โถใครจะเชื่อ ว่าไทยผลิตน้ำมันเป็นอันดับที่ 33 ของโลกแล้ว!
โดย ประสาท มีแต้ม 31 กรกฎาคม 2554
หลังจากได้รวบรวมความคิดและวิธีการนำเสนอแล้ว สิ่งแรกที่ผมนึกถึงคือเนื้อเพลงลูกทุ่งยอดนิยม “สามสิบยังแจ๋ว” ของ ยอดรัก สลักใจ ที่ว่า “โถใครจะเชื่อว่าแม่บุญเหลืออายุมากแล้ว สามสิบยังแจ๋ว แจ๋วเสียจนน่าจีบ”
ในที่นี้ก็คือว่า “โถใครจะเชื่อว่าไทยผลิตน้ำมันเป็นอันดับที่ 33 ของโลกแล้ว ใกล้เคียงกับประเทศเอกวาดอร์ ประเทศสมาชิกกลุ่มโอเปก”
ข้อมูลข้างต้นมาจากรายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง “ธรรมาภิบาลในระบบพลังงานของประเทศ” ของวุฒิสภาที่มี คุณรสนา โตสิตระกูล เป็นประธานคณะกรรมาธิการศึกษาฯ
การส่งออกพลังงาน (ทั้งน้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูป และคอนเดนเสท-ปิโตรเลียมเหลวที่ได้จากการเจาะก๊าซธรรมชาติ) ได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงประมาณสิบปีมานี้ โดยที่ปี 2544 เป็นปีแรกที่เราเริ่มส่งออกน้ำมันดิบ และในอีก 3 ปีต่อมาเราก็เริ่มส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป สำหรับคอนเดนเสทนั้นมีการขนใส่เรือไปขายมาตั้งแต่เริ่มเจาะก๊าซในอ่าวไทย เมื่อ 20 กว่าปีมาแล้ว
มูลค่าการส่งออกพลังงานในปี 2551 เท่ากับ 9,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทยในขณะนั้นก็ประมาณ 3.2 แสนล้านบาท (ตอนนั้น 33 บาทต่อดอลลาร์) ในขณะที่ประเทศเอกวาดอร์ซึ่งเป็นสมาชิกกลุ่มโอเปก (กลุ่มที่มีสมาชิก 12 ประเทศ ซึ่งมีแหล่งน้ำมันดิบรวมกันเท่ากับ 79% ของโลก) มีการส่งออกพลังงานมากกว่าไทยเราเพียงนิดเดียวเท่านั้น
ถ้าพูดถึงการผลิตก๊าซธรรมชาติที่เราถูกโฆษณาว่าจะ “โชติช่วงชัชวาล” ตั้งแต่สมัยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี เอกสารของวุฒิสภาชิ้นนี้ระบุว่า ประเทศไทยเราผลิตก๊าซธรรมชาติได้เป็นอันดับที่ 27 ของโลก มากกว่า 2 ประเทศของสมาชิกกลุ่มโอเปก คือ ลิเบีย (ซึ่งสหรัฐอเมริกาเข้าไปแทรกแซงในสงคราม
กลางเหมือง) และคูเวต (ซึ่งสหรัฐอเมริกาหวงยิ่งนัก) เสียด้วยซ้ำ ถ้าเทียบกับมูลค่าการส่งออกข้าวหรือยางพารา (ในปี 2551) พบว่าเราส่งน้ำมันมากกว่าครับ
ผมถามจริงๆ นะครับว่า มีท่านผู้อ่านสักกี่เปอร์เซ็นต์ที่ได้ทราบความจริงเรื่องนี้มาก่อน ถ้าอย่างนั้นคงเห็นด้วยกับผมนะครับว่าเราต้องร้อง โถใครจะเชื่อ …
อย่างไรก็ตาม มูลค่าในการส่งออกพลังงานดังกล่าว ไม่ได้หมายความว่าเป็นพลังงานที่ผลิตได้ในประเทศไทยทั้งหมด เรื่องนี้ค่อนข้างซับซ้อนสักนิดครับ ผมขออธิบายโดยย่อดังนี้ (1) มูลค่าพลังงานที่ส่งออก 90% เป็นน้ำมันสำเร็จรูป อีก 10% เป็นน้ำมันดิบที่ขุดในประเทศไทย (2) น้ำมันสำเร็จรูปส่วนใหญ่ใช้น้ำมันดิบจากการนำเข้า มีบางส่วนเป็นน้ำมันดิบที่ขุดในบ้านเราเอง
อย่างไรก็ตาม ขอย้ำว่า ยอดการส่งออกพลังงานเป็นการนับรวมทั้งน้ำมันสำเร็จรูปที่ใช้น้ำมันดิบทั้ง จากการนำเข้าและจากการขุดในประเทศ รวมทั้งการส่งออกน้ำมันดิบที่เจาะจากประเทศไทยด้วย
ดังนั้น เมื่อพูดถึงมูลค่าการส่งออกสินค้าของประเทศ (ที่มีมูลค่าประมาณถึง 70% ของจีดีพี) แท้ที่จริงแล้วเป็นการส่งออกสินค้าที่ใช้วัตถุดิบจากนำเข้า มูลค่าการส่งออกจึงไม่ได้สะท้อนความมั่งคั่งของคนในประเทศ เราจึงอย่าไปหลงดีใจกับตัวเลขหลอกๆ รวมทั้งแนวคิดลวงโลกเรื่องจีดีพีหรือผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติด้วย
ถ้าเราอยากจะทราบว่า ประเทศไทยเราผลิตน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ (ที่ใช้ผลิตไฟฟ้า ก๊าซหุงต้ม และใช้ในอุตสาหกรรมรวมทั้งรถยนต์) ว่ามีมูลค่าปีละเท่าใด ก็ต้องสืบค้น แต่เนื่องจากผมไม่ทราบข้อมูลจึงขอคิดย้อนกลับจากข้อมูลในตารางที่ 6.1-6 ของกระทรวงพลังงาน เรื่องรายได้ของรัฐบาลจากค่าภาคหลวง
พบว่าในปี 2553 รัฐบาลได้ค่าภาคหลวงจากกิจการปิโตรเลียมจำนวน 44,713 ล้านบาท ซึ่งค่าภาคหลวงหรือค่าสัมปทานนี้มีอัตราประมาณ 12.5% ของมูลค่าปิโตรเลียมที่ผลิตได้ทั้งหมด ดังนั้นเราสามารถคำนวณได้ว่า มูลค่าปิโตรเลียมที่ผลิตได้จากเขตประเทศไทยมีมูลค่าประมาณ 3.13 แสนล้านบาท
สิ่งที่เราสนใจก็คือ ผลผลิตปิโตรเลียมที่สะสมมานับล้านปีจากบรรพชนรุ่นแล้วรุ่นเล่าจนมาถึงคนรุ่น เราที่มีมูลค่า 3.13 แสนล้านนั้น ถ้าแหล่งปิโตรเลียมนี้ตั้งอยู่ในประเทศอื่นๆ คนในประเทศนั้นควรจะได้รับส่วนแบ่งไปเท่าใด มากหรือน้อยกว่าที่ประเทศไทยเราได้รับคือ 12.5% หรือไม่ นี่คือคำถามที่บทความนี้จะต้องตอบครับ
รายงานของคณะกรรมาธิการวุฒิสภาชิ้นเดิมระบุว่า ประเทศโบลิเวีย รัฐได้รับจากค่าภาคหลวงสูงถึง 82% ของยอดการผลิตก๊าซธรรมชาติ ประเทศในภูมิภาคเดียวกันอย่างอินโดนีเซีย ก็ได้รับส่วนแบ่งผลประโยชน์จากน้ำมันดิบที่ 85% และก๊าซธรรมชาติที่ 70%
จากการศึกษาค้นคว้าของผมเอง พบสหรัฐอเมริกาได้ค่าภาคหลวงอยู่ในอันดับที่ 93 จากทั้งหมด 104 ระบบ โดยได้รับในช่วง 12.5 ถึง 16.6% (มากกว่าไทย) และต่อมาได้ปรับเพิ่มเป็น 18.75% ซึ่งเขายังถือว่าต่ำเกินไป (ข้อมูลจาก United States Government Accountability Office หรือ GAO)
ที่น่าสนใจคือการคิดค่าภาคหลวงน้ำมันดิบของเมือง Alberta ประเทศแคนาดา โดยคิดอัตราค่าภาคหลวงตามราคาน้ำมันดิบ โดยที่เพดานได้กระโดดไปจาก 30% ไปอยู่ที่ 40% เมื่อราคาน้ำมันดิบเกิน $70 ต่อบาร์เรล
โดยสรุป ค่าภาคหลวงปิโตรเลียมของประเทศไทยน่าจะอยู่ในกลุ่มที่มีอัตราต่ำที่สุดในโลก ถ้าเราใช้อัตรา ที่ 30% รัฐบาลก็จะได้ค่าภาคหลวงประมาณ 107,300 ล้านบาท ไม่ใช่ 44,713 ล้านบาทอย่างที่เป็นอยู่
โถใครจะเชื่อ…ในชื่อบทความนี้ถือว่าเป็นข่าวดีของประเทศ แต่เมื่อสาวลึกถึงผลประโยชน์ที่คนไทยได้รับค่าภาคหลวงที่ต่ำที่สุดก็ถือเป็น เรื่องร้าย เรื่องเศร้าที่ไม่น่าเชื่อ มันชุ่ยและแสนทรามถึงเพียงนี้เชียวหรือ? มิน่าละ บริษัทยูโนแคล ที่ขุดเจาะก๊าซในหลายประเทศทั่วโลก แต่เกินกว่าครึ่งของกำไรของบริษัทแม่ มาจากประเทศไทยประเทศเดียวครับ!
