ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การอภิปรายนโยบายรัฐบาลเป็นไปอย่างกว้างขวาง โดยเมื่อเวลา 15.35 น.เป็นการอภิปรายของส.ส.ฝ่ายรัฐบาล และส.ว.ซึ่งมีการอภิปรายพาดพิงถึงปัญหากับประเทศเพื่อนบ้านของรัฐบาลที่ผ่าน มา ทำให้ นายกษิต ภิรมย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ อดีตรมว.ต่างประเทศ ชี้แจงหลังถูกพาดพิงว่า ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับประเทศเพื่อนบ้าน ถ้าจะมีความขัดแย้งก็มีเพียงประเทศกัมพูชาเท่านั้น ที่เราไม่ตามใจเขาเกี่ยวกับเรื่องการ คือไม่เห็นด้วยกับแผนพัฒนาอณาบริเวณเขาพระวิหาร และไม่เห็นกับการทบทวนเอ็มโอยูปี 44 ซึ่งเป็นข้อเจรจากับกัมพูชาเพื่อตกลงพัฒนาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล
นายชำนิ ศักดิเศรษฐ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ได้อภิปรายนโยบายรัฐบาลว่า การนำประเทศไปสู่ประชาคมอาเซียน เราต้องสร้างความเชื่อมั่นในด้านต่างๆ แก้ปัญหาการเมือง อาทิ ความไม่เป็นธรรม ไม่ได้รับโอกาสเท่าเทียมกัน และมีแนวทางแก้ปัญหาความมั่นคงยุคใหม่ ได้แก่ อาหาร พลังงาน สิ่งแวดล้อม ภัยพิบัติ ซึ่งการแก้ปัญหาเหล่านี้ รัฐบาลจะทำคนเดียวไม่ได้ ต้องร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และการกระจายอำนาจในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ จะทำเป็นลักษณะนครรัฐปัตตานีหรือไม่ ขอเรียกร้องให้ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ดูแลเรื่องการกระจายอำนาจ เพราะเรายังมีปัญหาเรื่องการรวมอำนาจไว้ที่ส่วนกลาง
จากนั้น นายยงยุทธ ได้ลุกขึ้นชี้แจงว่า ตนกับนายชำนิ มีสัมพันธภาพหลายระดับ ตอนตนดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายชำนิก็เป็น รมว.มหาดไทย และได้ทำการปฏิรูปการกระจายอำนาจได้ด้วยดี เหมือนเป็นสองร่าง แต่ใจเดียวกัน นั่นคือเราต่างคิดตรงกันว่า ความเข้มแข็งภาครัฐจะต้องลดลง ความเข้มแข็งภาคประชาชนจะต้องยิ่งขึ้น นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ตนยืนยันว่า ไม่มีอะไรดีกว่า การกระจายอำนาจ เพราะไม่มีผู้ใดทราบความต้องการ และแก้ปัญหาในท้องถิ่นได้ดีกว่าคนในท้องถิ่น ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่กว่าประชาชนปกครองตัวเอง
รมว.มหาดไทย ยังชี้แจงอีกว่าขอยืนยันว่า แนวคิดเรื่องนครรัฐปัตตานี เป็นความเห็นบุคคลคนเดียว ไม่ใช่รัฐบาล ซึ่งคงเป็นเรื่องลำบากที่จะเอาเมืองสตูล นราธิวาส ยะลา มาขึ้นกับปัตตานี แต่ละเมืองก็มีเกียรติ ประวัติของตัวเอง การปกครองแต่ละเมืองก็เป็นเรื่องเมืองนั้น ตนขอเรียนไปยังประชาชนภาคใต้ว่า เราจะตอบสนองการแก้ปัญหาการปกครองท้องถิ่นภาคใต้อย่างดี และการทำให้อาเซียนเห็นว่า การปกครองไทยมีการกระจายอำนาจ ก็เป็นตัวชี้วัดที่ทำให้เห็นความก้าวหน้า ตนจึงเห็นด้วยกับข้อเสนอของนายชำนิ และเราจะได้ทำงานร่วมกัน เห็นความก้าวหน้าการปกครองตัวเอง
จากนั้น นายเจะอามิง โตะตาหยง ส.ส.นราธิวาส พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า การที่มีนโยบายจะจ่ายเงินเยียวยาให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงจาก เหตุการณ์ชุมนุมเมื่อเดือน เม.ย.และพ.ค.53 ที่ผ่านมารายละ 10 ล้านบาท ถ้าอย่างนั้น ควรจะต้องจ่ายให้กับผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ตากใบ และกรือเซะด้วย ซึ่งปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่รุนแรงขึ้นก็เกิดจากรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และแนวทางที่พูดถึงการปกครองท้องถิ่นนั้น อยากทราบว่าจะปกครองจังหวัดภาคใต้ในรูปแบบใด เพราะประชาชนยังมีความเป็นห่วงกลัวว่าจะนำไปใช้ในรูปแบบนครรัฐปัตตานี ซึ่งขอว่าอย่าได้ทำเพราะจะทำให้เกิดการแบ่งแยกเป็นฝ่าย และถ้าท่านไม่ทำก็คงไม่ถือว่าเสียหน้าเพราะท่านไม่มีส.ส.อยู่ในพื้นที่ และวันนี้ประชาชนเขาเริ่มหวาดระแวงกับนโยบายของรัฐบาลแล้ว
ต่อมา พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงว่าที่สมาชิกรัฐสภามีความเป็นห่วงเรื่องการล่วงละเมิดสถาบัน ยืนยันว่า รัฐบาลมีความมุ่งมั่นที่จะดูแลและถวายพระเกียรติแก่สถาบันกษัตริย์เป็น เรื่องสำคัญ ไม่ปกป้องผู้กระทำผิดและในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัวฯ 84 พรรษา ก็จะทำโครงการถวายพระเกียรติโดยมีโครงการสร้างความสามัคคี ปรองดอง ลดความขัดแย้ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระราชดำรัสว่า ขอให้ช่วยทำให้ไทยเป็นที่อยู่ที่สุขสบาย ครม.จะทำทุกอย่างให้คนไทยสามัคคีปรองดองกัน เรื่องสถาบัน รัฐบาลดำเนินการตามกฎหมาย ไม่กลั่นแกล้งใคร ไม่มองใครไม่ดี เราอยู่ฝ่ายการเมือง ได้ยินคำพูดแค่ 1-2 ประโยค แล้วจะบอกว่า ใครผิดกฎหมายอาญา มาตรา 112ไม่ได้ เราต้องฟัง จนกว่า ศาลฎีกาตัดสินว่า เขาผิด จึงถือได้ว่า เขาผิด ดังนั้น เราต้องเปิดกว้าง พูดจาเฉี่ยวกันไปมา ก็ต้องอภัย
พล.ต.อ.โกวิท กล่าวต่อว่า ส่วนการแก้ปัญหาใน 3 จังหวัด รัฐบาลมีความตั้งใจจะลดและหยุดความรุนแรง ทุกคนทราบว่า ปัญหาเกิดต่อเนื่องมานาน ความรุนแรงมันเกิดขึ้นทุกสัปดาห์ เราจะไปตำหนิใครก็ไม่ได้และขอยืนยันว่าผมทำงานกับ พ.ต.ท.ทักษิณมา ท่านตั้งใจทำดีให้บ้านเมือง บางเรื่องสำเร็จบ้างไม่สำเร็จบ้าง แต่นักรบก็ต้องมีบาดแผล ผู้บริหารก็มีผิดพลาดบ้าง ไม่มีใครสำเร็จไปได้ทุกเรื่อง ความคิดทางการเมืองอาจไม่ตรงกัน แต่ไม่เป็นไร ผมจะรับฟังและแก้ปัญหาภาคใต้ตามสติปัญญาและกำลังทำอย่างเต็มที่และไม่อับอาย ถ้าทำอะไรล้มเหลว ถ้าผิดจะรับผิดและรับโทษอย่างลูกผู้ชายซึ่งรัฐบาลจะมุ่งมั่นแก้ไขภาคใต้จะ เสนออะไรก็ได้เพราะพรรคเราไม่มี ส.ส.ภาคใต้ จึงขอเชิญพรรคประชาธิปัตย์และพรรคมาตุภูมิมาช่วยกัน"
จากนั้น พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ชี้แจงว่าถ้ามีการชดเชยหรือเยียวยาคนเสื้อแดง 10 ล้าน แล้วผู้ที่ถูกกระทบจากเหตุการณ์ในพื้นที่ 3 จังหวัด จะได้รับการเยียวยาอย่างไร ในประเด็นนี้ทางรัฐบาลได้คิดไว้แล้วว่า การเยียวยานั้น เราต้องเยียวยาทุกกลุ่ม และทุกพื้นที่ โดยเฉพาะภาคใต้ จากเหตุการณ์กรือเซะ 28 เม.ย.47 และตากใบ 25 ต.ค.และเหตุการณ์ มัสยิดอัลกุรซอล รัฐบาลก็ทำงานได้ล่วงหน้า แต่เราต้องมีคณะกรรมการอีกคณะหนึ่งเพื่อพิจารณา โดยยึดหลักคณะกรรมการอิสระค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองสมานฉันท์ ( คอป.)ว่าทำอย่างไรให้เป็นธรรมมากที่สุดและในประเด็นที่ระบุว่า จะเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุสลายชุมนุม 10 ล้านบาทนั้น รัฐบาลยังไม่พูด เป็นการแสดงความเห็นคนภายนอก จะเท่าไหร่ ต้องมีคณะกรรมการพิจารณา
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น