ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจธนาคารทหารไทย ประเมินนโยบายค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท หากใช้จริงพร้อมกันทั่วประเทศจะส่งผลให้เงินเฟ้อพื้นฐานปรับเพิ่มอีกร้อยละ 2.3 นำโดยเงินเฟ้อในหมวดอาหารที่จะเร่งตัวขึ้นเกือบเท่าตัว
เมื่อ วันที่ 22 ก.ค. ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจธนาคารทหารไทยหรือ TMB Analytics ออกรายงาน ระบุว่า จากการศึกษาของ TMB Analytics บนสมมุติฐานที่ค่า จ้างขั้นถูกปรับขึ้นเป็น 300 บาท พร้อมกันทุกจังหวัดในไตรมาสแรกของปีหน้า พบว่าการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำจะส่งผลให้ค่าแรงของภาคเอกชนในภาพรวมเฉลี่ยปรับ ขึ้นร้อยละ 26 โดยจะเริ่มส่งผลกระทบในไตรมาสที่สอง และการส่งผ่านจากต้นทุนแรงงานสู่ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคจะมาในช่วงครึ่ง ปีหลังของปีหน้า โดยอัตราเงินเฟ้อในหมวดอาหารจะเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 4 และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core Inflation) เพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 2.3 จากกรณีฐาน
จากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานล่าสุดในเดือนมิถุนายน 54 อยู่ที่ร้อยละ 2.6 และยังอยู่ในช่วงขาขึ้นสู่ระดับร้อยละ 3 ในช่วงสิ้นปีนี้ หากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็นไปตามสมมุติฐานข้างต้น เรามอง ว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอาจทะยานขึ้นสู่ระดับร้อยละ 5 ในช่วงปลายปีหน้า ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงระดับอันตรายต่อเศรษฐกิจไทย เนื่องจากในรอบสิบปีที่ผ่านมาจุดสูงสุดของอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในช่วง ที่เศรษฐกิจโลกร้อนแรงและราคาน้ำมันสูงเป็นประวัติการณ์ไม่เคยอยู่เหนือ ระดับร้อยละ 4 ซึ่งทะลุขอบบนของกรอบนโยบายการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยวางไว้ ดังนั้นผลลัพธ์โดยตรงคือดอกเบี้ยนโยบายที่จะปรับขึ้นอีกในปีหน้าอย่าง แน่นอน
ส่วนของระดับราคาในกลุ่มอาหาร ซึ่งมีสัดส่วนราวหนึ่งในสามของระดับราคาทั่วไปทั้งประเทศ การปรับค่าจ้างขั้นต่ำจะส่งผลกระทบรุนแรงที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มสินค้า อื่น โดยจะทำให้อัตรา เงินเฟ้อหมวดอาหารปรับเพิ่มอีกร้อยละ 4 ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อดังกล่าว ณ เดือนมิถุนายน 54 อยู่ที่ร้อยละ 8 ซึ่งหมายความว่าถ้ามีการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำดังข้างต้นแล้ว เราอาจจะได้เห็นอัตราเงินเฟ้อในหมวดอาหารวิ่งไปอยู่ที่ร้อยละ 12-15 ในระดับเดียวกับช่วงเศรษฐกิจร้อนแรงในปี 2551 ก่อนโลกเข้าสู่วิกฤต Subprime ซึ่งย่อมส่งผลโดยตรงต่อค่าครองชีพของประชาชนและสวนทางกับทำให้ ความตั้งใจแรกเริ่มของรัฐบาลชุดใหม่ในการแก้ปัญหาปากท้องของประชาชนผ่าน การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ
ผลของระดับสินค้าที่เพิ่มขึ้นอาจดูไม่มากหากเปรียบเทียบกับค่าแรงที่ได้ เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดีเมื่อมองให้รอบด้าน เราก็จะเห็นว่าไม่ใช่ว่าแรงงานที่อยู่ในประเทศ ไทยทุกคนจะได้รับค่าแรง ขึ้นเหมือนกันหมด เพราะ ยังมีแรงงานนอกระบบ และ แรงงานที่ไม่สามารถต่อรองค่าจ้างตามกฎหมายกับนายจ้าง แต่ต้องกลับรับภาระค่าครองชีพจากราคาสินค้าที่สูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ ได้ ดังนั้น การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ จึงยังไม่ใช่ค ำตอบเดียวของการแก้ปัญหาปากท้องและคุณภาพชีวิตของประชาชน ทุกคน แต่ยังมีแนวนโยบายอื่นที่ต้องทำควบคู่กันไป เพื่อ 1) การกระจายรายได้ มีความเหลื่อมล้ำลดลง 2) รักษาสมดุลย์ในตลาดแรงงานที่เป็นปัจจัยการผลิตหลักของภาคธุรกิจ และ 3) รักษาระดับราคาสินค้าโดยรวมของประเทศมีเสถียรภาพที่จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจใน ระยะยาว ทั้งหมดนี้ถือเป็นโดยโจทย์ที่สำคัญของรัฐบาลชุดใหม่ต้องพจารณาอย่างรอบคอบ
ไทยรัฐ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น