ่ของสถาบันรัฐไทยตามที่ได้โฆษณาให้ชวนเชื่อไว้นั้น ธาตุแท้ก็คือเต็มไปด้วยความอ่อนแอนั่นเอง

ความสงบสุขก็เสื่อมสลายตามไปด้วยเพราะมัวแต่ใช้ "อำนาจที่ผิดพลาด" แล้วยังหวังที่จะเข้ามาแทนที่ "การยอมรับ" อีกเช่นนั้นหรือ? ตรงกันข้าม ความขัดแย้งทางการเมืองกำลังเกิดขึ้นไม่ว่าในส่วนกลางหรือความรุนแรงใน เขต"ปาตานีรายา"ที่ยิ่งทวีขึ้นไปเรื่อย ๆ

เหล่านี้คือผลลัพท์ที่รัฐไทยไม่พร้อมที่จะเข้าใจ ในเมื่อตั้งสติไม่ได้ จึงต้องมีการใช้กำลังทหารเข้าบังคับ และในที่สุดก็จะบังคับไม่ได้เช่นกัน อย่างเช่นเมื่อเจ้าหน้าที่รัฐไทยเองไปก่อคดีอาญาร้ายแรงก็เหมือนที่ทำ ประเด็นข้างต้นที่ว่าทหารพรานปลดประจำการไปแล้วบ้างหรืออะไรบ้างต่างๆนานา

หารู้ไม่ว่า ชาวบ้านธรรมดาๆก็สามารถเจาะลึกถึงกระบวนการทุจริตและคอรัปชั่นของเจ้าที่รัฐ ไทยในพื้นที่ได้เช่นกัน แบบฟอร์มต่างๆรวมทั้งหมายจับที่เพรียบพร้อมด้วยข้อหายาวเหยียดเสร็จสรรพ มีพร้อม แค่กรอบชื่อทหารพรานหรือชื่อชาวบ้านคนไหนด้วยข้อหาหนักหรือเบา แล้วแต่ใจชอบ

ขนาดแม่บทกฏหมายที่ยกร่างกันเองก็ยังทำลายกันได้ในชั่วพริบตา ประสาอะไรกับแค่กฏระเบียบเบี้ยล่าง จะถือปฎิบัติหรือทำเพิกเฉย จะไปกวาดต้อน เหวี่ยงแห่ชาวบ้านจำนวนเท่าใดก็ย่อมทำได้ ยิ่งมากยิ่งดีเงินทองจะได้สะพัดเข้ากระเป๋าหนายิ่งขึ้นเท่านั้น จะได้คุ้มกับการที่ได้เสียเงินใต้โต็ะเพื่อจะได้มาซึ่งโอกาสรับตำแหน่งไปโกย ทรัพย์สมบัติ ณ ที่ที่มีขนานนามว่า"จังหวัดชายแดนภาคใต้" เพื่อร่วมขบวนรับส่วยส่วนแบ่งปั่นผลจากงบประมาณมหาศาลที่ส่วนกลางจัดให้และ จากธุรกิจนอกระบบในท้องที่

รวมแล้วเสมือนธุรกิจSMEของฝ่ายมั่นคงของรัฐไทยที่นำมาซึ่งความมั่งคั่งใน หมู่เจ้าหน้าที่รัฐไทยและนี่คือสาเหตุที่บั่นทอนความชอบธรรมของรัฐไทยที่แท้ จริงด้วยน้ำมือนักปกครองที่ฉ้อราษฏร์บังหลวงและไม่เชิงนิติรัฐแม้แต่น้อย

ในเมื่อรัฐไทยไม่สามารถรับผิดชอบหรือไม่สามารถอธิบายสิ่งที่ตนไม่สามารถปฎิ บัติตนเยี่ยง "นิติรัฐ" ก็ไม่เกิดความชอบธรรม ไม่ว่าจะอธิบายด้วยทฤษฎีอำนาจ "รัฐไทย" ใด ๆ ก็ตาม ความชอบธรรมก็จะยิ่งเสื่อมทรุดลงโดยไม่รู้ตัว ในทางปฎิบัติจึงมีแต่การบังคับขู่เข็น เกิดการละเมิดสิทธิ์ต่างๆนานา อย่างเช่นการเกิดการจลาจลในเรื่อนจำนราธิวาสถึงสองครั้งในระยะเวลาไม่ถึงสอง เดือน

อีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงถึงความไม่เอาไหนของรัฐไทยในทุกกๆด้าน ถึงจะเป็นนักโทษ แต่หาใช่ว่าสิทธิของความเป็นมนุษย์จะถูดริดรอนไปด้วย ในขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังรื้อค้นหาของสิ่งต้องห้ามหรือผิดกฏหมายแล้วทำ คัมภีร์อัล-กุรอานหล่นกับพื้น แทนที่จะรีบๆเก็บตั้งที่เดิม กลับเหยียดหยามเขี่ยด้วยรองเท้า จึงเป็นชนวนการจลาจลเมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 2554 ที่ผ่านมา

ส่วนการจลาจลสองวันระลอกสองเมื่อวันที่ 11-12 ส.ค. 2554 นั้น น่าจะเป็นกลอุบายของฝ่ายเรือนจำเองมากกว่าเพื่อจะร้องเรียนไปยังรัฐบาลใหม่ ทางอ้อมในการของบประมาณเพื่อย้ายไปสร้างเรือนจำที่แห่งใหม่ที่ได้คาราคาซัง มาตั้งแต่ก่อนหน้ารัฐบาลอภิสิทธิ์ด้วยซ้ำ

แต่นักโทษต้องรับกรรมเป็นฝ่ายสูญเสียบาดเจ็บล้มตายแทน อีกอย่าง ถ้าเพียงแค่การตรวจตราตามปกติ ทำไมถึงขนาดต้องไปเกณท์รปภ.เรือนจำจากสงขลาด้วย และกับชุมชนสังคมเรือนจำขนาดเล็กแค่ประมาณ 1200 คน ก็ยังไม่สามารถจัดการได้ แถมปล่อยปละละเลยเกิดสาระพัดปัญหา แล้วรัฐไทยจะมีปัญญาที่ไหนที่จะสามารถประกันความสุข มีอิสระ มีสิทธิเสรีภาพชนชาวมลายูปาตานีทั้งมวลได้?

และในเมื่อชนชาวมลายูปาตานีลุกฮือต่อสู้ตอบโต้ทุกรูปแบบและทวีคูณที่นำสู่การสูญเสียแก่รัฐไทยไม่น้อย ใน
ขณะเดียวกัน กระบวนการศึกษาสถานการณ์ในภาคเอกชนเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาและหาข้อยุติแบบ ยั่งยืนและเป็นธรรมก็มีมากขึ้นและหลากหลาย ประชาพิจารณ์ในหลายๆเวทีทั้งในภาคเอกชน เอ็นจีโอ สื่อมวลชน สถาบันการศึกษา ตลอดจนพรรคการเมืองต่างๆทั้งในซีกรัฐบาลและฝ่ายค้าน ตั้งแต่ต้นปี 2553 เมื่อพล อ.ชวลิตเสนอความคิดเขตปกครองพิเศษในนาม"นครปัตตานี"เป็นนโยบายของพรรคเพื่อ ไทย ทางพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นแกนนำรัฐบาลนำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะก็พยายามพลักดัน พ.ร.บ.กฏหมายว่าด้วยศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้หรือศอ.บต.ให้ ผ่านทั้งสองสภาของรัฐไทย

ทั้งนี้ทั้งนั้น ทั้งนโยบาย"นครปัตตานี"และพ.ร.บ.ศอ.บต. ก็คือส่วนหนึ่งมาจากการประชาพิจารณ์และผลสะท้อนของคนบางกลุ่ม บวกกับแนวทางของรัฐบาล(อภิสิทธฺ์)ที่สรุปได้ว่าเป็นแนวทางที่พอจะสนองตอบ ความต้องการของคนท้องที่บางกลุ่มซึ่งก็เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปเท่านั้นที่ เป็นประโยชน์แก่รัฐไทยอย่างท้วมท้น

