การปาฐกถาพิเศษล่าสุดของ ศ.นพ.ประเวศ วะสี ทั้งๆ ที่มีอาการป่วยรุมเร้า
ชี้เปรี้ยงการรวมศูนย์อำนาจคือต้นตอปัญหาชาติ ทั้งขัดแย้งทางวัฒนธรรม
ทุจริตคอร์รัปชั่น โดยมีชายแดนใต้เป็นตัวอย่างที่ดี
แนะชุมชนท้องถิ่นแสดงบทบาท สร้างพลังขับเคลื่อนสู่จุดเปลี่ยน "ใต้สันติสุข"
การปาฐกถาดังกล่าวเกิดขึ้นบนเวทีสมัชชาปฏิรูปชายแดนใต้ ครั้งที่ 1 "ชายแดนใต้ไม่ทอดทิ้งกัน"
ที่เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อสัปดาห์แรกของปี 2555
ที่หอประชุมมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา
ซึ่งจัดโดยสภาประชาสังคมชายแดนใต้กับข่ายงานชุมชนท้องถิ่นและประชาสังคม
จังหวัดชายแดนใต้ โดยการสนับสนุนของสมัชชาปฏิรูป
มีประชาชนและนักศึกษาในพื้นที่สนใจเข้าร่วมรับฟังอย่างหนาแน่น
คนทอดทิ้งกันเพราะ "อำนาจ-เงิน"
ศ.นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส ในฐานะประธานสมัชชาปฏิรูป
กล่าวว่า แนวคิดไม่ทอดทิ้งกัน ถือเป็นหลักการที่ใหญ่มาก
เพราะว่าสังคมทั่วโลกวิกฤติอย่างมาก นั่นเป็นเพราะไปถือหลักการอื่น คือ
หลักการเรื่องอำนาจและเงินเป็นสำคัญ ทำให้เกิดการทอดทิ้งกัน เกิดการแบ่งแยก
เกิดเหตุความขัดแย้ง ทำลายสังคม ทำลายเศรษฐกิจ การเอาเปรียบกันต่างๆ
นานาทั่วโลก เกิดวิกฤตการณ์ไปทั่ว ทั้งวิกฤติธรรมชาติ เศรษฐกิจ สังคม
และการเมืองที่มาบรรจบ เป็นวิกฤตการณ์ระดับโลกเลยทีเดียว
และไทยก็เป็นส่วนหนึ่งของวิกฤตการณ์นั้นด้วย
เพราะเราไม่ถือหลักเคารพพระผู้เป็นเจ้าหรือเคารพหลักธรรมชาติที่ว่ามนุษย์
และธรรมชาติล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน จะทอดทิ้งอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้
จะทำอะไรต้องคิดถึงทั้งหมด การถืออำนาจและเงินเป็นใหญ่
นอกจากเป็นการไม่เคารพหลักการตัวนี้แล้ว ทำให้เกิดการทอดทิ้งกันด้วย
ฉะนั้นหลักการ "ชายแดนใต้ไม่ทอดทิ้งกัน" จึงเป็นหลักการที่ใหญ่มาก จากนี้ไปจึงเป็นรูปธรรมของการที่จะทำงานต่อไป ก็คือการ "รวมตัว ร่วมคิด ร่วมทำ" ของ
ทุกองค์กรในพื้นที่ ในทุกเรื่องและทุกระดับ ตั้งแต่ครอบครัวจนถึงระดับชาติ
ถ้าเรามีการรวมตัว ร่วมคิด ร่วมทำ นอกจากจะเป็นหลักการประชาธิปไตยแล้ว
ยังเป็นหลักการที่สร้างจิตสำนึกใหม่ด้วย นั่นคือการใช้หลักธรรม
เคารพศักดิ์ศรีคุณค่าความเป็นคนของคนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน
ไม่ใช้อำนาจและเงินเป็นใหญ่
และไม่ใช่ใช้อำนาจสั่งการโดยคนอื่นไม่ได้มีส่วนร่วม
"รวมศูนย์อำนาจ" ต้นตอขัดแย้งวัฒนธรรม
ศ.นพ.ประเวศ กล่าวต่อว่า สิ่งที่เป็นปัญหาร้ายแรงที่สุดในประเทศคือ "การรวมศูนย์อำนาจ" และการรวมศูนย์อำนาจเป็นต้นตอของความชั่วร้ายทั้งหลายที่เกิดขึ้นในประเทศนี้ มี 5 ประการ คือ
ประการที่ 1 การรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลางทำให้เกิดความขัดแย้งกับวัฒนธรรมท้องถิ่น
ทั้งนี้ วัฒนธรรมท้องถิ่น เป็นเรื่องสำคัญ
เพราะเป็นวิถีชีวิตร่วมกันของกลุ่มชนที่สอดคล้องกับสิ่งแวดล้อมหนึ่งๆ
โดยมีคุณค่าร่วมกัน มีความเชื่อ มีขนบธรรมเนียมประเพณี วิธีปฏิบัติต่างๆ
นานาร่วมกัน เป็นวิถีชีวิตที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลและสงบสุข
แต่การรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลางนั้น อยากให้เหมือนๆ กันไปหมด
ทั้งด้วยอำนาจของกฎหมาย การบังคับใช้กฎหมาย
หรือการใช้พละกำลังตำรวจทหารก็ตาม ก็เกิดความขัดแย้งไปทั่วประเทศ
เป็นการขัดแย้งกับวัฒนธรรมท้องถิ่น และอาการต่างๆ
นานาที่ออกมาชัดเจนที่สุดก็คือที่ชายแดนใต้ที่เกิดเป็นความรุนแรงขึ้น
ประการที่ 2 การรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลางทำให้ส่วนกลไกของรัฐต่างๆ ทำงานโดยใช้อำนาจ ไม่ได้ใช้ความรู้และปัญญา
การใช้อำนาจสั่งการไปทั่วในสังคมที่ซับซ้อนและยากในปัจจุบันนั้น
นอกจากจะไม่เกิดผลแล้ว กลับทำให้เกิดสิ่งแทรกซ้อนมากขึ้น
เพราะฉะนั้นถ้าเราไปดูกลไกของรัฐทั้งทางราชการและทางการเมืองจะเห็นว่ามี
สมรรถนะน้อยที่จะแก้ปัญหาต่างๆ อาจจะเรียกว่าแก้ปัญหาอะไรไม่ได้เลย
ทั้งความยากจน สิ่งแวดล้อม หรือความรุนแรง เพราะกลไกของรัฐที่ใช้อำนาจ
แต่ไม่ใช้ความรู้ ไม่ใช้ปัญญา
ต้นเหตุของทุจริต ความรุนแรง และรัฐประหาร
ประการที่ 3 การรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลางทำให้กลไกของรัฐจะมีการทุจริต คอร์รัปชั่นมาก อัน
นี้เป็นหลักสากล เป็นสัจธรรม เพราะถ้าอำนาจเข้มข้นที่ไหน
คอร์รัปชั่นหรือการทุจริตก็จะมากที่นั่น
เป็นการบ่อนทำลายประเทศเป็นอย่างยิ่ง
ประการที่ 4 การรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลางทำให้เกิดการแย่งอำนาจกันอย่างรุนแรง
ต้นเหตุให้เกิดความรุนแรงทางการเมืองก็เพราะการรวมศูนย์อำนาจ
แต่ถ้าอำนาจกระจายไปสู่ชุมชนท้องถิ่นทั้งหมดโดยทั่วถึง
ก็ไม่มีใครอยากมาแย่งอำนาจอะไร ผลประโยชน์ก็หาไม่ได้
คนที่จะเข้ามาทำงานก็ทำเพื่อบ้านเมือง มีความสามารถและมีความสุจริต
ไม่ใช่มาเพื่อหาผลประโยชน์กันอย่างทุกวันนี้
ประการที่ 5 การรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลางทำให้ทำรัฐประหารได้ง่าย
เพราะอำนาจมันรวมศูนย์อยู่ การยึดอำนาจก็ใช้กำลังแค่ไม่กี่คน
แต่ถ้าอำนาจกระจายไปหมด ก็จะไม่มีทางยึดอำนาจได้ เพราะไม่รู้จะยึดที่ตรงไหน
เพราะฉะนั้น
ประเทศที่เขากระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่นโดยทั่วถึงจะไม่มีการรัฐประหาร
เพราะมันทำไม่ได้ มันยึดไม่ได้
ยกสวิตเซอร์แลนด์ "กระจายอำนาจแก้โกง"
"ดูอย่างประเทศสวิตเซอร์แลนด์
เราอาจคิดว่าเป็นประเทศที่ดีและน่าอยู่
แต่ย้อนหลังไปร้อยกว่าปีเขาเต็มไปด้วยคอร์รัปชั่น โคตรโกง โกงทั้งโคตร
เพราะอำนาจรวมศูนย์อยู่อย่างเราทุกวันนี้ เมื่อเขารู้ตรงนี้
เขาก็ทำการกระจายอำนาจไปสู่ชุมชนท้องถิ่นโดยทั่วถึง มีประชากร 6 ล้านคน
แต่อำนาจนั้นกระจายไปสู่ 26 ท้องถิ่น เป็นแคนตอน (canton) 23 แคนตอน กับอีก
3 ที่เป็นเซมิออโตเมติก หรือกึ่งอัตโนมัติ รวมเป็น 26 แห่ง
ประชาชนเข้ามามีบทบาทได้โดยตรง เข้ามาควบคุมการบริหารท้องถิ่นได้
หลายเรื่องประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมเป็นประชาธิปไตยโดยตรง
คอร์รัปชั่นก็หายไป"
"ปัญหาใหญ่ของประเทศไทยอยู่ตรงนี้ ตลอดเวลาเกือบ 80
ปีที่เรียกว่าประชาธิปไตย
มันไม่ใช่ประชาธิปไตยที่แท้จริงและยังไม่ได้เกิดขึ้น
แต่เป็นเพียงการแย่งชิงอำนาจที่ระดับบนเท่านั้น ฉะนั้นสมัชชาสภาประชาสังคม
ชื่อก็บอกแล้ว “ประชาสังคม” แปลว่า สังคมเข้ามามีส่วนร่วม
เพราะฉะนั้นเรื่องกระจายอำนาจไปสู่ชุมชนท้องถิ่นโดยทั่วถึงจึงเป็นสิ่งสำคัญ
ที่สุดที่จะทำให้เกิดสันติสุขขึ้น" ประธานสมัชชาปฏิรูป กล่าว
ชูจัดการ "นโยบาย-พัฒนาอย่างบูรณาการ"
ศ.นพ.ประเวศ กล่าวอีกว่า ได้ชูประเด็นการปฏิรูปประเทศไทย คือ
ชุมชน ท้องถิ่น และจังหวัดมีการจัดการตัวเอง
จังหวัดที่มีวัฒนธรรมใกล้เคียงก็เป็นกลุ่มจังหวัดที่ควรจะจัดการตัวเอง
ถ้าถามว่าจัดการตัวเอง จัดการอะไร คำตอบคือจัดการ 2 อย่าง ได้แก่
1.การจัดการพัฒนาอย่างบูรณาการ และ 2.การจัดการเชิงนโยบาย
การจัดการพัฒนาอย่างบูรณาการ มีทั้งเรื่องเศรษฐกิจ จิตใจ
สังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม สุขภาพ การศึกษาและประชาธิปไตยไปด้วยกัน
เมื่อชุมชนจัดการตนเอง มีสภาผู้นำชุมชนที่มีผู้นำตามธรรมชาติรวมตัวกัน
ซึ่งในชุมชนที่เราเห็นก็มีอยู่ (หมายถึงชายแดนใต้) ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะครู
อิหม่าม
และผู้นำตามธรรมชาติจะมีคุณสมบัติสูงกว่าผู้นำโดยการเลือกตั้งและโดยการแต่ง
ตั้ง คือ 1.เป็นคนเห็นแก่ส่วนรวม 2.เป็นคนสุจริต 3.เป็นคนฉลาด มีสติปัญญา
เป็นคนรอบรู้ 4.เป็นผู้ที่สื่อสารเก่ง
เมื่อมีคุณสมบัติต่างๆเหล่านี้
การยอมรับของคนทั่วไปก็จะเกิดอัตโนมัติ
ซึ่งจะแตกต่างกับผู้นำที่มาจากการเลือกตั้งหรือโดยการแต่งตั้งที่ขาดใน
เรื่องความสุจริตหรือการมีสติปัญญา หรือการใช้อำนาจ
ใช้เงินทองเพื่อให้ได้ตำแหน่งมา
"ฉะนั้น
ผู้นำธรรมชาติที่มีอยู่ในชุมชนเป็นผู้นำที่มีคุณภาพสูง
ซึ่งแต่ละหมู่บ้านอาจจะมี 40-50 คน ลองคิดดูเรามี 80,000 หมู่บ้าน
(หมายถึงทั่วประเทศ) ถ้าเอา 50 คูณ ก็ประมาณ 4-5 ล้านคน ถือเป็นจำนวนที่มาก
ถ้าเรามองข้างบนไปที่นักการเมือง เราเกือบจะมองไม่เห็นเลยว่ามีคนที่สุจริต
มีสติปัญญาสูง มีคนที่เห็นแก่ส่วนรวมมาก
ขณะที่ชุมชนนั้นมีจำนวนมากเป็นธรรมชาติ
เพราะฉะนั้นถ้าเราจับตรงนี้ให้ได้ว่าชุมชนเข้มแข็ง ชุมชนจัดการตัวเอง
เราจะมีผู้นำที่มีคุณภาพเรียกว่าสูงสุด" ศ.นพ.ประเวศ ระบุ
ราษฎรอาวุโส กล่าวอีกว่า
การจัดการเชิงนโยบายเป็นการดูว่านโยบายไหนบ้างที่จะมาส่งผลกระทบหรือรบกวน
ความสงบสุขของประชาชน
ต้องรบกวนหรือกระทบน้อยที่สุดจึงจะสามารถขับเคลื่อนได้
เพราะว่าการจัดการพัฒนาอย่างมีบูรณาการนั้น
นำไปสู่สังคมแห่งการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข
แนะขับเคลื่อนต่อเนื่องจนถึง "จุดเปลี่ยน"
ศ.นพ.ประเวศ กล่าวด้วยว่า
สำหรับสมัชชาเฉพาะประเด็นที่ชายแดนใต้
จุดใหญ่จะเป็นการสร้างประชาธิปไตยชุมชนท้องถิ่น สร้างความร่วมมือกัน
เป็นการรวมตัว ร่วมคิด ร่วมทำกันอย่างที่ว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด
ซึ่งจะสะท้อนกลับไปทำให้การเมืองระดับชาติดีขึ้น ระบบกลไกของรัฐดีขึ้น
คอร์รัปชั่นน้อยลง สมรรถนะทางกลไกรัฐจะเพิ่มมากขึ้น
เพราะว่ามีฐานที่แข็งแรง ที่ฐานของประเทศคือชุมชนท้องถิ่น
ชุมชนท้องถิ่นนั้นเหมือนเป็นฐานปิรามิดของสังคม หรือฐานพระเจดีย์ของสังคม
ถ้าฐานแข็งแรงแล้ว ก็จะรองรับสังคมทั้งหมดให้มั่นคง
กระบวนการสมัชชาปฏิรูปเฉพาะประเด็น
หรือว่ากระบวนการสภาประชาสังคมต้องทำอย่างต่อเนื่อง
เราไม่ใช่ทำครั้งเดียวและมีข้อเสนอไป แต่เราต้องทำอย่างต่อเนื่องตลอดไปเลย
กระบวนการนี้เมื่อขับเคลื่อนไปจะทำให้เกิดพลังมากขึ้น
เป็นการสะสมพลังตัวเองเป็นพลังทางสังคมและพลังทางปัญญา
จริงๆแล้วเป็นพลังทางจิตวิญญาณด้วย เมื่อถึงจุดเปลี่ยนที่เรียกว่า
เทิร์นนิ่งพอยท์ (Turning Point) พอถึงจุดเปลี่ยนแล้ว
จะไม่หันกลับไปจุดเดิม
และจุดเปลี่ยนนั้นคือเกิดสังคมสันติสุขในชายแดนใต้!
ISRA Institute Thai Press Development Foundation
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
รีโมท
ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น