บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันอังคารที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2555

‘นิติราษฎร์’ เสนอโรดแมปร่างรัฐธรรมนูญ ตั้งคณะกรรมการร่าง 25 คน ใช้เวลา 9-10 เดือน



ที่หอประชุมศรีบูรพา (หอประชุมเล็ก) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ท่าพระจันทร์ วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ตัวแทนนักวิชาการกลุ่มนิติราษฎร์ เสนอโมเดลการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยมีเนื้อหา 2 ประเด็น คือ หนึ่ง วิธีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และสอง คือ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ควรจะมีหน้าตาอย่างไร
นิติราษฎร์

วิธีการจัดทำรัฐธรรมนูญ

คณะกรรมการจัดทำรัฐธรรมนูญ
แก้ไขรัฐธรรมนูญปัจจุบันเพื่อเปิดทางให้มีการตั้งองค์กรที่จัดทำรัฐ ธรรมนูญ เรียกว่า “คณะจัดทำรัฐธรรมนูญนิติรัฐและประชาธิปไตย” มีสถานะเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ
“คณะจัดทำรัฐธรรมนูญนิติรัฐและประชาธิปไตย” ประกอบด้วยกรรมการ 25 คน
คุณสมบัติของกรรมการคือต้องไม่เป็น ส.ส. หรือ ส.ว. หรือข้าราชการการเมือง
วิธีการเลือกรรมการ ให้สภาผู้แทนเลือก 20 คน วุฒิสภาเลือก 5 คน
  • สภาผู้แทนราษฎร เลือกกรรมการ  20 คน โดยแบ่งตามอัตราส่วนของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของแต่ละพรรคการเมืองและ กลุ่มพรรคการเมืองที่มีอยู่ในสภาผู้แทนราษฎร
  • วุฒิสภา เลือกกรรมการ 5 คน โดย 3 คนมาจากการเลือกของสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้ง และ 2 คนมาจากสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการสรรหา
  • การแบ่งให้สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเลือกกรรมการตามสัดส่วนจำนวนดัง กล่าว คำนวณจากฐานจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 500 คน และสมาชิกวุฒิสภา 150 คน โดยให้ความสำคัญกับสภาผู้แทนราษฎรมากกว่าวุฒิสภา และให้ความสำคัญสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้งมากกว่าสมาชิกวุฒิสภาที่ มาจากการสรรหา
หลังจากออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญแล้วเสร็จ ให้คณะจัดทำรัฐธรรมนูญนิติรัฐและประชาธิปไตยพ้นจากตำแหน่ง
คณะจัดทำรัฐธรรมนูญนิติรัฐและประชาธิปไตย
ปิยบุตร แสงกนกกุล หนึ่งในคณะนิติราษฎร์ให้ข้อมูลว่า รูปแบบที่นิติราษฎร์เสนออาจจะไม่ถูกใจคนที่คาดหวังเรื่องการมีส่วนร่วมขนาด ใหญ่ หรือรูปแบบสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ปี 2540 แต่รูปแบบที่นิติราษฎร์เสนอนั้น เป็นการศึกษาจากการร่างฯ ทั่วโลกซึ่งยอมรับว่า คณะกรรมการขนาดใหญ่ไม่สามารถดำเนินการร่างฯ รัฐธรรมนูญได้สัมฤทธิ์ผล ถึงที่สุดก็ต้องมีการจัดทำโดยคณะทำงานที่เป็นกลุ่มย่อยลงไปอีก
“ไอเดียสภาร่างฯ แบบไทยเกิดขึ้นเพราะรังเกียจนักการเมือง เป็นมายาคติที่เกลียดนักการเมือง บอกว่าเดี๋ยวเขียนเองก็เข้าข้างนักการเมือง และอีกประการหนึ่งคือ ต้องการถ่วงเวลา”  ปิยบุตรกล่าวและว่าเขาเห็นว่าโมเดลแบบสภาร่างรัฐธรรมนูญนั้นมีจุดอ่อนคือ ความล่าช้า ถูกเตะถ่วงเวลาไปเรื่อยๆ
กระบวนการยกร่างและจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
การยกร่างและจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ให้คณะจัดทำรัฐธรรมนูญนิติรัฐและประชาธิปไตยดำเนินการตามกระบวนการและขั้น ตอนภายในระยะเวลา ดังต่อไปนี้
  • กำหนดกรอบการยกร่างรัฐธรรมนูญ – 30 วัน
  • รับฟังความคิดเห็น – 60 วัน
  • ยกร่างรัฐธรรมนูญรายมาตรา – 60 วัน
  • นำร่างรัฐธรรมนูญเข้าสู่รัฐสภาเพื่อรับฟังความเห็นและอภิปรายรายมาตรา แต่ไม่อาจแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติในร่างรัฐธรรมนูญได้ ในกรณีที่มีการยุบสภาผู้แทนราษฎร ให้วุฒิสภาทำหน้าที่เป็นรัฐสภา – 60 วัน
  • นำความเห็นของรัฐสภากลับไปพิจารณาแก้ไข – 30 วัน
  • นำร่างรัฐธรรมนูญให้ประชาชนศึกษาและรณรงค์ก่อนออกเสียงประชามติ – 30 วัน
  • ประชาชนออกเสียงประชามติ ในฐานะประชาชนเป็นผู้ทรงอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ ผลการออกเสียงประชามติให้ถือเป็นเด็ดขาด
  • พระมหากษัตริย์ทรงประกาศใช้รัฐธรรมนูญ โดยมีประธานรัฐสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ
  • รวมระยะเวลาทั้งสิ้นประมาณ 9-10 เดือน

กรอบเนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับนิติราษฎร์

กรอบเนื้อหาโดยสังเขปของรัฐธรรมนูญตามความคิดของคณะนิติราษฎร์ มีดังต่อไปนี้
รัฐธรรมนูญและเอกสารทางการเมืองที่ใช้เป็นพื้นฐานของการจัดทำรัฐธรรมนูญ
  • พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475, รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475, รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 และอาจนำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 254๐ ในส่วนของการประกันสิทธิและเสรีภาพ ตลอดจนโครงสร้างสถาบันการเมืองและองค์กรทางรัฐธรรมนูญเท่าที่สอดคล้องกับ พัฒนาการในยุคร่วมสมัย
  • ประกาศคณะราษฎร
  • ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declarati0n 0f Human Rights) ลงวันที่ 1๐ ธันวาคม 1948 ของสหประชาชาติ
คำปรารภของรัฐธรรมนูญ
  • การอภิวัฒน์ 24 มิถุนายน 2475
  • ความเลวร้ายของรัฐประหารอันก่อให้เกิดวงจรอุบาทว์ในการเมืองไทย
  • การหวนกลับไปหาเจตนารมณ์ของคณะราษฎร และอุดมการณ์ประชาธิปไตยแบบคณะราษฎร
  • ประกาศหลักการพื้นฐานของราชอาณาจักรไทย
ประเด็นเนื้อหาของรัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญฉบับนิติราษฎร์ มีวัตถุประสงค์เพื่อปฏิรูป “สถาบันกษัตริย์ – ศาล – กองทัพ –สถาบันการเมือง” ให้สอดคล้องกับประชาธิปไตยและนิติรัฐ ดังนี้
1. หลักราชอาณาจักร
  • ประมุขของรัฐ คือ พระมหากษัตริย์
  • ปฏิรูปกฎเกณฑ์เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์
  • จัดวางโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประมุขของรัฐกับองค์กรผู้ใช้อำนาจอื่นๆ
2. หลักประชาธิปไตย
  • อำนาจสูงสุดของประเทศเป็นของประชาชน
  • อำนาจสูงสุดของประชาชนเป็นฐานแห่งอำนาจของระบบการปกครองประเทศและองค์กรผู้ใช้อำนาจทั้งหลาย
  • เจตจำนงของประชาชนแสดงออกโดยการเลือกตั้งอย่างแท้จริงที่กำหนดให้มีขึ้น ตามระยะเวลาที่แน่นอน โดยทั่วไป โดยเสมอภาค โดยเสรี และโดยลับ
  • เคารพเสียงข้างน้อย และเปิดโอกาสให้เสียงข้างน้อยสามารถกลับมาเป็นเสียงข้างมาก
3. หลักนิติรัฐ
  • การปกครองโดยกฎหมายที่ยุติธรรม
  •  กฎหมายที่ใช้ปกครองประเทศต้องมาจากความเห็นชอบของผู้แทนประชาชนหรือประชาชนโดยตรง
  • หลักการแบ่งแยกอำนาจ การประกันสิทธิเสรีภาพ
4. ความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ
  • รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้
  • กำหนดให้มีองค์กรควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ
  • หน้าที่ในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญของกษัตริย์
  • กำหนดให้ประมุขของรัฐต้องสาบานตนว่าจะปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญและพิทักษ์ไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญ ก่อนเข้ารับตำแหน่ง
5. ความเป็นรัฐเดี่ยวแบบกระจายอำนาจ
  • ราชอาณาจักรไทยเป็นรัฐเดี่ยว แบ่งแยกมิได้
  • รัฐต้องเคารพหลักการปกครองตนเองตามเจตนารมณ์ของประชาชนในท้องถิ่น
6. หลักประกันสิทธิและเสรีภาพ ความเสมอภาค และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
  • กำหนดให้สิทธิและเสรีภาพที่รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญนั้นมีผลโดยตรง และผูกพันองค์กรผู้ใช้อำนาจรัฐทั้งปวง
  • รับรองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ความเสมอภาค และสิทธิและเสรีภาพ ตลอดจนสิทธิมนุษยชนที่รับรองไว้ในกฎเกณฑ์ระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นรัฐ ภาคี
7. การแบ่งแยกอำนาจให้ได้ดุลยภาพระหว่างสถาบันการเมือง
  • แบ่งแยกองค์กรผู้ใช้อำนาจสูงสุดของประชาชนเป็น 3 องค์กร ได้แก่ นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ
  • กำหนดให้วิธีการใช้อำนาจเป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
  • ความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารเป็นระบบรัฐสภา
8.  โครงสร้างของสถาบันทางการเมืองและองค์กรตามรัฐธรรมนูญ
  • กำหนดให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาจากการเลือกตั้งโดยตรง โดยใช้ระบบเลือกตั้งที่มีความยุติธรรมและเสมอภาคแก่ประชาชนผู้ออกเสียงเลือก ตั้งทั้งในแง่จำนวนคะแนนเสียงและค่าของคะแนนเสียง
  • กำหนดให้มีการปฏิรูปกฎหมายรัฐสภา
  • กำหนดให้มีพระราชบัญญัติรัฐมนตรี และข้อบังคับการประชุมคณะรัฐมนตรี
  • ยุบเลิกองค์กรตามรัฐธรรมนูญในปัจจุบันที่ไม่มีสถานะเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญในทางเนื้อหา
  • ประกันความเป็นสถาบันขององค์กรอิสระในทางปกครอง
  • กำหนดให้ใช้ระบบสภาเดี่ยว แต่หากต้องการให้ใช้ระบบสองสภา ที่มาของสภาทั้งสองต้องมาจากการเลือกตั้ง
9. ความชอบธรรมทางประชาธิปไตยขององค์กรตุลาการ
  • ผู้พิพากษาศาลสูงและตุลาการศาลสูง ต้องได้รับการเสนอชื่อโดยคณะรัฐมนตรี และได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา
  • กำหนดให้มีผู้พิพากษาสมทบที่ได้รับการเลือกจากประชาชนหรือองค์ที่มีความชอบธรรมในทางประชาธิปไตยในศาลระดับล่าง
  • การแจ้งบัญชีทรัพย์สินของผู้พิพากษาศาลสูงและตุลาการศาลสูง และเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินต่อสาธารณะ
  • คณะกรรมการที่ทำหน้าที่บริหารงานบุคคลของผู้พิพากษาและตุลาการต้องมีความเชื่อมโยงกับประชาชน
  • ปฏิรูปกฎหมายว่าด้วยกระบวนการได้มาซึ่งผู้พิพากษาตุลาการและว่าด้วยหน่วยธุรการของศาล
1๐. การยอมรับความเป็นสังคมพหุนิยม
  • รับรองความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ศาสนา ภาษา วัฒนธรรม ประเพณี ความคิด ความเชื่อ
11. การตรวจสอบใช้อำนาจรัฐของทุกองค์กรให้ได้ประสิทธิภาพและดุลยภาพ
  • ปฏิรูปกฎหมายเกี่ยวกับการตรวจสอบอำนาจรัฐ
12. หลักประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ
  • เคารพหลักเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมโดยกลไกตลาด
  • ส่งเสริมให้มีการกระจายรายได้อย่างเป็นธรรม และจัดให้มีระบบสวัสดิการอย่างทั่วถึง
13. หลักความสูงสุดของรัฐบาลพลเรือนเหนือทหาร
  • กำหนดให้มีผู้ตรวจการกองทัพที่แต่งตั้งโดยสภาผู้แทนราษฎร
  • รับรองสิทธิและหน้าที่ของทหารในการปฏิเสธไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้ บังคับบัญชาที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและละเมิดกฎหมายอย่างชัดแจ้งและร้ายแรง
  • การแต่งตั้งโยกย้ายตำแหน่งระดับสูงในกองทัพเป็นอำนาจของคณะรัฐมนตรี
14. ความชอบธรรมทางประชาธิปไตยในกระบวนการจัดทำงบประมาณรายจ่าย
  • การเสนองบประมาณรายจ่ายประจำปีเป็นอำนาจหน้าที่ของฝ่ายบริหารเท่านั้น
  • การพิจารณาและให้ความเห็นชอบงบประมาณรายจ่ายประจำปีเป็นอำนาจหน้าที่ของรัฐสภา
  • องค์กรอื่นใดไม่อาจเสนอหรือแปรญัตติงบประมาณรายจ่ายประจำปีได้
15. การต่อต้านการแย่งชิงอำนาจสูงสุดของประชาชน
  • กำหนดให้มีบทบัญญัติในหมวดว่าด้วย “การลบล้างผลพวงของรัฐประหาร 19 กันยายน 2549” โดยมีเนื้อหาสาระตามข้อเสนอคณะนิติราษฎร์เรื่องการลบล้างผลพวงของรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
  • กำหนดให้ปวงชนชาวไทยมีสิทธิและหน้าที่ในการต่อต้านโดยวิธีการใดๆต่อการแย่งชิง (usurpation) อำนาจสูงสุดของประชาชน
  • กำหนดให้การแย่งชิงอำนาจสูงสุดของประชาชนเป็นความผิดอาญา ภายหลังการรื้อฟื้นอำนาจที่ชอบธรรมกลับมาได้แล้ว ก็ให้ดำเนินคดีต่อบุคคลที่แย่งชิงอำนาจสูงสุดของประชาชนดังกล่าว โดยให้อายุความเริ่มนับตั้งแต่มีการรื้อฟื้นอำนาจอันชอบธรรมนั้น
คณะนิติราษฎร์ : นิติศาสตร์เพื่อราษฎร
ท่าพระจันทร์, 22 มกราคม 2555

 

Logo

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง