ต้อง
ยอมรับว่าห้วงเวลานี้ กระแส "กระจายอำนาจ" และ "ท้องถิ่นปกครองตนเอง"
กำลังมาแรง ล่าสุดเมื่อวันที่ 10 ธ.ค.ก็เพิ่งมีเสียงประกาศก้องจากเวที
"ปัตตานีมหานคร: ประชาชนจะได้อะไร?" เดินหน้าล่าชื่อประชาชน 10,000 รายชื่อ
เพื่อเสนอกฎหมายขอสิทธิบริหารจัดการท้องถิ่นเองภายใต้โมเดล
"ปัตตานีมหานคร"
แต่เป็นที่ทราบกันดีว่า การเข้าชื่อเสนอกฎหมายในประเทศไทยนั้น
แม้รัฐธรรมนูญจะให้สิทธิไว้ก็จริง แต่กระบวนการ วิธีการ
และเส้นทางสู่ความสำเร็จ มีความเป็นไปได้น้อยมาก...
10 ปี 37 ฉบับ-สภาถกกว่า 1 พันวัน "ตกเกือบหมด"
จากการเก็บข้อมูลของนักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ พบว่า ในห้วง 10 ปีที่ผ่านมา
ตั้งแต่มีพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ.2542
พบว่ามีการเสนอกฎหมายจากภาคประชาชนรวมทั้งสิ้น 37 ฉบับ เป็นร่าง พ.ร.บ.36
ฉบับ ร่างรัฐธรรมนูญ 1 ฉบับ เฉลี่ยแล้วปีละ 4 ฉบับ
ทั้งนี้ ใน 37 ฉบับ เป็นการเสนอกฎหมายภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2540
จำนวน 16 ฉบับ รัฐธรรมนูญปี 2550 จำนวน 21 ฉบับ
เป็นกระบวนการนำเสนอจากประชาชนโดยตรง 31 ฉบับ
นำเสนอผ่านคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) 6 ฉบับ
โดยกฎหมายที่ถูกนำเสนอมากที่สุดเป็นกฎหมายว่าด้วยการบริหารราชการแผ่นดิน
เช่น กฎหมายจัดตั้งจังหวัด กฎหมายสภาตำบล ร่าง พ.ร.บ.องค์การบริหารส่วนตำบล
เป็นต้น
จากข้อมูลยังพบว่า กระบวนการพิจารณากฎหมายที่เสนอโดยภาคประชาชนมี 3 ขั้นตอน กล่าวคือ
1.ตรวจสอบรายชื่อและหลักเกณฑ์
2.กระบวนการพิจารณากฎหมายโดยสภาผู้แทนราษฎร และ
3.กระบวนการพิจารณากฎหมายโดยวุฒิสภา
แต่ที่ผ่านมาพบว่ากฎหมายจากภาคประชาชนไม่ผ่านขั้นตอนที่ 1 มากที่สุด
จำนวนถึง 17 ฉบับ โดยจำแนกระยะเวลาที่ใช้ในการพิจารณาต่อฉบับ คือ
ขั้นตอนที่ 1 ใช้เวลาเฉลี่ย 333 วัน ขั้นตอนที่ 2
การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ประมาณ 359 วัน ขณะที่ชั้นวุฒิสภาใช้เวลา 468
วัน รวมแล้วกฎหมายภาคประชาชนทั้งฉบับใช้เวลาพิจารณากว่า 1,100 วัน
เห็นอย่างนี้แล้ว ทำให้เกิดคำถามว่า ร่าง พ.ร.บ.ปัตตานีมหานคร
จะอยู่ตรงไหนกัน หรือจะมีจุดจบไม่ต่างกับร่างกฎหมายเกือบ 40
ฉบับที่กล่าวมานั้น
อย่างไรก็ดี ณ
นาทีนี้ต้องบอกว่าการเข้าชื่อเสนอกฎหมายของประชาชนไม่ใช่ช่องทางที่สิ้นหวัง
เสียทีเดียว เพราะเมื่อมีการเปลี่ยนรัฐธรรมนูญ
ก็ได้มีการปรับเกณฑ์การเข้าชื่อเสนอกฎหมายให้ง่ายขึ้น แม้จะยังไม่สมบูรณ์
สะดวก รวดเร็ว และเคารพความเห็นของประชาชนมากที่สุดก็ตาม
ปัจจุบันมีร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย
ที่เสนอโดยองค์กรต่างๆ รวม 4 ฉบับ "ศูนย์ข่าวภาคใต้ สถาบันอิศรา"
จึงขอเสนอบทวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบระหว่างร่างกฎหมาย 4 ฉบับนี้ และ
พ.ร.บ.ว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ.2542 ซึ่งมีอยู่เดิม
และยังบังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน
เพื่อประเมินโอกาสและความเป็นไปได้ที่กฎหมายจากปวงชนชาวไทยเจ้าของประเทศจะ
ผ่านการพิจารณาจากรัฐสภาให้ได้ชื่อว่าเป็น "กฎหมายของประชาชน" อย่างแท้จริง
ย้อนดูหลักเกณฑ์เก่า "เข้าชื่อเสนอกฎหมาย"
การเปิดให้ประชาชนเข้าชื่อเสนอกฎหมายนั้น
มีบัญญัติรับรองไว้ตั้งแต่ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาญาจักรไทย พ.ศ.2540
และยังได้ตรากฎหมายลูก คือ พ.ร.บ.ว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ.2542
ออกมาด้วย โดยยังคงมีผลบังคับใช้จนถึงทุกวันนี้ แม้ว่าหลักเกณฑ์สำคัญๆ
ของการเข้าชื่อเสนอกฎหมายจะเปลี่ยนไปมากแล้วตามรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550
ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันก็ตาม
แต่ในเมื่อยังไม่มีกฎหมายใหม่ออกมารองรับ จึงให้ใช้กฎหมายเดิมไปก่อนโดยอนุโลม
จากตรวจสอบของ "ศูนย์ข่าวภาคใต้ สำนักข่าวอิศรา"
พบปัญหามากมายในการเข้าชื่อเสนอกฎหมายโดยประชาชนตามหลักเกณฑ์เดิมที่ระบุไว้
ใน พ.ร.บ.ฉบับปี 2542 ซึ่งสามารถสรุปประเด็นได้ดังนี้
- ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวน 50,000 คนสามารถเข้าชื่อเสนอกฎหมาย
- การเสนอกฎหมายต้องมีร่างกฎหมายพร้อมด้วยบันทึกหลักการและเหตุผลประกอบ
- ผู้มีสิทธิเลือกตั้งร่วมกันเข้าชื่อกฎหมายได้เอง
หรือร้องขอให้ กกต.ดำเนินการจัดให้มีการเข้าชื่อเสนอกฎหมายก็ได้
โดยผู้มีสิทธิเข้าชื่อต้องลงลายมือชื่อตามแบบที่รัฐสภากำหนด
พร้อมสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้านของผู้เข้าร่วม
- การร้องขอต่อ กกต.ต้องมีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 100 คนขึ้นไปยื่นต่อประธาน กกต.พร้อมร่างกฎหมาย
-
ต้องติดประกาศรายชื่อของผู้เข้าชื่อเสนอกฎหมายที่หน่วยงานราชการต่างๆ อาทิ
ศาลากลางจังหวัด อำเภอ เทศบาล และเขตชุมชนขนาดใหญ่
เพื่อเปิดให้เจ้าของรายชื่อได้คัดค้านหากไม่ประสงค์จะเข้าชื่อเสนอกฎหมาย
จริง หรือป้องกันการแอบอ้าง
- กำหนดบทลงโทษจำคุก 1-5 ปีหรือปรับ 2 หมื่นถึง 1 แสนบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
กรณีผู้ใดกระทำการโดยมิชอบด้วยกฎหมายเพื่อขัดขวางไม่ให้ผู้อื่นไปใช้สิทธิ
การเข้าชื่อเสนอกฎหมาย
เทียบ 4 ร่างฯใหม่ ชงกฎหมายเข้าสภา "ง่ายขึ้น"
ต่อมารัฐธรรมนูญฉบับปี 2550
ได้ปรับแก้เนื้อหาที่เป็นสาระสำคัญของการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย
โดยลดจำนวนรายชื่อประชาชนจาก 50,000 รายชื่อเหลือเพียง 10,000 รายชื่อ
ซึ่งแม้ดูเหมือนจะทำให้ช่องทางการใช้สิทธิของประชาชนเปิดกว้างขึ้น
แต่จนถึงบัดนี้กฎหมายลูกของรัฐธรรมนูญ ซึ่งหมายถึง ร่าง
พ.ร.บ.ว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมายฉบับใหม่ กลับยังไม่คลอดออกมา ทั้งๆ
ที่ใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้มานานถึง 4 ปีแล้ว
ปัจจุบันมี 4 องค์กรเสนอร่าง
พ.ร.บ.ว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย จำนวน 4 ฉบับ มีเนื้อหาแตกต่างกัน
และแตกต่างกับ พ.ร.บ.ว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมายพ.ศ.2542 ด้วย
โดยแยกพิจารณาได้ดังนี้
1.ร่างของคณะรัฐมนตรี (ครม.) สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กำหนดให้มี "ผู้ริเริ่ม"
เสนอกฎหมาย พร้อมกำหนดกระบวนการขั้นตอนต่างๆ ในรายละเอียด
ทั้งให้ยกเลิกบทบาทของ กกต.ที่จะเข้ามาช่วยเหลือในการเข้าชื่อของประชาชน
โดยกำหนดให้มีการประกาศร่างกฎหมายและรายชื่อผู้ร่วมเสนอกฎหมายไว้ในเว็บไซต์
และกำหนดบทลงโทษใหม่ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น 2 ด้าน คือ การหลอกลวง ขู่เข็ญ
ชักจูงด้วยเงินเพื่อให้ลงชื่อด้านหนึ่ง
และการปลอมแปลงหรืออ้างชื่อปลอมอีกด้านหนึ่ง
ประเด็นที่ขาดหายไปจากร่างของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ คือ
ไม่กำหนดระยะเวลาในการตรวจร่างของประธานรัฐสภา
ซึ่งอาจทำให้เกิดความล่าช้าได้
และไม่ได้กำหนดให้องค์กรใดให้การสนับสนุนเรื่องงบประมาณ
หรือช่วยเหลือในการรวบรวมรายชื่อ
ซึ่งอาจส่งผลให้การเข้าชื่อเสนอกฎหมายโดยประชาชนเป็นไปได้ยาก
เพราะขาดทรัพยากรและทุนทรัพย์
2.ร่างของพรรคพลังประชาชน
มีเนื้อหาคล้ายคลึงกับ พ.ร.บ.ว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมายพ.ศ.2542
โดยไม่มีการเสนอหลักเกณฑ์ใหม่ที่เอื้อให้การเสนอกฎหมายโดยประชาชนสามารถทำ
ได้ง่ายขึ้นและเป็นจริงได้อย่างเป็นรูปธรรม
(เพียงแต่เปลี่ยนจำนวนประชาชนที่ร่วมกันเข้าชื่อเสนอกฎหมาย จาก 50,000
รายชื่อ เหลือ 10,000 รายชื่อตามรัฐธรรมนูญ)
3.ร่างของสถาบันพระปกเกล้า
(มาจากการเข้าชื่อเสนอโดยประชาชน) มีจุดเด่นอยู่หลายประการ อาทิ
กำหนดระยะเวลาตรวจร่างของประธานรัฐสภาว่าต้องไม่เกิน 45 วัน
และขยายเวลาการรวบรวมรายชื่อเพิ่มเติมหากรายชื่อไม่ครบได้อีก 90 วัน,
เปิดให้มีองค์กรสนับสนุนประชาชนในกระบวนการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย
โดยกำหนดให้องค์กรปฏิรูปกฎหมายช่วยเหลือในการยกร่าง
และให้กองทุนพัฒนาการเมืองสนับสนุนด้านงบประมาณ
แต่ไม่มีการกำหนดบทลงโทษกรณีมีผู้กระทำผิด
4.ร่างของมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ
(มาจากการเข้าชื่อเสนอโดยประชาชน)
มีเนื้อหาคล้ายคลึงกับร่างของสถาบันพระปกเกล้า
โดยได้เพิ่มเนื้อหาให้ทั้งสำนักงานเลขาธิการรัฐสภา
และคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายเป็นองค์กรสนันสนุนการยกร่าง
มีการจำกัดเงื่อนเวลาในการตรวจสอบร่างกฎหมายของประธานรัฐสภาให้สั้นลงเหลือ
เพียงแค่ 30 วัน เพื่อให้กระบวนการเสนอกฎหมายเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
และในกรณีที่ต้องรวบรวมรายชื่อเพิ่ม ก็ให้เวลาอีก 60 วัน
และยังกำหนดว่าถ้าประธานรัฐสภาจำหน่ายเรื่อง
ก็ไม่ตัดสิทธิประชาชนในการยื่นเรื่องใหม่
หลักการสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่เพิ่มเข้ามาก็คือ
ในชั้นพิจารณาของรัฐสภา
ต้องให้ผู้แทนของประชาชนที่เข้าชื่อเสนอกฎหมายได้ชี้แจงหลักการของร่าง
พ.ร.บ.ที่เสนอ และคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.
ต้องประกอบด้วยผู้แทนของประชาชนที่เข้าชื่อเสนอกฎหมายนั้นจำนวนไม่น้อยกว่า 1
ใน 3 ของจำนวนกรรมาธิการทั้งหมดด้วย
เข้าชื่อเสนอกฎหมาย ทำไมต้องใช้ทะเบียนบ้าน?
รศ.ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี
อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นว่า ที่ผ่านมา
พ.ร.บ.ว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย มีอุปสรรคสำคัญหลายประการ อาทิ
ประชาชนไม่สามารถรวบรวมรายชื่อได้ครบ
และขั้นตอนยุ่งยากตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายลูก ซึ่งรัฐธรรมนูญปี 2550
ได้ลดจำนวนประชาชนผู้ร่วมเข้าชื่อเสนอกฎหมายจาก 50,000 คนเป็น 10,000 คน
น่าจะส่งผลให้การเสนอกฎหมายทำได้ง่ายขึ้น
อย่างไรก็ดี ร่างกฎหมายใหม่ของทั้ง 4 องค์กร
ก็ไม่ได้กำหนดให้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบวิธีการลงชื่อ
กล่าวคือการลงชื่อต้องทำตามแบบที่รัฐสภากำหนด
โดยต้องใช้สำเนาบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้าน
คำถามคือวิธีการลงชื่อเช่นนี้เอื้อให้ประชาชนมีส่วนร่วมตามจริงหรือไม่
จำเป็นหรือไม่ที่ต้องใช้สำเนาทะเบียนบ้าน
เพราะประชาชนไม่ได้พกติดตัวตลอดเวลา
อุปสรรคข้อต่อมาคือ ขั้นตอนการพิจารณาโดยรัฐสภา
ในขั้นตอนของคณะกรรมาธิการวิสามัญควรมีผู้แทนประชาชนไม่น้อยกว่า 1 ใน 3
ของจำนวนคณะกรรมาธิการทั้งหมด (มีเสนอในร่างของมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ)
ประเด็นที่สำคัญกว่านั้น คือ
การส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการเสนอกฎหมายอย่างแท้จริง
เพราะปัจจุบันยังครึ่งๆ กลางๆ
เนื่องจากคณะกรรมาธิการวิสามัญทั้งในชั้นสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาสามารถ
แก้ไขเนื้อหาของร่างกฎหมายที่เสนอโดยประชาชนได้
หากต้องการยืนยันว่ากระบวนการเสนอกฎหมายเป็นของประชาชนจริง
ควรมีบทบัญญัติห้ามแก้ไขเนื้อหาที่ประชาชนยกร่างขึ้น
หรือเปิดให้มีการลงประชามติว่าจะรับหรือไม่รับร่างกฎหมายของประชาชน
ไม่ใช่ให้อำนาจอยู่ที่รัฐสภาเพียงอย่างเดียว
นักวิชาการชู 6 ข้อเสนอเพิ่มอำนาจประชาชน
รศ.ดร.สิริพรรณ กล่าวอีกว่า ในวาระที่มีการเสนอและพิจารณา
ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมายฉบับใหม่ จึงมีข้อเสนอแนะคือ
1.ต้องเปิดให้การร่วมลงชื่อเสนอกฎหมายทำได้ง่ายขึ้น
โดยใช้บัตรประจำตัวประชาชนและลายเซ็นก็พอ ไม่จำเป็นต้องใช้สำเนาทะเบียนบ้าน
2.ควรกำหนดระยะเวลาที่เหมาะสมในการพิจารณารับร่างกฎหมายของประธานรัฐสภา
รวมถึงจำกัดเวลาในทุกขั้นตอนของกระบวนการนิติบัญญัติในรัฐสภา อาทิ
ต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จและลงมติภายใน 3 เดือน เป็นต้น
3.อาจคงบทบาทของ กกต.ในกระบวนการเข้าชื่อ เพราะ
กกต.เป็นองค์กรขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมด้านทรัพยากร
จึงสามารถช่วยเหลือประชาชนในการประสานงานรวบรวมรายชื่อได้ แต่บทบาทของ
กกต.จะต้องจำกัดให้เป็นเพียงสถานที่ในการประสานงานเท่านั้น
เพื่อป้องกันการแทรกแซงทางการเมือง
4.เมื่อถึงขั้นตอนการพิจารณาโดยคณะกรรมาธิการวิสามัญ
ให้คงหลักการที่ต้องมีผู้แทนประชาชนที่เข้าชื่อเสนอร่างกฎหมายร่วมชี้แจงไม่
น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจำนวนกรรมาธิการวิสามัญ
5.สร้างกลไกที่จะทำให้ประชาชนผู้เสนอกฎหมายและประชาชนทั่วไปสามารถตรวจสอบทุกขั้นตอนของกระบวนการเสนอกฎหมายโดยประชาชนได้
6.กระบวนการเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบกฎหมาย
อาจมีได้ทั้งผ่านรัฐสภาและการทำประชามติโดยไม่ต้องผ่านรัฐสภา ทั้ง 2
กระบวนการอาจมีหลักเกณฑ์ที่แตกต่างกัน เช่น
แนวทางแรกอาจใช้เสียงประชาชนเพียง 10,000 คนในการเสนอกฎหมาย ส่วนแนวทางที่ 2
(ทำประชามติรับไม่รับร่างโดยไม่ผ่านรัฐสภาอย่างเดียว) อาจใช้เสียงประชาชน
20,000 คน เป็นต้น
เมื่อมองเห็นแนวโน้มที่ดีขึ้นของการเข้าชื่อเสนอกฎหมายโดยประชาชนแล้ว
ก็ต้องมารอลุ้นกันว่าร่างกฎหมายใหม่จะผ่านการพิจารณาและมีผลบังคับใช้เมื่อ
ไหร่...
หากทันภายในปีหน้า ร่าง พ.ร.บ.จัดตั้งปัตตานีมหานคร ก็อาจได้อานิสงส์ด้วย!
.
เขียนโดย ไพศาล เสาเกลียว, ปกรณ์ พึ่งเนตร
สถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
รีโมท
ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น