เพราะโดยรวมแล้วประชาธิปไตยแบบไทยๆมันสิ้นสุดอยู่ที่การขยายอำนาจรัฐไทยใน อีกรูปแบบหนึ่งที่เสมือนเป็นการเปลี่ยนแปลงจากทฤษฏีล้มเหลวที่รัฐไทยเคยปฎิ บัติมาในอดีต มาเป็นโครงสร้างใหม่เพื่อสร้างปัญหาในอนาคตอันไกลต่อไป เพราะมิได้มาจากการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนของชนส่วนใหญ่ของชนชาวมลายูปา ตานีที่รัฐไทยเองยังไม่มีการยอมรับอย่างเป็นทางการ ถึงสิทธิและชาติพันธุ์มลายู-อิสลาม และการไม่ให้มีพื้นที่สำหรับแตกต่างหลากหลายอย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรีของ ความเป็นมนุษย์ด้วยกันนี้

กอปรด้วยความรุนแรงที่รัฐไทยก่อสะสมปัญหาขึ้นเองจนทุกวันนี้นี้เอง ที่จะไม่มีแนวโน้มที่จะยุติได้ง่ายๆ

จึงไม่แปลกที่ผลการเลือกตั้ง 3 กรกฏาคมที่แล้ว ว่าทำไมพรรคเพื่อไทยไม่ได้รับเลือกตั้งแม้แต่เก้าอี้เดียวในเขตปาตานีรายา "นครแห่งสันติ" ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์กลับประสบชัยชนะขาดลอยเพราะอยู่ในช่วงโอกาสที่ดี และเหมาะเจาะที่รัฐบาลอภิสิทธิ์เพิ่งถือกำเนิด พ.ร.บ. ศอ.บต.และได้ใช้ศอ.บต.เป็นฐานเสียงในระดับรากหญ้าอีกทอดหนึ่งในทางอ้อมที่มี กำนันและผู้ใหญ่บ้านตลอดจนองค์การบริหารส่วนตำบล/ท้องถิ่น ช่วยเป็นผู้ประสานงานไปยังหัวคะแนน

และการที่รัฐบาลอภิสิทธิ์สามารถทุจริตซี้อคะแนนอย่างแนบเนียนในขณะปฎิบัต ิหน้าซึ่งเป็นการยากที่กรรมการการเลือกตั้งจะเอาผิดได้ เพราะในหลายกรณีก็มีการทุจริตทับซ้อนไปในรูปของโครงการพัฒนาตามนโยบายรัฐไทย ที่กุมบังเหียนโดยนายภาณุ อุทัยรัตน์ เลขาธิการ ศอ.บต. ที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเหนือผู้ว่าราชการใน 5 จังหวัด เป็นอีกแขนงหนึ่งของขบวนการฉ้อราษฏร์บังหลวงของรัฐไทยที่ผุดขึ้นมาใหม่เพิ่อ ผสมโรงกับฝ่ายความมั่นคงที่เป็นผู้รักษากฎหมาย ที่คอยแต่จ้องแทะเศษเนื้อ ที่กระจัดกระจายทั่วๆไปมานานนับปี

และเนื่องด้วยพรรคประชาธิปัตย์ชนะขาดลอยในเขตปาตานีรายา รัฐบาลอภิสิทธิ์ก็ได้ใช้เป็นข้ออ้างว่ากลุ่มชนที่ลงคะแนนด้วยเม็ดเงินที่ หว่านซื้อโดยหัวคะแนนของพรรคประชาธิปัตย์นั้น ไม่เอาด้วยกับนโยบายเขตปกครองพิเศษของพรรคเพื่อไทย และอีกนัยยะหนึ่งก็อาจจะเป็นข้ออ้างแก่พรรคเพื่อไทยก็เป็นได้ว่า ในเมื่อเขาไม่เลือกเราก็ไม่จำเป็นที่จะทำตามสัญญาตอนหาเสียงว่า จะประกาศเขตปกครองพิเศษในเขตปาตานีรายา และจะยุบศอ.บต.ด้วย

ทั้งนี้ ในสภาพการณ์หัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ ในขณะที่ชนชาวมลายูปาตานีไม่แยแสกับสัญญาประชาคมอันนี้ แต่ฝ่ายที่กลับร้อนเนื้อร้อนตัวแทนกลับเป็น ศอ.บต.ถึงขนาดประชุมเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2554 และตั้งกระทู้ถามความชัดเจนสถานะพวกเขาต่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์ว่า จะยุบอีกครั้งหรือไม่ หรือว่าที่อยากจะอยู่ทำภารกิจต่อเพราะยังไม่สะใจที่จะทำให้สังคมมลายูปาตานี รายาเละเทะบุสลายไปมากกว่านี้

ระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ยาเสพติดยิ่งชุกชุมทุกซอกทุกมุม ก็มีเจ้าน้าที่สายศอ.บต.หรือท้องถิ่นบางหน่วยนั่นเองที่เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ กับการที่กลุ่มเครือข่าย อบต./ท้องถิ่นลับลอบค้ายาเสพติดเอง ขนาดในย่านตลาดเก่าในต้วเมืองยะลามีผู้ค้ารายย่อยอย่างน้อง 30 ราย (ประมาณการณ์ว่าซอยละ 1 หรือ 2 ราย) บางกลุ่มที่ทนดูไม่ได้กับสภาพสังคมที่เลวร้าย ถึงอยากให้มีการใช้นโยบายปราบปรามขั้นเด็ดขาดเหมือนสมัยรัฐบาลทักษิณ

อันนี้ยิ่งไปใหญ่ ยิ่งทำให้อำนาจวิสามัญกรรมแก่เจ้าหน้าที่รัฐไทยเกินไปกว่า พ.ร.บ.ฉุกเฉินเสียอีก ชนชาวมลายูปาตานีจะมิอาจอนุโลมรัฐไทยทำลายล้างอนุชนรุ่นนี้ด้วยประการทั้ง ปวงอีกต่อไป

การที่รัฐไทยประสบความผลสำเร็จในการทำให้สังคมมลายูปาตานียากจนลงและเยาวชน ด้อยการศึกษาในอดีตเพื่อง่ายแก่การควบคุมดูแล แล้วนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ข้อที่ 13 ความว่า.
"เร่ง นำสันติสุขกลับมาสู่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยระดมทรัพยากรและปรับปรุง บูรณาการการบริหารจัดการทั้งปวงตามแนวพระราชดำริพระราชทาน เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา ให้สอดคล้องกับความหลากหลายของศาสนาและอัตลักษณ์ในแต่ละพื้นที่ในการบังคับ ใช้กฎหมาย พร้อมอำนวยความยุติธรรมอย่างเท่าเทียมทั่วถึง"
นั้น หรือคือยาขนานแท้ชนิดใหม่ที่จะนำมาปฎิบัติใช้หรือเพียงแค่เหล้าเก่าในขวด ใหม่เพื่อซื้อเวลาซื้อใจเพื่อมอมเมาชนชาวมลายูปาตานีอีกต่อไป?

จริงหรือที่ว่าจะคืนความยุติธรรมให้ เสมือนว่าความอยุติธรรมของรัฐไทยในอดีตต่อชนชาวมลายูปาตานีซึ่งเป็นผู้ ถูกกระทำด้วยวีธีทางรุนแรงต่างๆนานามาตลอดตั้งแต่ก่อนรัฐบาลทักษิณจนถึง รัฐบาลอภิสิทธิ์ที่เพิ่งวางมือลงนั้น ผิดพลาดมาตลอดและเพียงพอแล้ว (หรือยังไม่เพียงพออีกเพราะยังมีแผนการอื่นที่จะสานต่อ) และที่ว่าจะไม่แก้แค้นแต่จะแก้ไข(สิ่งผิดพลาดทั้งปวง)

นั้นหรือคือความพร้อมที่จริงใจและบริสุทธิ์ใจที่จะหันหน้าเข้าหากันในการแก้ป้ญหาแบบถาวร ยั่งยืนและเป็นธรรม

บทความที่สอง เรื่อง สารัตถะแห่งนิยาม "เข้าใจ เข้าถึงและพัฒนา" เผยแพร่เมื่อ 25 สิงหาคม

ถ้าหากว่ารัฐไทยและเจ้าหน้าที่รัฐใน"จังหวัดชายแดนภาคใต้"รู้จักกับนิยามของ คำว่า "เข้าใจ เข้าถึงและพัฒนา"ในความหมายที่แคบๆด้วยความเข้าใจอย่างตื้นๆผิวเผิน แค่รู้ว่าที่นั่นพวกเขานับถือศาสนาอิสลาม พูดภาษามลายู แต่งกายแบบอิสลาม แล้วพยายามเข้าถึงด้วยการเยี่ยมเยียนแสดงไมตรีจิต และอัธยาศัยที่ดี ยื่นมือช่วยเหลือพัฒนาเขาไว้บ้างหากโอกาสอำนวย

แต่ด้วยความหยิ่งและทรนงหลังหลอกของรัฐไทยที่รู้ๆกันนั้น ไม่มีวันเข้าถึงพริกถึงขิงแน่นอน

ประการแรกอันเนื่องมาจากรัฐไทยถูกครอบงำด้วยชาตินิยมจอมปลอมและสุดโต่ง ยึดมั่นอยู่กับแต่ความคิดเห็นของตัวเอง ไม่ยอมเคารพในวัฒนธรรมของผู้อื่น ไม่ใช่แค่ความคิดแบบนี้เท่านั้นที่ยังไม่หมดไป

หากแต่รัฐไทยก็ยังคาดหวังการยอมรับจากชนชาวมลายูปาตานีเสียด้วยซ้ำ ปาตานีดารุสซาลามที่ยังอยู่ในความปกครองของรัฐไทย ที่จริงๆแล้วหมดความชอบธรรมมาเนิ่นนานแล้วนั้น กลายเป็นแค่สถานที่กำจัดขยะของรัฐไทยเสมอมา ณ จุดนี้ รัฐไทยน่าจะเข้าใจแล้วว่าข้อนี้ชนชาวมลายูปาตานียังตระหนักดีอยู่เสมอ

ชนชาวมลายูปาตานีที่กำลังดิ้นรนต่อสู้เพื่อหลุดพ้นจากอุ้งมือของทรราชรัฐไทย ในขณะนี้ อยู่ในภาวะการณ์ที่คล้ายๆกับรัฐไทยครั้นในนาม "สยามเทศ"ที่ต้องต่อสู้ปลดแอกจากการอยู่ภายใต้การปกครองของเขมร(ก่อนก่อตั้ง นครรัฐสุโขทัย)

การต่อสู้กอบกู้เอกราชจากพม่าถึง ๒ ครั้ง และขบวนการใต้ดิน"เสรีไทย"ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ คือเหล่าชิ้นส่วนทางประวัติศาสตร์ที่รัฐไทย(ใหม่)ภูมิใจตนเอง

แต่กับชนชาวมลายูปาตานีกลับปฎิบัติตนเยี่ยงเจ้าอาณานิคมตราบเท่าทุกวันนี้ โดยมีศูนย์บัญชาการอาณานิคมที่ยะลาที่รู้จักกันในนาม "ศอ.บต."

นับตั้งแต่ผนวกดินแดนปาตานีเมื่อปี ๑๙๐๒ รัฐไทยมิได้แค่อ้างเรื่องสิทธิ อำนาจอธิปไตยที่มิชอบเพียงอย่างเดียว หากแต่ได้อ้างถึงดินแดนยึดครองแถบนี้คุ้มครองโดยพระสยามเทวาธิราชอีกด้วย

ซึ่งท้าทายความเชื่อถือทางศาสนาอิสลามของชนชาวปาตานีอย่างชัดเจน และความเชื่อผิดๆนี้เองที่ผสมผสานกับการหลงไหลในชาตินิยมสุดโต่งที่เป็น เสมือนธรรมเนียมถือปฎิบัติบรรดาข้าราชการที่อนุโลมกระทำตนเป็นขุนศึกขุนนาง และศักดินา ละเมิดสิทธิเสรีภาพ ขมเหงรังแกและดูถูกเหยียดหยามชนชาวมลายูปาตานีและการแสวงหายศฐานะและผล ประโยชน์กันเองอีกทางหนึ่ง

จะเห็นได้ว่าเจ้าหน้าที่รัฐทั้งพลเรือน ทหาร ตำรวจที่ก้าวสู่ตำแหน่งหน้าที่แบบก้าวกระโดดต่างก็ยึดหากินบนเลือดเนื้อและ ชีวิตของชนชาวมลายูปาตานีเป็นเดิมพัน

ล่าสุดอดีตวีระบุรุษของรัฐไทยอย่าง"จ่าเพียร"ก็เคยป่าวประกาศอย่างภาคภูมิใจ ที่ได้เข่นฆ่าเยาวชนปาตานีถึง ๒๓ คนก่อนที่เขาเองจะถึงจุดจบ

ความเป็นนิติรัฐจึงไม่เกิดขึ้นกับชนชาวปาตานี แต่กับชนชาติพันธุ์เดียวกัน ถึงจะมีคดีติดตัวฐานกบฏหรือผู้ก่อการร้ายก็มีอภิสิทธุ์ได้ดิบได้ดีถึงฝ่าย นิติบัญญัติ และในเมื่อได้มาเจอกับปัญหาปาตานีก็ต่อเมื่ออยู่ในตำแหน่งต่างๆทั้งข้า ราชการประจำ ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร หรือตุลาการ โดยไม่เคยสัมผัสกับความรับผิดชอบผ่านกระบวนการเรียนรู้อย่างเสมอภาคและให้ เกียรติ

ไม่ว่าจะมาจากอบรมสั่งสอนจากสถาบันรัฐเอง หรือสังคมตั้งอยู่บนฐานความจริง ชนชาวมลายูปาตานีจึงได้เจอกับนักปกครองที่แปลกหน้าไม่สิ้นสุด

แต่วันนี้ที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๔ รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะประกาศนโยบายต่อรัฐสภารัฐไทย ชนชาวมลายูปาตานีจะสามารถวัดปรอทความเข้าใจของรัฐบาลชุดนี้ว่า ในสายตาพวกเขา ชนชาวมลายูปาตานีอยู่ในสถานะอะไร หรือว่า จะ เหมือนกับรัฐบาลชุดที่แล้ว ที่ดำเนินการตามแผนซ้อนแผนของรัฐไทยที่กวาดซื้อเสียงละหนึ่งพันห้าร้อยบาท บางพื้นที่ถึงกับจี้บังคับว่าต้องได้คะแนนเท่านั้นเท่านี้เพื่อที่จะสกัด กั้นนโยบายของพรรคเลือกตั้งฝ่ายตรงข้ามที่จะประกาศเขตปกครองพิเศษ หรือว่า จะเหมือนรัฐบาลทักษิณ ที่มีทั้งละเมิดสิทธิ์และเคยประกาศที่จะพัฒนาปาตานีดารุสซาลามด้วยงบแสนล้าน หลังประชุมคณะรัฐบาลเคลื่อนที่ที่นราธิวาส ผลสุดท้ายก็แค่สร้างเศรษฐีเงินล้านแก่บริวาร

หรือความเข้าใจแบบ พล.ท.อุดมชัย แม่ทัพภาค 4 ที่อ้างว่า ชนชาวมลายูปาตานีที่ต่อต้านรัฐไทยตอนนี้มีแค่ระหว่าง ๗๐๐๐-๑๐๐๐๐ คน โดยหารู้ไม่ว่าจำนวนนี้คือหน่วยปฎิบัติการที่น่าจะเพียงพอที่จะพิทักษ์คุ้ม ครองชนชาวปาตานี ๒-๓ ล้านคน ซึ่งเป็นสัดส่วนที่มากกว่าทหารเกณท์รัฐไทยที่มีแค่ไม่ถึง ๒ แสนต่อประชากร ๖๓ ล้านกว่า

ปัญญารัฐไทยมีเพียงเท่านี้หรือ ที่จะเทียบกับปัญญาชนปาตานีที่รอบรู้อย่างน้อย ๔ ภาษา เพราะฉะนั้นท่านพิจารณาตนเองก็แล้วกันว่าใครน่าจะได้รับการพัฒนาก่อน

แล้วท่านจะเข้าถึงชุมชนมลายูได้อย่างไรในเมื่อท่านรู้แต่ภาษาเงิน บ่ฮู้ภาษาใจ แม้แต่น้อย
******
ครับแม้ว่าข้อความจากบทความข้างต้นของเวบไซต์พูโลจะเป็นข้อความ ทำนองpropaganda หรือโฆษณาชวนเชื่อ แต่ก็มี"มูล"ที่รัฐบาลชุดใหม่น่าจะลองไปศึกษาดูน่ะครับ เพราะมีข้อคิดอะไรบางอย่างที่น่าจะเป็นประโยชน์.........

โดยเฉพาะที่ว่าพรรคแมงสาบวางยาไว้เพียบ ใช้ทั้งซื้อเสียงทั้งซื้อมวลชนข่มขู่สารพัด เพื่อยึดเสียงไว้ให้ได้หมด จะได้ทำแท้งนโยบายนครรัฐปัตตานี

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง