คำว่า "สัตว์การเมือง" เป็นนิยามที่มีผู้ตั้งให้กับนักการเมือง ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีจนคุ้นหู โดยอาศัยพฤติกรรมในการแสดงออกของนักการเมือง ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกทางกาย ทางวาจา หรือทางความคิด เป็นตัวกำหนด
มนุษย์กับสัตว์นั้นแม้จะมีบางอย่างที่เหมือนกันก็จริง เช่น กิน นอน สืบพันธุ์ กลัวภัย หรือโกรธ เป็นต้น แต่มนุษย์กับสัตว์ก็ยังมีความแตกต่างกันที่เรื่องของธัมมะในจิตใจ มนุษย์นั้นยังรู้จักคุณธรรมความถูกต้องชั่วดี ซึ่งสัตว์ไม่มี
เพราะฉะนั้น นักการเมืองที่ถูกนำไปเปรียบเทียบว่าเป็น "สัตว์การเมือง" จึงตีความได้ว่านักการเมืองที่ไม่มีธัมมะอยู่ในหัวใจ สามารถที่จะทำอะไรก็ได้เยี่ยงสัตว์ ไม่ว่าจะแสดงออกทางกาย ทางวาจา หรือความคิด
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจอะไรกับการกระทำของพวก "สัตว์การเมือง" บ้านเราขณะนี้ ที่สามารถทำได้ทุกอย่างที่มนุษย์ทั่วไปไม่ทำกัน ต่อสู้ช่วงชิงอำนาจกันอย่างผิดทำนองคลองธรรม ไม่คำนึงถึงกฎกติกาใดๆ ทั้งสิ้นเพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะเท่านั้น
บนเทวีการเมืองจึงเต็มไปด้วยความสกปรก
บ้านเมืองต้องเสียหายตราบถึงทุกวันนี้
"เสือสิงห์กระทิงแรด" ที่เคยเรียกขานนักการเมืองบ้านเรามาในสมัยหนึ่งนั้น บัดนี้ได้มีสัตว์บางประเภทเพิ่มเติมขึ้นมาอีกจากป้ายมหึมาที่สะพาน มัฆวานรังสรรค์ เรียกร้อง "อย่าปล่อยสัตว์เข้าสภา" ในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงในวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 นี้ โดยสัตว์ที่ไม่ควรปล่อยเข้าสภาครั้งนี้มีภาพคนใส่สูทที่หัวเป็นควาย เป็นเสือ เป็นหมา เป็นเหี้ย และเป็นลิงถือกล้วย ประกอบอยู่ด้วยมีทั้งสัตว์บกและสัตว์น้ำ
แต่ในความเป็นจริงแล้ว "สัตว์การเมือง" ที่กำลังต่อสู้แย่งชิงกันเข้าสภาในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงใน ไม่ช้านี้นั้น มีทั้งสัตว์บก สัตว์น้ำ และสัตว์อากาศ ทีเดียว ประกอบด้วย "แรด ควาย กระซู่ ปูปลิง ลิงเหี้น เพลี้ยหมา อีกาเสือและแมลงสาบ" ซึ่งสัตว์ประเภทต่างๆ เหล่านี้กำลังต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันอย่างเอาเป็นเอาตาย เพื่อให้ได้ชัยชนะในการเลือกตั้งเวทีการเมืองจะต้องสกปรกยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ใครมีพละกำลังเท่าไรจะเอาออกมาใช้
ไม่ว่าพละกำลังนั้นจะออกมาในรูปแบบใด เช่น กำลังคน กำลังเงิน กำลังอิทธิพล และกำลังอำนาจแฝงต่างๆที่จะนำออกมาใช้ดูการแย่งชิงอำนาจของบรรดาสัตว์บก สัตว์น้ำ และสัตว์อากาศ ขณะนี้แล้ว เห็นว่าคู่ต่อสู้สำคัญในศึกของสัตว์การเมืองครั้งนี้มีเพียงคู่เดียว คือ คู่ระหว่างหญิงกับชาย ซึ่งฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายแย่งชิงอำนาจ และฝ่ายชายเป็นฝ่ายรักษาอำนาจของตนที่เคยมีอยู่ในช่วงสองปีเศษที่ผ่าน มา โดยหวังว่าจะได้กลับมามีอำนาจต่อไปอีกครั้งหนึ่ง
ฝ่ายอื่นๆ นอกนั้นเป็นเพียงตัวประกอบรอเสียบ
ทั้งสองฝ่ายกำลังโรมรันฟันตูกันหาเสียงอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อชัยชนะ แต่ละฝ่ายมีจุดแข็งและจุดอ่อนของตนอยู่ในตัวจุดแข็งของฝ่ายหญิงอยู่ที่เงินและมวลชนที่ห่างไกลข้อมูลข่าวสารและ เคยตัวกับการได้รับแจก เป็นมวลชนที่ได้รับการจัดตั้งอย่างเป็นล่ำเป็นสันต่อเนื่องกันมาไม่ ต่ำกว่าสิบปี ในขณะที่จุดอ่อนของฝ่ายหญิงนั้น นอกจากประสบการณ์ทางการเมืองที่ไม่ค่อยจะมีแล้ว จุดอ่อนที่สำคัญยิ่งก็คือ เป็นตัวแทนของนักโทษเร่ร่อนที่เคยสร้างความเสียหายมากมายแก่บ้าน เมืองมาแล้วระหว่างมีอำนาจทางการเมือง รวมทั้งการทุจริตคดโกงอย่างมโหฬารเป็นที่เลื่องลือไปทั่วทั้งในประ เทศและต่างประเทศ ไม่นับพฤติกรรมที่มีผลกระทบสถาบันสูงสุด
ส่วนจุดแข็งของฝ่ายชายนั้นอยู่ที่รูปร่างหน้าตาและการศึกษา มีประสบการณ์ทางการเมืองพอควรในระดับหนึ่ง ข่าวอื้อฉาวทางทุจริตไม่ค่อยได้ยิน แต่จุดอ่อนของฝ่ายชายนั้นเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันไปทั่วในเรื่องการ ทำงานที่ไม่เอาไหน ไม่มีความกล้าหาญเด็ดขาดในการแก้ไขปัญหานอกจากการซื้อเวลาเท่า นั้น ดีแต่พูด ไม่เคยจดจำว่าเคยพูดไว้อย่างไร เป็นคนดื้อตาใส ไม่รับฟังความคิดเห็นดีๆ ของคนอื่น ยอมเป็นหุ่นเชิดให้กับคนบางคนเช่นเดียวกับฝ่ายหญิง แม้กระทั่งสมยอมให้มีการทุจริตหาเงินหาทองจากผู้ร่วมงานโดยไม่ห้าม ปราม จนได้รับสมญานามว่าเป็นคนดูต้นทางให้โจรปล้น
ด้วยคุณสมบัติของฝ่ายหญิงและฝ่ายชายดังกล่าวนี้ ถ้าคนใดคนหนึ่งได้อำนาจมาบริหารบ้านเมือง ก็ต้องกล่าวได้เต็มปากเต็มคำว่าบ้านเมืองคงต้องฉิบหายกันต่อไปไม่ สิ้นสุด เรื่องที่คิดว่า "จะมีนารีขี่ม้าขาวมากอบกู้บ้านเมือง" นั้นต้องเลิกคิด
เพราะมีแต่ "นารีขี่ม้าลาย แข่งกับชายขี่ม้าด่าง"เท่านั้น ไว้วางใจอะไรไม่ได้เลยทั้งหญิงและชายที่ว่านี้ โหวตโนไปเลยดีกว่า
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น