บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ชำแหละนโยบาย ปชป.-พท.“แม้ว”จัดหนักเหนือกว่า “อภิสิทธิ์”

แม้ยังไม่มีการเป่านกหวีดยุบสภาอย่างเป็นทางการ แต่ปี่กลองเลือกตั้งเริ่มต้นขึ้นแล้ว หลังที่หลายพรรคการเมืองเตรียมตัวจัดทัพเข้าสู่โหมดเลือกตั้งกันเป็นถ้วน หน้า
      
       ทั้งการจัดงานระดมทุน เปลี่ยนชื่อพรรค หรือเปิดตัวผู้สมัคร ส่วนที่เปิดเกมวัดกันชัดๆ ก็เป็นเรื่อง “นโยบาย” ที่ทยอยส่งออกมาเป็นระลอกๆ อย่างไรก็ดียังมีบางพรรคการเมืองเขียนนโยบายจากฐานความคิดแบบ “สภาตำบล” หรือ “กรรมการหมู่บ้าน” ที่อาศัยความฮือฮาใช้ตัวเลขสูงๆเกทับกันเข้าไว้ โดยไม่คิดถึงความเป็นจริงว่า สามารถทำได้หรือไม่
      
       ดูที่ค่ายการเมืองซึ่งจะดวลกันในเรื่องนโยบายกันอย่างจริงจัง คงหนีไม่พ้นคู่รักคู่แค้น “ประชาธิปัตย์” - “เพื่อไทย” ที่ต้องเดินหน้าเต็มสูบเพื่อช่วงชิงการนำจัดตั้งรัฐบาลรอบหน้า แน่นอนว่าในฐานะรัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์ย่อมต้องปล่อยแคมเปญเพื่อขอเข้ามามาสานงานบริหารบ้านเมือง ให้ต่อเนื่อง
      
       คราวนี้ฝั่งประชาธิปัตย์จึงเลือกใช้สัญลักษณ์ “ฟอร์เวิร์ด” ปะบนทุกสื่อประชาสัมพันธ์ของพรรค พร้อมชูแคมเปญ “เดินหน้าต่อไป ด้วยนโยบายเพื่อประชาชน” ส่วนฟากเพื่อไทยก็เปิดหน้าชูจุดขายกันอย่างไม่มีเหนียมด้วยข้อความสั้นๆแต่ได้ใจความแบบเห็นหน้าลอยมาจากแดนไกลกับ “ทักษิณช่วยคิด เพื่อไทยทำ”
      
       ในเบื้องต้นทั้ง 2 ค่ายก็ปล่อยชุดนโยบายออกมาแล้วบางส่วน เริ่มจากพรรคประชาธิปัตย์ด้วย “ครอบครัว-เศรษฐกิจ-ประเทศต้องเดินหน้า” ที่ยึดแนวทางจากโครงการที่รัฐบาลทำมาในช่วง 2 ปีที่มีโอกาสนั่งบริหารประเทศ ทั้งการให้ประชาชนใช้ไฟฟ้าฟรีถาวร เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ รักษาฟรี เงินกู้เพื่อการศึกษา โฉนดชุมชน ปรับโครงสร้างหนี้นอกระบบ ขยายระบบประกันสังคมครอบคลุมแรงงานนอกระบบ บำนาญประชาชน รถไฟความเร็วสูง ไทย-จีน บรอดแบนด์แห่งชาติ สร้างเขตเศรษฐกิจเกษตรพิเศษ และการจัดหาพลังงานทดแทน เป็นต้น
      
       ส่วนที่วอร์รูมของพรรคหวังใช้เป็น “ไม้เด็ด” คือ การเพิ่มรายได้ใน 2 กลุ่มหลัก เกษตรกร-แรงงาน ที่ตีปิ๊ปว่าจะเพิ่มเงินกำไรจากโครงการประกันรายได้เกษตรกร และค่าแรงขั้นต่ำให้ได้ร้อยละ 25 ภายใน 2 ปี
      
       ขณะที่ทางพรรคเพื่อไทยออกแนวย้อนยุคไปเมื่อครั้งการเลือกตั้ง 2544 ตามต้นตำรับ พรรคไทยรักไทย ที่เคยคลอดนโยบายออกมาแบบที่นักการเมืองยุคเก่า “หน้าหงาย” กันมาแล้ว มาคราวนี้ใช้สโลแกนคุ้นหู “ขอคิดใหม่ทำใหม่ เพื่อไทยทุกคน” โดยเต็มสร้อยคำว่า “..อีกครั้ง” เข้ามาระลึกนึกถึงผลงานในอดีตกันอีกต่างหาก
      
       แน่นอนต้องเริ่มด้วยรถไฟฟ้า “หวานเย็น” 10 สาย สานต่อโครงการที่ค้างเติ่งมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทย พร้อมด้วยรถไฟรางคู่ รถไฟความเร็วสูง เพิ่มกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา กองทุนตั้งตัวได้ คืนภาษี/เพิ่มค่าลดหย่อน แจกแทบเล็ตให้นักเรียน หรือสัญญาณอินเตอร์เนตในที่สาธารณะฟรี เป็นต้น
      
       ส่วนที่ใช้วัดกับพรรคประชาธิปัตย์ตรงๆได้แก่ การนำระบบ “จำนำ” รายได้เกษตรกร กลับมาใช้แทนการ “ประกัน” ของ รัฐบาล ประชาธิปัตย์ ด้านค่าแรงขั้นต่ำโยนตัวเลขออกมาแบบไม่ต้องมานั่งคำนวณให้ปวดหัวที่ 300 บาท แถมด้วยยโยบายปรับฐานเงินเดือนระดับปริญญาตรี ขั้นต่ำที่ 15,000 บาท
      
       เมื่อพิจารณาชุดนโยบายของ 2 ฝ่ายเพียงเท่านี้อาจมองไม่เห็นข้อแตกต่าง มีหลายนโยบายที่ต่างฝ่ายต่าง “ประยุกต์” ใช้กันแบบใครลอกใครก็เดาไม่ออก แต่เมื่อพิจารณาลงลึกในรายละเอียดเพื่อ “เปรียบมวย” อย่างปราศจากอคติ ก็ต้องยกให้ฟากฝั่งพรรคเพื่อไทยเป็นต่ออยู่พอสมควร
      
       เพราะขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ยังออกนโยบายแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และทำงานวันต่อวัน ที่สำคัญยังตัดสินใจช้าหรือทำตัว “ต้วมเตี้ยม” ในสายตาคนดูที่เฝ้าติดตามมากว่า 2 ปีที่ผ่านมา จนถูกปรามาสว่า “รัฐบาลดีแต่พูด” แต่ฝั่งเพื่อไทยดูเหมือนผุดแคมเปญที่มองถึงการกำหนดทิศทางของประเทศอย่างเป็นระบบ และมีรูปธรรมมากกว่า
      
       วัดกันที่ประเด็นค่าแรงขั้นต่ำ ระหว่าง 25 % กับ 300 บาท ที่วันนี้แผนของประชาธิปัตย์ในการขึ้นเงินอย่างเป็นขั้นบันไดให้สำเร็จภายใน 2 ปียังไม่แล้วเสร็จดี แต่ฝ่ายเพื่อไทยประกาศตูมเดียวว่า จะลดภาษีให้นายจ้าง-นายทุน เพื่อนำส่วนต่างมาโปะเงินให้ครบตามจำนวน 300 บาทที่ว่าไว้
      
       หมัดเดียวเข้าเป้าน็อกเลย
      
       หรือโครงการ “แจกบัตรเครดิตเกษตรกร” ที่แม้จะถูก มองว่าเป็นการก่อหนี้ให้กับชาวนาชาวไร่ แต่หากเดินหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพก็จะกลายเป็นการปลดภาระให้แก่เกษตรกร ในการจัดหาวุสดุอุปกรณ์ ตลอดจนไปถึงเมล็ดพันธุ์พืช โดยรัฐบาลเป็นผู้รับประกัน ที่ไม่ต้องเป็นหนี้หรือถูกพ่อค้าโก่งราคา ตัดความเป็น “ทาส” ของพ่อค้าออกจากสารบบได้ทันที
      
       เพื่อไทยยังเตรียมเปิด “ทีเด็ด” ชุดใหญ่ โดยเฉพาะในวันที่ 4 พ.ค.นี้ ที่จะยึดสวมลุมพินีคิกออฟนโยบาย “เพื่อไทย กทม. ต้องทำได้จริง และเห็นผลเร็ว” โดยที่น่าสนใจนอกเหนือจากโครงการคมนาคมที่ใช้เป็น “ยาสามัญประจำบ้าน” กันมาหลายยุคหลายสมัยแล้ว
      
       ยังมีการผนวกปัญหา 2 ส่วน ทั้งการขยายตัวของเมืองหลวง และปัญหาน้ำทะเลหนุนท่วม กทม. ออกแบบมาเป็นนโยบาย “แก้ปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก ทำเมืองหลวงให้สง่างาม” โดยการถมทะเล สร้างเขื่อนกันน้ำท่วม ที่ประสบความสำเร็จมาแล้วในหลายประเทศ ทั้งที่ญี่ปุ่น ฮอลแลนด์ หรือฮ่องกง ทั้งยังเป็นการแก้ปัญหาการสร้างเมืองใหม่ โดยไม่ต้องย้ายไปพื้นที่อื่น เช่นที่ จ.นครนายก ซึ่งติดปัญหาทางเทคนิค ต้องแก้กฎหมายอีกหลายฉบับ และใช้งบประมาณมหาศาล จนสุดท้ายต้องพับโครงการไปในที่สุด
      
       โดยการสร้างเมืองใหม่โดยอาศัยการถมทะเลนั้น จะนำงบประมาณในการลงทุน จากการเปิดขายพื้นที่ล่วงหน้า ซึ่งสามารถตั้งราคาได้สูงกว่าต้นทุนการลงทุนได้หลายเท่าตัว เพื่อวางแผนเปิดเป็นนิคมอุตสาหกรรม สร้างโอกาสทางธุรกิจ และสร้างงานอีกอย่างน้อย 1 แสนอัตรา ยกตัวอย่าง นิคมอุตสาหกรรมไอที ตามแนวทางที่ประเทศอินเดียประสบความสำเร็จมาแล้ว และเป็นฐานใหญ่ในการผลิตให้ผู้ประกอบการของสหรัฐฯ หรือแม้แต่ประเทศฟิลิปปินส์ ที่ดำเนินโครงการลักษณะนี้ จนทำให้เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวในเวลาอันรวดเร็ว
      
       ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ยังไร้วี่แววของโครงการขนาดใหญ่ที่จะมาเป็น ตัวช่วยในการพัฒนาประเทศให้แข็งแกร่ง อาจจะมีโครงการสร้างแหลมฉบัง ให้เป็นเมืองท่าสมบูรณ์แบบ (Harbor City) หรือการพลิกโฉมเมืองท่องเที่ยวตลอดชายฝั่งทะเลภาคใต้ และแหล่งท่องเที่ยวทั่วประเทศ ซึ่งเหมือนนำเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ โดยที่ในอดีตก็เคยมีความพยายาม แต่ก็ยังไม่สัมฤทธิ์ผลเสียที
      
       เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วแนวนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่ต่างจาก “น้ำขุ่น” ที่มองไม่เห็นอนาคตของประเทศ ตามสโลแกนที่ตั้งไว้เลย ทำได้เพียงการย่ำอยู่กับที่ ประคองเอาตัวรอดไปวันๆ ในขณะที่นโยบายของพรรคเพื่อไทยที่เป็น "น้ำใส" เห็นทิศทางของประเทศค่อนข้างชัดเจน แต่ก็ยังมี “ตำหนิ” ที่คล้ายกับ สายน้ำใส แต่ดันมีปลิงอาศัยอยู่ ซึ่ง “ปลิง” ที่ว่าก็คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯผู้หลบหนีคดีอยู่ในต่างแดน
      
       ว่ากันว่า ชุดนโยบายต่างๆที่คลอดออกมา ก็เป็นแนวคิดของ พ.ต.ท.ทักษิณแทบทั้งสิ้น ตามคอบเซปต์ “ทักษิณช่วยคิด เพื่อไทยทำ” ซึ่งทำให้บดบังความโดดเด่นของตัว “แคนดิเดต” ที่จะมาเป็นนายกฯของพรรคเพื่อไทย
      
       ที่สำคัญยังต้องถูกค่อนแคะว่าพรรคเพื่อไทยให้ “คนต่างชาติ” อย่าง พ.ต.ท.ทักษิณเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับพรรค ย่อมถูกนำไปสู่กระบวนการพิจารณาเพื่อ “ยุบพรรค” อีกคำรบก็เป็นได้
      
       แต่พรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องระวังจะเข้าตัวเอง ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเองเพราะอย่าลืมว่า “สถานะ” ของนายอภิสิทธิ์วันนี้ก็ไม่ต่างจาก พ.ต.ท.ทักษิณเท่าไรนัก เนื่องจากการถือครองสัญชาติอังกฤษ ที่แม้จะเป็นประเด็นเล็กน้อย แต่หลังจากเรื่องแดงขึ้นมาก็ยังไม่เห็นนายอภิสิทธิ์พยายามจัดการให้พ้นจาก ข้อกล่าวหาตรงนี้ ทั้งที่สามารถเดินไปแจ้งความประสงค์ต่อสถานทูตอังกฤษ ประจำประเทศไทย ที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านในซอยสวัสดีของนายกฯคนปัจจุบันเท่าไรนัก เพื่อสละสัญชาติอังกฤษ
      
       ดังนั้นหาก “ลิ่วล้อ” ค่ายพระแม่ธรณีบีบมวยผม อยากเดินหน้าเล่นงานพรรคเพื่อไทยให้จมดินด้วยประเด็นสัญชาติของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็คงต้องสะกิดให้หัวหน้าพรรคไปเคลียร์ตัวเองให้เรียบร้อยเสียก่อน
      
       ถึงตอนนี้เวลาประชาธิปัตย์คงปิดจุดอ่อนด้านนโยบายไม่ทันแล้ว แบบนี้ “เพื่อแม้ว” มีโอกาสกำชัยชนะในสนามเลือกตั้ง และได้รีเทิร์นกลับมาครองอำนาจค่อนข้างแน่

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง