โดย : สิทธิศักดิ์ วนะชกิจ
นายสิทธิศักดิ์ วนะชกิจ โฆษกศาลยุติธรรม ได้เขียนบทความ "อากงปลงไม่ตก (2)" วอนเลิกวิจารณ์คดีนอกศาลขณะที่จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษา
อย่างไรก็ตามความเห็นแตกต่างที่อาจ ทำให้สังคมฉงนสนเท่ห์ ลังเล สับสนในทฤษฎีวิชาการทางกฎหมายหรือข้อเท็จจริงแห่งคดีที่ศาลพิพากษา ผู้เขียนย่อมจำต้องขออนุญาตอรรถาธิบายขยายความให้กระจ่างชัดขึ้น ซึ่งความเคลือบคลุมดังกล่าวคงเป็นข้อจำกัดหลายประการของผู้เขียนเอง บทความนี้จึงขอนำเอาความเห็นแย้งของท่านผู้อ่านมาเป็นประเด็นคลายปมให้ตก ผลึก ดังนี้
ข้อสงสัยประการแรก เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกอากงแล้วเหตุใดอากงยังได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าคดีจะถึงที่สุดตามหลัก Presumption of Innocence มิเป็นการขัดแย้งกันเองหรือ
คำตอบ ตราบใดที่อากงหรือ จำเลยยังคงติดใจโต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นด้วยวิธีการอุทธรณ์หรือฎีกาแล้ว ถือว่าคดีนั้นยังไม่จบสิ้นกระแสความหรือถึงที่สุด เนื่องจากศาลสูงอาจพิพากษายืน ยก กลับ แก้คำพิพากษาศาลล่างได้ ฉะนั้นผลของคดีจึงอาจจะตรงกันข้ามกับที่ศาลชั้นต้น หรือศาลอุทธรณ์ตัดสินก็ได้ เพราะในการพิจารณาพิพากษาคดี ศาลสูงยังคงใช้หลักข้อสันนิษฐานเดียวกันว่าจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์ ซึ่งเป็น คุณแก่จำเลยอันมีพื้นฐานมาจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา
เหตุผลสำคัญที่สนับสนุนข้อสันนิษฐานดังกล่าวคือแม้อากง จะต้องโทษจำคุกตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแล้ว แต่อากง ก็ยังคงมีสิทธิยื่นคำร้องของปล่อยตัวชั่วคราวในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกาได้เพราะคดียังไม่ถึงที่สุดนั่นเอง
ส่วนการที่อากงหรือจำเลยจะได้รับการประกันตัวในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกาหรือไม่นั้นเป็นคนละเรื่องคนละขั้นตอนกับที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าอากงมี ความผิด เพราะการพิจารณาพิพากษาคดีเป็นเรื่องที่ศาลชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานจนแน่ใจ ปราศจากข้อสงสัยว่ามีการกระทำความผิดจริงและจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดนั้น ศาลจึงพิพากษาลงโทษตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคแรก
ขั้น ตอนการขอปล่อยชั่วคราวในแต่ละชั้นศาล เกิดขึ้นตั้งแต่จำเลยเข้ามาอยู่ในอำนาจศาล ไม่ว่าจะเป็นศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ หรือศาลฎีกา ตามบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ส่วนการอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ปล่อยตัว ชั่วคราว ศาลจะพิจารณาเงื่อนไขตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108 และ 108/1 ซึ่งบางครั้งการอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวของศาลก็ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ ระบบยุติธรรมและสังคมได้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนเช่น ในคดีสำคัญหลายเรื่องที่จำเลยเป็นที่รู้จักและไม่รู้จักของสังคมได้รับการ ประกันตัวในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น หรือในคดีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดแต่จำเลยได้รับการประกันตัว ไปในระหว่างอุทธรณ์หรือฎีกาต่อมาได้หลบหนีไป ย่อมทำความเสียหายแก่กระบวนการยุติธรรมเพราะไม่สามารถนำตัวจำเลยมาพิจารณา คดีหรือรับโทษได้
จึงสรุปได้ว่า การที่จำเลยมีสิทธิได้รับการประกันตัวในศาลสูงจึงเป็นข้อสนับสนุนว่าจำเลย ได้รับการสันนิษฐานว่ายังเป็นผู้บริสุทธิ์ตามกฎหมายนั่นเอง
ข้อสงสัยประการต่อมา มีผู้โต้แย้งว่า ในคดีอากงเมื่อ ผู้เขียนบอกว่า สำหรับบุคคลที่เจนโลก โชกโชนสันดานเป็นโจรผู้ร้าย มีเจตนาทำร้ายสังคม สถาบันหลักของประเทศชาติและองค์พระประมุข อันเป็นที่เคารพสักการะของคนในชาติให้เกิดความเข้าใจหลงผิด ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงควรต้องถูกลงโทษอันขัดแย้งกันเองกับที่ ผู้เขียนบอกว่า อากงยังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าคดีจะถึงที่สุดนั้น
ใน ข้อนี้ ฟังผิวเผินอาจเป็นปรปักษ์กันเอง แต่สำหรับผู้ประกอบวิชาชีพกฎหมายหรือนักนิติศาสตร์ย่อมสามารถเข้าใจได้ไม่ ยาก หรืออาจเป็นความเลินเล่อที่ผู้เขียนมิได้อธิบายขยายความให้แจ่มแจ้งแทงทะลุ ความจริงคือข้อสันนิษฐานว่าจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นหลักการสากลของกฎหมายตามที่ได้อธิบายในข้อแรก ส่วนเนื้อหาข้อเท็จจริงแห่งคดีนั้นศาลจะพิพากษาอย่างไรเป็นเหตุผลเฉพาะคดี ตามพยานหลักฐานที่ทั้งสองฝ่ายโต้แย้งต่อสู้คดีกัน ถ้าจะพิพากษาลงโทษ จำเลย โจทก์ก็ต้องนำสืบพิสูจน์ให้ศาลเชื่อโดยสนิทใจว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ กระทำความผิดตามฟ้องโจทก์ แต่หากพยานหลักฐานไม่พอฟังลงโทษหรือมีข้อสงสัยตาม สมควรว่าจำเลยได้กระทำผิดหรือไม่ ก็ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้แก่ จำเลยและศาลต้องพิพากษายกฟ้องปล่อยจำเลยไป
หรือถ้าคดีใดอัยการโจทก์ สามารถนำสืบพิสูจน์จนให้ศาลเห็นและเชื่อได้ว่าจำเลยมีเจตนาชั่วร้าย ดังวลีที่ผู้เขียนบัญญัติขึ้น จำเลยในคดีนั้นก็สมควรที่จะได้รับโทษานุโทษตามความเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่ง คดี ทั้งนี้เพื่อปกป้องคุ้มครองปัจเจกชนซึ่งเป็นผู้เสียหายคุ้มครองความสงบเรียบ ร้อยของสังคม ประเทศชาติ ประชาชนและสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นเสาหลักความ มั่นคงของประเทศให้มีความปลอดภัย แต่ถ้าคำตอบสุดท้ายศาลสูงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลล่างว่าจำเลยไม่มีความผิด แล้ว ข้อกล่าวหาทั้งปวงและผลแห่งคำพิพากษาของศาลชั้นต้นย่อมถูกลบล้างไป จำเลยย่อมพ้นมลทินเป็นผู้บริสุทธิ์
อนึ่ง ที่มักจะมีการกล่าวอ้างว่าทุกคนมีสิทธิเสรีภาพตามธรรมชาติ ในการพูดหรือแสดงความคิดเห็นมีเกียรติยศศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ ไม่ควร ถูกใครทำร้ายย่ำยีบีฑาทั้งชีวิต ร่างกาย จิตใจ หรือชื่อเสียงเกียรติคุณ ข้อนี้ผู้เขียนเห็นด้วยแต่ว่าสิทธิ ดังกล่าวคงมิได้หมายความรวมไปถึงการมีสิทธิทำลายแผ่นดินเกิดของตนเองหรือเสา หลักของชาติบ้านเมืองหรือกระทำการใดอันฝ่าฝืนต่อกฎหมายที่ทุกคนเคารพและยึด ถือร่วมกัน อันเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเกินกรอบที่วิญญูชนจะยอมรับได้
การ กระทำการใดตามอำเภอใจโดยไม่เคารพสิทธิผู้อื่นก็ไม่ต่างอะไรกับคนป่าได้ปืน หรือคนเสียสติบ้าคลั่งไม่รู้สำนึกผิดชอบชั่วดี บริภาษด่าทอ ทำลาย ทำร้าย ผู้อื่นด้วยความคะนองใจ โดยมิได้คำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่ บุคคล สังคม และประเทศชาติรวมถึงตนเองและครอบครัว ดังนั้น เหตุผลของผู้เขียนที่หยิบยกมาเป็นข้อเขียนในบทความแรก จึงเป็นหลักการตามที่กฎหมายบัญญัติและเป็นกระบวนการที่ศาลใช้บรรทัดฐานในการ พิจารณาพิพากษาคดี มิได้มีความขัดแย้งกันแต่ประการใด
ข้อสงสัยประการสุดท้าย คือหลังจากที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยในคดีอากงแล้ว มี บุคคลหลายฝ่ายออกมาแสดงความคิดเห็น วิพากษ์วิจารณ์ข้อเท็จจริงคดีนี้ตามสื่อโทรทัศน์บางช่องหรือสื่อ สารสนเทศ โดยผู้วิจารณ์ไม่ได้อ่านหรือเห็นคำพิพากษาที่ศาลชั้นต้นตัดสิน แต่นำเอาข้อเท็จจริงนอกสำนวนหรือเฉพาะข้อต่อสู้ของจำเลยเป็นข้ออ้างสนับสนุน ความเชื่อของตนเองและกล่าวหาทำนองว่า ศาลชั้นต้นตัดสินผิดพลาด
ข้อนี้ ผู้เขียนขอฝากว่าคดีนี้อากงหรือ จำเลยซึ่งเป็นคู่ความคดีย่อมรู้ความจริงแก่ใจดีที่สุดว่าข้อเท็จจริงแห่งคดี หรือพยานหลักฐานฝ่ายโจทก์และฝ่ายตนเป็นอย่างไร และปัจจุบันคดีนี้อยู่ในระหว่างคู่ความทั้งสองกำลังใช้สิทธิอุทธรณ์คำ พิพากษาศาลชั้นต้นอยู่ บุคคลภายนอกที่มิใช่คู่ความในคดีไม่บังควรโน้มน้าวจูงใจทำให้สังคมเกิดอคติ ต่อข้อเท็จจริงที่ตนเองยังรู้ไม่แจ้งเห็นจริง เพื่อให้ผู้คนเชื่อว่าจำเลยบริสุทธิ์และศาลชั้นต้นพิพากษาไม่ถูกต้อง อันมิใช่เป็นการวิพากษ์ในเชิงวิชาการหรือติชมด้วยความเป็นธรรมและสุ่มเสี่ยง ต่อความผิดตามกฎหมาย
หนทางที่ถูกต้อง ควรปล่อยให้ศาลสูงเป็นผู้ทบทวนคำพิพากษาศาลล่างตามกระบวนการและช่องทางที่ กฎหมายกำหนดจะเหมาะสม ชอบธรรม ถูกต้อง และสง่างามกว่าการอุทธรณ์ข้อเท็จจริงนอกเรื่องนอกสำนวนนอกศาลซึ่งมีแต่ทำให้ สังคมผิดหลง สับสน และมีทัศนคติที่ไม่ถูกต้องต่อศาลและกระบวนการยุติธรรม
วันนี้ สังคมไทยยังอ่อนไหว คลื่นใต้น้ำยังไม่สงบ ประเทศชาติต้องการความเป็นเอกภาพ สันติภาพและสันติธรรม ต้องการความเข้มแข็งและความสามัคคี เพื่อสร้างความ เชื่อมั่นแก่ชาวโลก อันมีผลต่อระบบเศรษฐกิจการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวรวมทั้งเรื่องอื่น ๆ ผู้เขียนมั่นใจว่าคนไทยทุกคนรักแผ่นดินเกิด ต้องการเห็นประเทศชาติก้าวหน้ามั่นคง พัฒนาในทุกมิติให้เท่าทันอารยะประเทศ ปรารถนาให้บรรยากาศบ้านเมืองอบอุ่น เป็นมิตรต่อกัน ความสุขมวลรวมและรายได้ของประชากรในชาติสูง ถ้าทุกคนมีเป้าหมายตรงกันเช่นนี้ ผู้เขียนใคร่ขออนุญาตนำเอาคำกล่าวในอดีตที่เคยพูดกันมาเพื่อใช้เป็นแนวทางใน การสร้างชาติให้มีสันติสุขอย่างถาวรยั่งยืนคือ “อย่าดึงฟ้าต่ำ อย่าทำหินแตกและอย่าแยกแผ่นดิน"
ย้อนอ่าน อากง ปลงไม่ตก
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น