ยื่นศาลทวงคืน ปตท. เข้าตลาดหุ้นฉ้อฉล โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 1 สิงหาคม 2554 16:22 น. ASTVผู้ จัดการรายวัน - "มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน" เตรียมยื่นฟ้อง ปตท.และกระทรวงการคลัง เพื่อทวงคืน ปตท.กลับมาเป็นสมบัติของแผ่นดิน หลังจากมีหลักฐานชัด เอาหุ้นเข้าตลาดขัดต่อผลประโยชน์และธรรมาภิบาล พร้อมทั้งขออำนาจศาลให้เพิกถอนใบหุ้นและบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นที่ได้มาโดย วิธีฉ้อฉล รายงานข่าวแจ้งว่า ภายในสัปดาห์นี้ มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน กับ พวกอีก 8 คนในฐานะประชาชนผู้เข้าทำคำเสนอจองซื้อหุ้น เพิ่มทุน ของบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) และ ได้รับความเสียหายจากการแปรรูป การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย เพื่อเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ ช่วงปี 2544 เตรียมที่จะยื่นฟ้องต่อศาลปกครองให้พิพากษาดำเนินการสั่งให้ปตท.กลับมาเป็น สมบัติสาธารณะอีกครั้ง ทั้งนี้ จากการรวบรวมหลักฐานนับตั้งแต่ได้มีการแปรรูป การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นกิจการของรัฐ หรือ รัฐวิสาหกิจ ให้ เป็นบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2544 โดยแปลงทุนทั้งหมดเป็นหุ้นเพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัยพ์แห่งประเทศไทย และต่อมาได้จัดสรรหุ้น และเสนอขายต่อประชาชน พบว่า มีกระบวนการที่กระทำผิด และกลุ่มบุคคลกลุ่มหนึ่งที่แสวงหาผลประโยชน์ร่วมกันทุจริตฉ้อฉลด้วยวิธีการ ที่แยบยล กล่าวคือ 1.อ้างความจำเป็นที่จะต้องได้รับเงินทุนเพิ่มเติมเพื่อนำมาชำระหนี้ โดยกระทรวงการคลังไม่ต้องค้ำประกัน และเพื่อให้เป็นเครื่องมือในการแทรกแซงราคาน้ำมัน โดยอ้างว่าการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์เป็นการลดภาระหนี้ของรัฐบาล ประกาศแปรรูปกิจการของการปิโตรเลียมฯจากเดิมที่เป็นของรัฐทั้งหมดประชาชน เป็นเจ้าของ 100 เปอร์เซ็นต์ ให้เป็นกิจการที่รัฐโดยกระทรวงการคลังถือหุ้นแทนประชาชนอยู่เพียง 51 เปอร์เซ็นต์ และบุคคลดังกล่าวข้างต้นได้เข้าแย่งชิงหุ้นจำนวนหนึ่งของหุ้น 49 เปอร์เซ็นต์ไปเป็นของตนและพรรคพวก โดยการตั้งคณะกรรมการแปรรูปเข้าดำเนินการแปรรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะให้กลายเป็นบริษัทมหาชนจำกัดตามประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์ เพื่อดำเนินการนำหุ้นจำนวน 49 เปอร์เซ็นต์ออกขายทั้งในและนอกตลาดหลักทรัพย์ซึ่งปราศจากเหตุผลโดยชอบเพราะ การปิโตรเลียมฯยังมีฐานะทางการเงินและสภาพคล่องอย่างเพียงพอ โดยมีกำไรในปี2544 กว่า 2 หมื่นล้านบาท จึงไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุน นอกจากนี้ การระดมเงินในตลาดทุนอาจทำได้โดยวิธีการอื่นเช่น การออกหุ้นกู้ หรือพันธบัตรที่รัฐบาลไม่ค้ำประกันโดยไม่จำเป็นต้องขายหุ้นสามัญ เพราะสินทรัพย์ของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยขณะนั้น ยังมีมากเพียงพอที่จะค้ำประกันหุ้นกู้ และพันธบัตรของตนเองได้ อีกประการหนึ่งในฐานะเจ้าตลาด การเข้าแทรกแซงราคาน้ำมันก็ไม่จำเป็นต้องใช้เงิน เพราะเพียงประกาศตรึงราคา บริษัทน้ำมันต่างชาติก็จะไม่กล้าปรับราคาให้สูงขึ้นกว่าราคาที่ประกาศตรึง ไว้มากนัก และราคาที่ตรึงไว้ก็ยังเป็นราคาที่สามารถทำกำไรตามทางการค้าปกติได้ อีกทั้งในกรณีที่รัฐมีความจำเป็นต้องใช้เงินแทรกแซงราคาน้ำมัน รัฐก็มีกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงทำหน้าที่ดังกล่าวตั้งแต่ 27มีนาคม 2522 แล้ว ดังนั้น การอ้างความจำเป็นที่จะต้องได้รับเงินทุนเพิ่มเติมดังกล่าวจึงเป็นเพียงข้อ อ้างที่ขาดเหตุผล บุคคลดังกล่าวข้างต้นใช้อ้างอิงเพียงเพื่อที่จะทุจริตเข้าแย่งชิงทรัพย์สิน ของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยมาเป็นของตนกับพรรคพวกเท่านั้น 2.จัดให้มีการประเมินราคาสินทรัพย์ของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยเพื่อนำมา หาราคาตลาดของหุ้นสามัญในราคาที่ต่ำกว่าความเป็นจริง โดยตีราคาท่อส่งก๊าซธรรมชาติและอุปกรณ์ ซึ่งเป็นทรัพย์สินของรัฐเพียง 46,189.22 ล้านบาท และประมาณอายุการใช้งานไว้เพียง25 ซึ่งต่างจากอายุการใช้งานจริงที่ 50 ปี เพื่อให้มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงมาก เพราะหลังการแปรรูปเพียง 9 ปี ปตท.ได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาได้แก่ บริษัท General Electric International Operation Company (GEIOC) และบริษัท Shell Global Solution Thailand (SGST) ทั้ง 2 บริษัท ประเมินมูลค่าทางเศรษฐกิจ(Economic Value)ของท่อส่งก๊าซเดิมนี้พบว่ามีมูลค่าเพิ่มขึ้น 105,000-120,000ล้านบาท นอกจากนี้ ยังได้ตีราคาโรงกลั่นน้ำมันต่ำกว่าราคาจริง โดยอ้างเพียงราคาทางบัญชี (Book Value) ซึ่งมิใช่ราคาตลาด หรือมูลค่าทางเศรษฐกิจ(Economic Value) ที่แท้จริงของโรง ดังนั้น การตีราคาค่าสิทธิ์ค่าสัมปทานและมูลค่าทรัพย์สินต่างๆในการแปรรูปการ ปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย จึงเป็นการตีราคาต่ำกว่าราคาตลาดที่แท้จริง ทั้งนี้ เพื่อที่ให้หุ้นของผู้บริหาร ปตท.มี ราคาเปิดจองเพียง 31-35 บาทต่อหุ้น เพื่อเปิดโอกาสให้กลุ่มบุคคลที่ต้องการหุ้น ปตท.และพรรคพวกเข้าซื้อได้โดยง่าย 3.มีการกำหนดให้บุคคลบางกลุ่มที่คณะกรรมการของ ปตท. เห็นชอบ ให้ซื้อหุ้นเพิ่มทุน จำนวน 25 ล้านหุ้นได้ในราคาพาร์ ( 10 บาทต่อหุ้น ) ซึ่งต่ำกว่าราคาเปิดจองและต่ำกว่าราคาสินทรัพย์ต่อหุ้นที่แท้จริง โดยอ้างสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่า ผู้ถือหุ้นของบริษัทจำกัดสามารถให้หุ้นอุปการคุณในราคาพาร์ได้ ซึ่งความจริงแล้วคณะกรรมการของ ปตท. หรือคณะรัฐมนตรีไม่มีสิทธิ์กระทำเช่นว่านั้นได้ เพราะผู้ถือหุ้นที่เป็นเจ้าของทรัพย์สินของบริษัทส่วนตัวชอบที่จะขายใครใน ราคาเท่าใดก็ได้ แต่คณะกรรมการของ ปตท. และคณะรัฐมนตรีมิใช่เจ้าของบริษัทฯจึงไม่มีอำนาจที่จะขายหุ้น การขายหุ้นจำนวนนี้ จึงเป็นการขายโดยไม่โปร่งใส ไม่เป็นธรรม ขาดหลักธรรมาภิบาลและไม่อาจตรวจสอบได้ เพราะผู้บริหาร ปตท. ไม่ยอมเปิดเผยว่าผู้ใดได้หุ้นอุปการคุณไปจำนวนเท่าใด และบรรดาผู้ได้หุ้นอุปการคุณไปนั้นได้มีอุปการคุณอย่างใดต่อปตท. 4. หุ้นเพิ่มทุนจำนวน 750 ล้านหุ้นและหุ้นเดิมของกระทรวงการคลังอีก 50 ล้านหุ้น รวม 800ล้านหุ้น เป็นทรัพย์สินของคนไทยทั้งชาติ หากจะขายจึงควรขายให้แก่คนไทยโดยเท่าเทียมกันก่อน หากเหลือจึงจะขายให้แก่นักลงทุนต่างชาติได้ แต่เพื่อที่จะเข้าแย่งชิงทรัพย์สินของชาติและประชาชน คณะกรรมการแปรรูปฯได้มีการกำหนดสัดส่วนว่า ให้ขายให้แก่นักลงทุนรายย่อยเพียง 220 ล้านหุ้นเท่านั้น ทว่า ขายในราคาพาร์ให้แก่ผู้มีอุปการคุณจำนวน25 ล้านหุ้น ขายให้แก่นักลงทุนประเภทสถาบันไทยจำนวน 235ล้านหุ้น และขายให้นิติบุคคลต่างประเทศจำนวน320ล้านหุ้น การกำหนดไว้ก่อนเช่นนี้ นอกจากไม่เป็นธรรมและขาดหลักธรรมมาภิบาลแล้ว ยังเป็นการกำหนดเพื่อบุคคลดังกล่าวข้างต้น และพรรคพวก จะเข้าแย่งชิงทรัพย์สินของรัฐและประชาชนในกิจการของปตท.ได้มากยิ่งขึ้น และง่ายขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขายให้นิติบุคคลต่างประเทศจำนวนมากถึง 320ล้านหุ้นนี้ เป็นช่องทางอันสำคัญในการทุจริตและยักยอกทรัพย์สินของผู้มีอำนาจที่เกี่ยว ข้อง เนื่องจากอยู่นอกเหนือกลไกการตรวจสอบใดๆของรัฐและอยู่ในรูปของการถือหุ้นใน ฐานะตัวแทนเชิด( Nominee) แทบทั้งสิ้น 5. หุ้นที่ขายให้นักลงทุนประเภทสถาบันไทยจำนวน 235 ล้านหุ้น ก็มีการกำหนดให้ผู้จัดการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายเป็นผู้คัด เลือกนักลงทุน โดยไม่แถลงวิธีการคัดเลือกและประกาศให้สาธารณชนรู้ 6.มีการกำหนดให้หุ้นจำนวน 320 ล้านหุ้น ขายให้แก่นิติบุคคลต่างประเทศที่ไม่มีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทย และอยู่นอกอำนาจของศาลไทยและอยู่นอกอำนาจของเจ้าพนักงานไทยที่จะเข้าตรวจสอบ ผู้ถือหุ้นที่เป็นนิติบุคคลต่างประเทศเหล่านี้เกือบทั้งหมดเป็นทรัสต์ที่ ดูแลทรัพย์สินของผู้อื่น จึงมีบุคคลในรัฐบาลบางคนได้มีผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest) เข้าไปทำสัญญาจัดตั้งกองทุนส่วนบุคคลเข้ามาซื้อหุ้นของปตท.โดยหลีกเลี่ยง กฎหมาย ป.ป.ช. และหลีกเลี่ยงการตรวจสอบโดยเจ้าพนักงานของรัฐบาลไทย 7.นอกจากนี้ได้มีบรรดาพรรคพวกของบุคคลดังกล่าวในฟ้องข้อ 1 ได้เข้าแย่งชิงสิทธิการจองโดยเท่าเทียมกันของผู้จองซื้อรายย่อยจำนวน 220 ล้านหุ้น โดยเข้าจองซื้อก่อนเวลารับจอง (9.30 น.) จำนวน 863 ราย ไม่ทราบจำนวนหุ้น เพราะปตท. และคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ได้ร่วมกันช่วยเหลือบุคคลที่ เข้าแย่งชิงหุ้นเหล่านี้ ปิดบัง ซ่อนเร้นข้อมูล ทั้งนี้ ปรากฏรายละเอียดว่า มีผู้เข้าจองซื้อมากกว่า 1ใบจอง รวม 428ราย เป็นหุ้นจำนวน 67,357,600หุ้น อันเป็นการขัดต่อเงื่อนไขที่ปรากฏตามหนังสือชี้ชวน นอกจากนี้หลังจากที่แปรรูปแล้วยังทำให้ประชาชนผู้บริโภคได้รับความเดือด ร้อน เศรษฐกิจถูกกระทบ เพราะ การดำเนินการในรูปแบบบริษัทจำกัดของ ปตท.ไม่สามารถสร้างสมดุลให้กับกิจการพลังงานของประเทศได้ ดังนั้น ประชาชน โดยมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน และ พวก จึงขอให้ศาลปกครองพิจารณาดังนี้ 1.การที่ ปตท.ได้สนองรับคำเสนอที่กระทำโดยฉ้อฉลและการไม่สั่งให้โมฆะตลอดจนการให้ สัตยาบันโดยการออกใบหุ้นให้แก่ผู้จองซื้อก่อนเวลาของวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2544 จำนวน 863ราย และสนองรับคำเสนอโดยฉ้อฉลและไม่บอกล้างโมฆะ ตลอดจนการให้สัตยาบันโดยการออกใบหุ้นให้แก่ผู้จองซื้อหุ้นของผู้ซื้อรายย่อย มากกว่า 1 ใบจอง รวม 428 ราย เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอนและวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่ กำหนดไว้สำหรับการเสนอจองซื้อหุ้น เป็นการสนองรับการจองซื้อและให้สัตยาบันของ ปตท. โดยไม่สุจริตและมีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อประชาชนทั่วไป และเป็นการสนองรับคำเสนอซื้อที่ขัดต่อกฎหมายและเป็นโมฆะกรรม และขอให้ศาลสั่งให้ ปตท. เพิกถอนใบหุ้นและบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นที่ ปตท.ได้ยื่นต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร และต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่ง ประเทศไทยและนายทะเบียนหลักทรัพย์ โดยให้หุ้นดังกล่าวข้างต้นกลับคืนเป็นของกระทรวงการคลัง ต่อไป เพื่อที่กระทรวงจะได้ทำการจัดสรรใหม่โดยเป็นธรรมหรือโดยประการอื่นต่อไป 2. ผู้ฟ้องคดีทั้งหมดขอให้ศาลมีคำสั่งให้ปตท.ส่งรายชื่อผู้ถือหุ้นทั้งหมดที่ ได้จองซื้อในการเปิดขายคราวนี้โดยแยกประเภทว่าผู้ใดเป็นผู้จองซื้อรายย่อย และได้จองซื้อในเวลาลำดับที่เท่าใด ผู้ใดเป็นผู้ถือหุ้นประเภทสถาบันในประเทศ และเรียกผู้จัดจำหน่าย และรับประกันการจัดจำหน่าย และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายเข้ามาในคดีและแสดงหลัก การและเหตุผลในการคัดเลือกบุคคลทั่วไปในประเทศเข้าเป็นผู้ถือหุ้นของ ปตท. จำนวน 235 ล้านหุ้น 3.ให้ ปตท. แสดงรายชื่อผู้ถือหุ้นอุปการคุณจำนวน 25 ล้านหุ้นและขอให้ศาลเพิกถอนหุ้นดังกล่าวข้างต้นให้เป็นของกระทรวงการคลัง 4. ขอให้ศาลเรียกผู้ถือหุ้นนิติบุคคลต่างประเทศจำนวน 320ล้านหุ้น เข้ามาในคดีและให้แสดงที่มาของเงินที่ใช้ในการซื้อหุ้นและการจัดสรรเงินปัน ผลที่ได้รับจากปตท. หากนิติบุคคลต่างประเทศเหล่านั้นไม่ยินยอมเข้ามาในคดีหรือไม่อาจแสดงที่มา ของเงินลงทุนและการจัดสรรเงินปันผลโดยชอบได้ ขอให้ศาลมีคำสั่งให้หุ้นที่ขายแก่นิติบุคคลต่างประเทศเหล่านั้นตกเป็น ของกระทรวงการคลัง 5.ขอให้ศาลได้โปรดมีคำพิพากษาว่า การที่ข้าราชการที่มีหน้าที่กำกับดูและนโยบายพลังงานของชาติเข้าไปเป็น กรรมการของ ปตท.รวมทั้งบริษัทที่ดำเนินธุรกิจพลังงานและธุรกิจปิโตรเคมีในเครือทั้งที่ มีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจและเอกชน เป็นการกระทำที่ขัดกับแห่งผลประโยชน์และขัดต่อหลักธรรมาภิบาลอย่างร้ายแรง และขัดต่อ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2522 มาตรา 100(4) และการเข้าเป็นกรรมการดังกล่าวข้างต้นตกเป็นโมฆะมาตั้งแต่แรก และ 6. ขอให้ศาลมีคำพิพากษาบังคับให้กระทรวงการคลัง ดำเนินการทวงคืนสาธารณสมบัติอันได้มาจากอำนาจตามกฎหมายมหาชน รวมทั้งเงินค่าใช้บริการท่อส่งก๊าซและดอกผลของค่าใช้บริการท่อส่งก๊าซทั้ง หมด นับตั้งแต่วันแปรรูปของ ปตท. จนถึงวันดำเนินการเสร็จสิ้นให้ตกเป็นของกระทรวงการคลัง. ธรรมชาติทางทะเล กำลังถูกนายทุนขุดเจาะน้ำมันต่างชาติ รุกคืบอย่างหนัก +++++ อยาก ให้ทาง"ราชการนักการเมือง"ที่ดูแล สำนึกรักและหวงแหนทรัพยากรทางธรรมชาติใต้น้ำ ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิดหน้าชูตาของไทยสู่ชาวโลก มากกว่านี้ ตาม ที่"กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน"และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยว ข้องได้อนุมัติให้มีการขุดเจาะสำรวจปิโตรเลียมในพื้นที่รอบแหล่งท่อง เที่ยวที่มีความสำคัญของประเทศ ได้แก่ "เกาะสมุย เกาะพะงัน เกาะเต่า" และอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทองนั้นเป็นสิ่งอันตรายมาก หากเกิด อุบัติเหตุน้ำมันรั่วไหลลงแหล่งน้ำจะทำลายแหล่งธรรมชาติใต้ทะเลอย่างที่ เคยเกิดขึ้นกับ อเมริกาโดยบริษัท BP นั้น สัตว์น้ำ เต่าทะเลปะการัง ดาวทะเล ถูกทำลายไปจนหมด จนยากที่จะฟื้นคืนสภาพได้ดังเดิม อยากวิงวอนให้ยกเลิกสัมปทานดังกล่าวโดยเร็วก่อนที่จะมีการก่อสร้างแท่นขุด เจาะน้ำมัน ในบริเวณดังกล่าว สัมปทานมีที่ได้ขออนุญาตขุดเจาะสำรวจ ก่อน ปี 2553 คือแปลงสัมปทาน G4/50 ของบริษัทเชฟรอน ปิโตรเลียม (ประเทศไทย) จำกัด มีระยะห่างจากเกาะพะงันและเกาะสมุยเพียง 65 กับ 78 กิโลเมตร และ G6/48 ของบริษัท เพิร์ลออยล์ (อมตะ) จำกัด มีระยะห่าง 113 กับ 110 กิโลเมตร นอกจากนี้ยังมีแปลงสัมปทานที่ขออนุญาตขุดเจาะสำรวจใหม่ปี 2553 ที่อยู่ใน ขั้นตอนศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และมีหลุมเจาะใกล้เกาะสมุย เกาะพะงันและเกาะเต่าอีก 2 บริษัทคือ แปลงสัมปทาน B8/38 ของบริษัทซามานเดอร์ เอนเนอร์ยี่ (บัวหลวง) จำกัด ห่างจากเกาะเต่าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ 65 กิโลเมตร กับ แปลงสัมปทาน G5/50 ของบริษัทนิวคอสตอล (ประเทศไทย) จำกัด มีระยะห่างจากเกาะสมุยไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้เพียง 42 กิโลเมตร และห่างจากชายฝั่งอำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช ไปทางทิศตะวันออกเพียง 41 กิโลเมตร การกระจายหุ้นบริษัทปตท.จำกัด(มหาชน)ทั้ง 800 ล้านหุ้นเมื่อปี 2544 ในนามของการแปรรูปนั้นมีปัญหาความไม่ชอบมาพากลทุกกลุ่ม หุ้นดังกล่าวเป็นทรัพย์สินของคนไทยทั้งชาติโดยหลักการแล้วหากจะขายจึงควรขาย ให้แก่คนไทยโดยเท่าเทียมกันก่อน หากเหลือจึงจะขายให้แก่นักลงทุนต่างชาติได้ แต่เพื่อที่จะเข้าแย่งชิงทรัพย์สินของชาติและประชาชนคณะกรรมการแปรรูปฯ กำหนดสัดส่วนให้ขายแก่นักลงทุนรายย่อยเพียง 220 ล้านหุ้น ขายในราคาพาร์ให้แก่ผู้มีอุปการคุณจำนวน 25ล้านหุ้น ขายให้แก่นักลงทุนประเภทสถาบันไทยจำนวน 235 ล้านหุ้น แต่ขายให้นิติบุคคลต่างประเทศจำนวนมากที่สุดและสามารถแอบแฝงเข้าถือครองได้ ง่ายที่สุดจำนวน 320 ล้านหุ้น นี่คือเทคนิคการฉ้อฉลชั้นเซียนเปรียบเสมือนล็อกสเป็กไว้ล่วงหน้าเพราะการ กำหนดเช่นนี้คือการวางเงื่อนไขระเบียบวิธีการและกำหนดเพื่อบุคคลเข้าแย่งชิง ทรัพย์สินของรัฐและประชาชนในนามของการจัดสรรเพื่อการแปรรูปรัฐวิสาหกิจง่าย ขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขายให้นิติบุคคลต่างประเทศเพราะอยู่นอกเหนือกลไกการ ตรวจสอบใดๆของรัฐและอยู่ในรูปของการถือหุ้นในฐานะตัวแทนเชิด( Nominee) ได้ วงการเชื่อกันว่านักการเมืองไทยได้ครอบครองหุ้นของปตท.ด้วยสัดส่วนสูงมาก ผ่านหุ้นกลุ่มที่จัดขายให้นิติบุคคลต่างประเทศจำนวนมาก 320 ล้านหุ้น ซึ่งเป็นการง่ายดายมากที่นักการเมืองไทยจะถือหุ้นผ่านโบรกเกอร์ต่างประเทศ หรือที่วงการหุ้นเรียกขานว่า “ฝรั่งหัวดำ” นี่เป็นความลับดำมืดมายาวนานเกือบ 10 ปีว่ามีฝรั่งหัวดำถือครองหุ้นปตท.มากน้อยเพียงใด มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินจึงได้ร้องขอศาลปกครองเพื่อจัดการให้ความลับดำกล่าว คลี่คลายออกมาโดยบรรยายคำฟ้องว่า “มีบุคคลในรัฐบาลบางคนได้มีผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest) เข้าไปทำสัญญาจัดตั้งกองทุนส่วนบุคคลเข้ามาซื้อหุ้นของ(บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน)โดยหลีกเลี่ยงกฎหมาย ป.ป.ช. และหลีกเลี่ยงการตรวจสอบโดยเจ้าพนักงานของรัฐบาลไทย ผู้ฟ้องคดีจึงประสงค์จะขอให้ศาลเรียกบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นเหล่านี้จากผู้ ถูกฟ้องคดีที่ 1(บริษัทปตท.จำกัด(มหาชน) และเรียกผู้ถือหุ้นต่างประเทศเหล่านี้เข้ามาในคดี และพิสูจน์ที่มาของเงินที่นำมาซื้อหุ้น ตัวตนของผู้ถือหุ้นที่แท้จริง รวมทั้งเงินปันผลที่จ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้นที่เป็นนิติบุคคลต่างประเทศเหล่า นี้ว่า ได้โอนจากบัญชีของนิติบุคคลเหล่านั้นเข้าบัญชีของผู้ใด เพื่อตรวจสอบว่ามีหุ้นที่จำหน่ายให้แก่บุคคลโดยผิดกฎหมาย ป.ป.ช. จำนวนเท่าใด” นอกจากนั้นความไม่ชอบมาพากลทั้งหลายปวงนอกเหนือจากหุ้นจัดสรรให้นักลงทุน ต่างประเทศ กับหุ้นที่จัดสรรให้กับรายย่อยผ่านธนาคาร 220 ล้านหุ้นซึ่งขายหมดในพริบตาที่กล่าวมาแล้ว ยังมีหุ้นกลุ่มที่มีปัญหาความไม่โปร่งใสที่น่าเกลียดมากที่สุด อีกกลุ่ม..นั่นก็คือหุ้นผู้มีอุปการคุณจำนวน 25 ล้านหุ้น สำหรับบริษัทห้างร้านทั่วไปที่เป็นของเอกชนการที่เถ้าแก่เจ้าของกิจการจะ มอบหุ้นราคาพิเศษให้กับแขกผู้ใหญ่คู่ค้าเก่าแก่หรือคนสนิทในนามหุ้นผู้มี อุปการคุณสามารถกระทำได้เพราะสินทรัพย์และผลประโยชน์ดังกล่าวเป็นของเอกชน แต่สำหรับกิจการที่เป็นของรัฐอย่างบริษัทปตท.จำกัด(มหาชน) เงินทุนที่ลงไปก้อนหน้าล้วนมาจากภาษีประชาชนข้อเท็จจริงคือในขณะนั้นกระทรวง การคลังถือหุ้น 100% ย่อมต้องถือว่าหุ้นทุกหุ้นเป็นสมบัติส่วนรวมของชาติ มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินได้เตรียมยื่นฟ้องต่อศาลปกครองในประเด็นหุ้นผู้มี อุปการคุณด้วย โดยบรรยายคำฟ้องว่ามีการกำหนดให้บุคคลบางกลุ่มที่คณะกรรมการของบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) เห็นชอบให้ซื้อหุ้นเพิ่มทุนของกระทรวงการคลัง จำนวน 25 ล้านหุ้นได้ในราคาพาร์ ( 10 บาทต่อหุ้น ) ซึ่งต่ำกว่าราคาเปิดจองและต่ำกว่าราคาสินทรัพย์ต่อหุ้นที่แท้จริงของบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) โดยอ้างสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่า ผู้ถือหุ้นของบริษัทจำกัดสามารถให้หุ้นอุปการคุณในราคาพาร์ได้ ซึ่งความจริงแล้วคณะกรรมการของบริษัทปตท.จำกัด(มหาชน) หรือคณะรัฐมนตรีไม่มีสิทธิ์กระทำเช่นว่านั้นได้ เพราะผู้ถือหุ้นที่เป็นเจ้าของทรัพย์สินของบริษัทส่วนตัวชอบที่จะขายใครใน ราคาเท่าใดก็ได้ มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินระบุในคำฟ้องว่าคณะกรรมการของบริษัทปตท.จำกัด(มหาชน) และคณะรัฐมนตรีมิใช่เจ้าของบริษัทฯ ดังนั้นบริษัทปตท.จำกัด(มหาชน) จึงไม่มีอำนาจที่จะขายหุ้นซึ่งไม่ใช่ของตนให้แก่ผู้ใดในราคาตามใจชอบได้ เพราะหุ้นของบริษัทปตท.จำกัด(มหาชน) เป็นของรัฐและประชาชนจึงต้องทำไปตามขอบเขตและบทบัญญัติของกฎหมาย ด้วยความโปร่งใสและตรวจสอบได้เท่านั้น คือจะต้องขายตามราคาตลาดที่แท้จริง โดยสรุปก็คือการขายหุ้นในราคาพาร์จำนวน 25 ล้านหุ้น จึงเป็นการขายโดยไม่โปร่งใสไม่เป็นธรรม ขาดหลักธรรมาภิบาลและไม่อาจตรวจสอบได้ เพราะ ปตท. ไม่ยอมเปิดเผยว่าผู้ใดได้หุ้นอุปการคุณไปจำนวนเท่าใด และบรรดาผู้ได้หุ้นอุปการคุณไปนั้นได้มีอุปการคุณอย่างใดต่อบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) การตรวจสอบทางการข่าวพบว่าในห้วงเวลาที่กำลังมีการกระจายหุ้นปตท. ได้มีข้อเสนอเชิญชวนระหว่างบุคคลใกล้ชิดสนิทสนมกับผู้บริหารของบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ได้รับคำสอบถามว่าต้องการหุ้นปตท.หรือไม่ ? ต่อมาก็ได้รับจัดสรรในบัญชีรายชื่อผู้มีอุปการคุณ หาได้มีระเบียบเงื่อนไขกำหนดชัดเจนว่า “ผู้มีอุปการคุณ” มีองค์ประกอบหรือต้องมีคุณสมบัติเช่นไรจึงเข้าข่ายได้รับสิทธิพิเศษกว่าคน ทั่วไป สมมติหากมีผู้มีอุปการคุณคนหนึ่งได้รับจัดสรรไป 5 หมื่นหุ้น ๆ ละ 10 บาท(ราคาพาร์) เขาจ่ายเงินต้นทุนไป 5 เพียงแสนบาทรอจังหวะราคาหุ้นขึ้นแตะ 300 บาท เท่ากับหุ้นที่เขาถือมีมูลค่าถึง 15 ล้านบาททันที – ช่างเป็นการลงทุนด้วยวิธีพิเศษที่ได้ผลงดงามยิ่ง ! ในช่วงปลายปี 2544 ต่อเนื่อง 2545 อันเป็นห้วงเวลาที่สื่อมวลชน พรรคการเมืองฝ่ายค้านในขณะนั้นคือพรรคประชาธิปัตย์กำลังให้ความสนใจการขาย หุ้นปตท.ที่ไม่โปร่งใส มีการเปิดเผยชื่อญาติพี่น้องคนนามสกุลเดียวกับนักการเมืองขึ้นมาจำนวนหนึ่ง คำถามในช่วงแรกคือเหตุใดคนเหล่านี้จึงครอบครองหุ้นบริษัทปตท.จำกัด (มหาชน) ได้มากเป็นหลักหลายแสนหลักล้านหุ้นมีการใช้เส้นสายล็อกหุ้นแย่งชิงมาจาก ประชาชนรายย่อยที่ต้องต่อคิวซื้อจากเคาท์เตอร์ธนาคารหรือไม่? ปรากฏว่ามีคำพยายามอธิบายจากผู้บริหารบริษัทปตท.ว่าผู้ถือครองหุ้นชื่อดัง บางคนได้รับจัดสรรจากหลาย ๆ ช่องทางเช่นได้ครอบครองทั้งหุ้นผู้มีอุปการคุณและหุ้นนักลงทุนทั่วไปซึ่งมี บัญชีเปิดกับโบรกเกอร์อยู่ก่อนดังนั้นเขาจึงมีหุ้นมาก แท้จริงมิได้ผิดปกติแต่อย่างใด คำอธิบายดังกล่าวของผู้บริหารปตท.ฟังเผิน ๆ เหมือนจะเป็นธรรมแต่แท้จริงแล้วยิ่งสะท้อนชัดขึ้นว่าญาติพี่น้องตระกูลดัง ใกล้ชิดนักการเมืองก็ได้รับจัดสรรหุ้นอุปการคุณด้วยเช่นกัน มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินจึงร้องศาลปกครองขอให้บริษัทปตท.จำกัด(มหาชน) แสดงรายชื่อผู้ถือหุ้นอุปการคุณจำนวน 25 ล้านหุ้นและขอให้ศาลได้โปรดเพิกถอนหุ้นอุปการคุณจำนวน 25 ล้านหุ้นดังกล่าวข้างต้นให้เป็นของกระทรวงการคลังเช่นเดิม ฉ้อฉลผิดเงื่อนไข แต่ปตท.แสร้งทำไม่รู้เห็น โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 4 สิงหาคม 2554 09:53 น. Share แท้ จริงแล้วการกระจายหุ้น ปตท.โดยมิชอบนั้นมีหลักฐานยืนยันความผิดปกติมานานแล้วหากแต่ผู้เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะผู้บริหารบริษัทปตท.จำกัด(มหาชน)และฝ่ายการเมืองกลับไม่นำพาจึงทำ ให้เหตุการณ์ฉ้อฉลปล้นเอาสิทธิ์ที่ประชาชนทั่วไปควรจะได้กลายเป็นคลื่นกระทบ ฝั่งไป หลักฐานมัดบริษัทปตท.จำกัด(มหาชน) ว่าขาดความโปร่งใสไม่ดำเนินตามธรรมาภิบาล และยังเป็นเครื่องมัดว่ามีการสมคบกันปล้นเอาสิทธิ์ที่ควรได้ของประชาชนไปจาก การกระจายหุ้นครั้งประวัติศาสตร์ นั่นก็คือ “หนังสือชี้ชวน” การกระจายหุ้นซึ่งได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาด หลักทรัพย์เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ.2544 หนังสือชี้ชวนฉบับดังกล่าวถือเป็น “เอกสารมหาชน” และเป็นสัญญาประชาคมของบริษัทปตท.จำกัด (มหาชน) ที่ให้ไว้แก่ประชาชนตลอดถึงผู้จองซื้อรายย่อยทุกคน เพื่อความเป็นธรรม จึงเป็นสาระสำคัญที่จะต้องได้รับการปฏิบัติตามโดยเคร่งครัดแต่เหตุการณ์ที่ เกิดขึ้นจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ หนังสือชี้ชวน บ่งบอกชัดเจนบอกถึงวิธีจัดสรรหุ้นดังนี้ คือ ผู้จัดการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย (ซึ่งก็คือธนาคารไทยพาณิชย์และธนาคารอื่น ๆ) จะใช้หลักการจัดสรรให้ผู้จองซื้อก่อนจ่ายเงินก่อนมีสิทธิ์ได้รับจัดสรร ก่อน(First Come Fist Serve) โดยข้อมูลการจองซื้อนั้นจะต้องปรากฏที่ศูนย์กลางข้อมูลที่ผ่านตัวแทนจำหน่าย หุ้น(ธนาคารไทยพาณิชย์) ซึ่งสิทธิ์นี้บังคับใช้กับผู้จองซื้อรายย่อยทุกรายอย่างเท่าเทียมกัน ข้อความต่อไปในหนังสือชี้ชวนลงรายละเอียดเงื่อนไขขั้นตอนการจองอย่างเป็น ขั้นเป็นตอนและรัดกุมมาก เช่นกล่าวว่า โดยผู้จองซื้อจะต้องกรอกรายละเอียดการจองซื้อในใบจองซื้อหุ้นสีน้ำเงินให้ ถูกต้องครบถ้วนชัดเจน พร้อมลงลายมือชื่อ/ ผู้จองซื้อหนึ่งรายสามารถยื่นใบจองซื้อได้ครั้งละหนึ่งใบจองเท่านั้นและจะ ต้องชำระเงินค่าจองซื้อครั้งเดียวเต็มจำนวนที่จองซื้อ ณ วันจองซื้อ ที่ราคา 35บาทต่อหุ้น/ ผู้จองซื้อจะต้องเข้าแถวตามวิธีการหรือรูปแบบที่ตัวแทนจำหน่ายหุ้นได้จัด เตรียมไว้ในแต่ละสถานที่ / เจ้าหน้าที่ที่รับใบจองซื้อหุ้นจะทำการเรียกผู้ประสงค์จองซื้อเพื่อดำเนิน การจองซื้อตามลำดับ /โดยในการจองซื้อเจ้าหน้าที่ที่รับจองซื้อหุ้นจะลงลำดับเลขที่ในการจองซื้อ ลงในใบจองซื้อหุ้นทุกใบและลงลายมือชื่อรับจองเพื่อเป็นหลักฐานในการจองหุ้น ให้แก่ผู้จองซื้อ/ฯลฯ และวิธีการที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวนโดยเคร่งครัด และตัวแทนจำหน่ายหุ้นจะปฏิบัติหน้าที่ของตัวแทนจำหน่ายหุ้นให้ถูกต้องและชอบ ธรรมด้วยความซื่อสัตย์และยุติธรรม เพื่อให้ผู้จองซื้อได้รับความสะดวกในการจองซื้อหุ้น และมีโอกาสจองซื้อหุ้นได้โดยเท่าเทียมกัน แต่ในความเป็นจริงเงื่อนไขรายละเอียดตามหนังสือชี้ชวนซึ่งเป็นเอกสารสัญญามหาชนกลับถูกฉีกทิ้ง กรณีความผิดปกติดังกล่าวถูกรายงานโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และ ตลาดหลักทรัพย์ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2545 ระบุว่า มีผู้จองซื้อหุ้นรายย่อยจำนวน 854 ราย สมคบกับธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และมีผู้จองซื้อหุ้นรายย่อยจำนวน 4 ราย สมคบกับธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน) ซึ่งธนาคารทั้งสองบริษัทปตท.จำกัด(มหาชน) ได้แต่งตั้งให้เป็นตัวแทนรับจองซื้อหุ้นรายย่อยจากประชาชนทั่วไป การฉ้อฉลดังกล่าวเป็นเหตุให้ผู้จองซื้อหุ้นกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มนั้นได้เปรียบผู้จองซื้อรายอื่น แทนที่จะทำเรื่องง่าย ๆ แก้ปัญหาที่เกิดโดยพลันแต่ผู้บริหารของปตท. กลับไม่ทำ ! อาจเพราะว่าไม่อยากให้เหตุการณ์ที่สังคมจับตาลุกลามบานปลายออกหรือกระไรไม่ สามารถทราบได้ แต่ที่สุดแล้วผู้บริหารของปตท.กลับเพิกเฉยไม่ดำเนินการใด ๆทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามีการดำเนินการละเมิดเงื่อนไขในหนังสือชี้ชวนที่ตนกำหนดขึ้น เอกสารบรรยายคำฟ้องของมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินกล่าวโทษบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) ครั้งนี้ว่า “บริษัทปตท.จำกัด (มหาชน) กระทำโดยไม่สุจริต และเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้จองซื้อรายอื่น” เนื่องจากว่าปตท.ควรจะปฏิเสธไม่สนองรับจองหุ้นที่กระทำโดยฉ้อฉลดังกล่าวยิ่ง มื่อทราบว่าการจองซื้อหุ้นดังกล่าวเป็นไปโดยกลฉ้อฉลก็ชอบที่จะใช้สิทธิ์บอก ล้างโมฆียกรรมดังกล่าว แต่ผู้บริษัทปตท.จำกัด(มหาชน) หาได้กระทำเช่นว่านั้นไม่ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงก็คือทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามีผู้จองจำนวน 863 รายกระทำไม่ถูกต้องตามเงื่อนไขแต่กลับสวนทางโดยการออกใบหุ้นให้แก่ผู้จอง ซื้อรายย่อยกลุ่มดังกล่าวอันถือได้ว่าเป็นการให้สัตยาบันใบจองซื้อที่ไม่ถูก ต้องตามรูปแบบขั้นตอนที่กำหนดไว้สำหรับการเสนอจองซื้อหุ้นที่ตนเองเป็นผู้ ประกาศไว้ หลักฐานชุดต่อมาในคำฟ้องได้พบว่ามีการกระทำผิดเงื่อนไขที่ระบุหนังสือชี้ ชวนอีกเรื่องหนึ่งก็คือมีผู้ยื่นใบจองมากกว่า 1 ใบจองจำนวน 428 รายรวมแล้วมากถึง 67,357,600 หุ้น ผู้จองทั้ง 428 รายทำผิดเงื่อนไขและเอาเปรียบผู้จองรายอื่น ๆ โดยตรง แต่บริษัทปตท.จำกัด(มหาชน)ทราบเรื่องแล้วก็ยังเพิกเฉย ทั้ง ๆ ที่ควรปฎิเสธการจองซื้อที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขในหนังสือชี้ชวนแถมยังได้ออก ใบหุ้นให้แก่ผู้จองซื้อรายย่อยจำนวน 428 ราย ดังกล่าวอีกต่างหาก ลักษณะการกระทำผิดของบริษัทปตท.จำกัด(มหาชน) ทั้งสองกรณีคล้ายคลึงกันคือเมื่อพบการกระทำผิดเงื่อนไขการจองซื้อ ทั้งเรื่องการใช้เทคนิคเอาเปรียบก่อนเวลาและการสั่งจองมากกว่าสิทธิ์ที่คน อื่น ๆ ได้รับ แต่ปตท.ก็ยังแสร้งทำไม่รู้เห็นปล่อยให้เรื่องราวฉ้อฉลเงียบหาย และให้ผู้ที่ผิดเงื่อนไขได้ประโยชน์ไป ด้วยเหตุดังกล่าวข้างต้นมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินจึงฟ้องขอให้ศาลปกครองมีคำ สั่งให้หุ้นของผู้จองซื้อก่อนเวลา 9.30 น.ของวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2544 จำนวน 863 ราย และผู้ยื่นจองซื้อหุ้นของผู้ซื้อรายย่อยมากกว่า 1 ใบจอง รวม 428 ราย ดังกล่าวข้างต้นกลับคืนเป็นของกระทรวงการคลังต่อไปพร้อม ๆ กับคำฟ้องในประเด็นอื่นอีกหลายประเด็นที่จะกล่าวถึงในตอนต่อไป 10 ปีของการแปรรูป ปตท.ช่วยกลุ่มผลประโยชน์ทั้งนักการเมือง-บิ๊กข้าราชการ พ่อค้า เสวยสุขถ้วนหน้า • เปิดหลักฐานใหม่ใครบ้างใช้สิทธิครอบครอง-ซื้อหุ้น ปตท.แบบผิดกฎหมาย?• พร้อมเหตุผลทำไม ปตท.และผู้ถือหุ้นกำไรมหาศาล! • แต่ที่น่าประหลาดใจต่างชาติซื้อน้ำมันจากโรงกลั่นไทยได้ถูกกว่าประชาชนคนไทยทั้งประเทศ • ชำแหละตัวการใหญ่ทำประเทศชาติและประชาชนเสียหายจากการแปรรูปนับแสนล้านบาท • ถึงเวลาที่คนไทยต้องขับเคลื่อนทวงคืนผลประโยชน์ชาติจาก ปตท.อีกครั้งหนึ่ง.... นับเป็นเวลากว่า 3 ปี ที่ “ผู้จัดการ 360 องศา รายสัปดาห์” พยายามสืบค้น และรวบรวมข้อมูล จนปรากฏหลักฐานชี้ชัดว่า “การแปรรูป” ปตท. ด้วยข้ออ้างว่า ต้องการล้างหนี้ค่าเงินให้หมดไป และเพิ่มอำนาจในการแข่งขัน ได้ทำให้ “รัฐ” ต้องสูญเสียผลประโยชน์นับ “ล้านล้านบาท” ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อปรากฏกลุ่มผลประโยชน์ร่วมขบวนการ “ปล้นชาติ” ผ่านการแปรรูป โดยอาศัยอำนาจหน้าที่ในฐานะ “ข้าราชการ” และนักการเมือง ใช้เล่ห์กระเท่ วางแผน “แปลง”ทั้งนโยบายและกฎหมาย เพื่อสูบส่วนต่างรายได้ให้มาตกอยู่ในมือพรรคพวกตัวเอง ไม่กี่กลุ่ม ไม่กี่คน ทิ้งให้ประชาชนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ต้องมารับกรรม! จนถึงบัดนี้...พวกคุณเคยสงสัยกันบ้างไหมว่า ไม่ว่า “ค่าเงินบาท” จะแข็งหรืออ่อน แต่ราคาน้ำมันในบ้านเราก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง? แล้วพวกคุณเคยสงสัยกันอีกไหมว่า ในขณะที่ราคาน้ำมันทั่วโลกแพงหูฉี่ จนรัฐบาลต้องเอาเงินกองทุนน้ำมันมาโปะ แต่ ปตท.กับรวยเอาๆ และอื่นๆ ฯลฯ ….... “ผู้จัดการ 360 องศา รายสัปดาห์” ฉบับนี้ จะขันอาสาตอบข้อสงสัยนี้ พร้อมกับเปิดโปง “วงจรอุบาทว์” ของ “เหลือบ” ตัวอ้วน ที่เกาะกิน บมจ.ปตท.จนพุงกาง ผ่านคำฟ้องร้องของ “มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน” ที่มีไปถึง “ศาลปกครองกลาง” โดยมีจำเลยสำคัญคือ ปตท. และกระทรวงการคลัง ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่ประชาชนคนไทยต้องลุกขึ้นทวงคืนสมบัติของชาติกลับคืนมา! ตีแผ่ “แผน” โคตรโกง ปรากฏการณ์ “โคตรโกง” นี้ อุบัติขึ้นนับตั้งแต่ “การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย” ซึ่งได้รับ “อภิสิทธิ์” ในการดำเนินธุรกิจเหนือกว่าบริษัทค้าน้ำมันรายอื่นๆ ในฐานะที่เป็นรัฐวิสาหกิจ ตัดสินใจแปรรูปเข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 2544 โดยแปลงทุนทั้งหมดเป็นหุ้น และเปลี่ยนชื่อเป็น “บมจ.ปตท.” หนึ่งในทีมผู้ฟ้องร้องในคดีนี้เล่าว่า เมื่อวันที่ 11 เม.ย.2544 เวลากลางวัน ได้มีบุคคลบางกลุ่ม ประกอบด้วยข้าราชการในคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ บุคคลใน ครม.ขณะนั้น ผู้ว่าการ และพนักงานของ ปตท.บางคน ต้องการที่จะแย่งชิงทรัพย์ของ ปตท.มาเป็นของตนและพรรคพวก เริ่มจากอ้างความจำเป็นในการแปรรูปเข้าตลาดหลักทรัพย์ของการปิโตรเลียมฯ เพื่อต้องการเงินทุนมาชำระหนี้โดยกระทรวงการคลังไม่ต้องค้ำประกัน และเป็นเครื่องมือในการแทรกแซงราคาน้ำมัน รวมถึงช่วยลดภาระหนี้ของรัฐบาล นอกจากนี้ บุคคลดังกล่าวข้างต้นยังได้เข้าแย่งชิงหุ้นจำนวนหนึ่งของหุ้น 49% จากการแปรรูปของ ปตท.ไปเป็นของตนและพรรคพวก โดยการตั้งคณะกรรมการแปรรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยเข้าดำเนินการแปร รูปการปิโตรเลียมฯ เพื่อนำหุ้นจำนวน 49% ออกขายทั้งในและนอกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย “ข้ออ้างข้างต้นปราศจากเหตุผลโดยชอบ เพราะการปิโตเลียมฯ ขณะนั้นยังมีฐานะทางการเงินและสภาพคล่องอย่างเพียงพอ โดยมีกำไรในปี 2544 กว่า 2 หมื่นล้านบาท จึงไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุน ที่สำคัญการระดมเงินในตลาดทุนอาจทำได้โดยวิธีการอื่น เช่น การออกหุ้นกู้ หรือพันธบัตรที่รัฐบาลไม่ค้ำประกันโดยไม่จำเป็นต้องขายหุ้นสามัญ เพราะสินทรัพย์ของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ยังมีมากเพียงพอที่จะค้ำประกันหุ้นกู้ และพันธบัตรของตนเองได้” เขากล่าวต่อว่า อีกประการหนึ่งการปิโตเลียมฯในฐานะเจ้าตลาด การเข้าแทรกแซงราคาน้ำมันก็ไม่จำเป็นต้องใช้เงิน เพราะเพียงประกาศตรึงราคา บริษัทน้ำมันต่างชาติก็จะไม่กล้าปรับราคาให้สูงขึ้นกว่าราคาที่ประกาศตรึง ไว้มากนัก และราคาที่ตรึงไว้ก็ยังเป็นราคาที่สามารถทำกำไรตามการค้าปรกติได้ อีกทั้งในกรณีที่รัฐมีความจำเป็นต้องใช้เงินแทรกแซงราคาน้ำมัน รัฐก็มีกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงทำหน้าที่ดังกล่าวตั้งแต่ 27 มี.ค. 2522 แล้ว แหล่งข่าวรายเดิมเปิดเผยว่า วิธีการต่อมาคือ จัดให้มีการประเมินราคาสินทรัพย์ของการปิโตรเลียมฯ ด้วยการตีราคาท่อส่งก๊าซธรรมชาติและอุปกรณ์เพื่อนำมาหาราคาตลาดของหุ้นสามัญ ในราคาที่ต่ำกว่าความเป็นจริง ซึ่งก่อนหน้านี้ การปิโตรเลียมฯได้ประเมินมูลค่าทางบัญชี การแปรรูปท่อส่งก๊าซและอุปกรณ์เพียง 46,189.22 ล้านบาท และประมาณอายุการใช้งานไว้เพียง 25 ปี ขณะที่อายุจริงอยู่ที่ 50 ปี เพราะหลังการแปรรูปเพียง 9 ปี ปตท.ได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาได้แก่ บริษัท General Electric International Operation Company (GEIOC) และบริษัท Shell Global Solution Thailand (SGST) ทั้ง 2 บริษัท ประเมินมูลค่าทางเศรษฐกิจ (Economic Value) ของท่อส่งก๊าซเดิมนี้ พบว่าสามารถใช้งานได้ยาวนานกว่าที่ประเมินไว้ตอนแปรรูปเพิ่มขึ้นอีก 25 ปี รวมเป็น 50 ปี โดยมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 105,000-120,000 ล้านบาท ดังนั้น การประเมินมีอายุใช้งานน้อยลง 25 ปี มีผลให้การตีราคาท่อก๊าซเหลือเพียง 46,189.22 ล้านบาท ดังนั้น การแปรรูปจึงเป็นเหตุให้ ปตท.ได้ไปซึ่งทรัพย์สินของรัฐและประชาชน เป็นมูลค่า 105,000-120,000 ล้านบาท แถม ก่อนหน้านี้ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้ฟ้องขอให้ ปตท.ส่งคืนท่อส่งก๊าซธรรมชาติให้แก่รัฐตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด โดยสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินได้ประเมินมูลค่าระบบท่อส่งก๊าซเพื่อเรียกคืนใน ราคา 52,393.50 ล้านบาท ทว่า ปตท.ได้ส่งคืนตามคำพิพากษาเพียง 16,176.22 ล้านบาท ยังขาดอีก 36,217.28 ล้านบาท นอกจากนี้ พวกเขายังได้ตีราคาโรงกลั่นน้ำมันต่ำกว่าราคาจริง โดยอ้างเพียงราคาทางบัญชี (Book Value) ซึ่งมิใช่ราคาตลาด หรือมูลค่าทางเศรษฐกิจ (Economic Value) ที่แท้จริงของโรงกลั่น เช่น โรงกลั่นน้ำมันขนาดใหญ่ 1 โรง ใช้เงินลงทุนประมาณ 50,000 ล้านบาท หักค่าเสื่อมทางบัญชีปีละ 10% ครบสิบปี มูลค่าทางบัญชีจะเหลือเพียง 1 บาท แต่โรงกลั่นนี้ยังสามารถดำเนินการได้อีกไม่น้อยกว่า 15 ปี นอกจากเงินลงทุนจำนวนมากในการก่อสร้างแล้ว ธุรกิจการกลั่นน้ำมัน จะต้องมีใบอนุญาตจากรัฐบาลและต้องผ่านกฎหมายควบคุมสิ่งแวดล้อม ดังนั้น ราคาทางบัญชี 1 บาท จึงไม่ใช่ราคาซื้อขายที่แท้จริง “ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้หุ้นของ ปตท.มีราคาเปิดจองเพียง 31-35 บาทต่อหุ้น ทั้งๆ ที่ราคาตามสินทรัพย์ที่แท้จริงสูงมาก ซึ่งสะท้อนไปในราคาหุ้นของ ปตท.ในปัจจุบัน” กลุ่มผลประโยชน์ งาบหุ้น ปตท. ที่น่าตระหนกจากการเปิดเผยของแหล่งข่าวรายนี้ เมื่อเขาบอกว่ามี 4 กลุ่มผลประโยชน์ที่ใช้สารพัดวิธีการ เพื่อให้ได้มาซึ่งการถือหุ้น ปตท.ในราคาที่ต่ำกว่าพาร์ กลุ่มแรกคือ “ผู้มีอุปการคุณ” วิธีการก็คือ กำหนดให้บุคคลบางกลุ่มที่คณะกรรมการของปตท.เห็นชอบ ให้ซื้อหุ้นเพิ่มทุนของ ปตท.จำนวน 25 ล้านหุ้นได้ในราคาพาร์ (10 บาทต่อหุ้น) ซึ่งต่ำกว่าราคาเปิดจองและต่ำกว่าราคาสินทรัพย์ต่อหุ้นที่แท้จริงของ ปตท.โดยอ้างสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่า “ผู้ถือหุ้นของบริษัทจำกัดสามารถให้หุ้นอุปการคุณในราคาพาร์ได้” “ความจริงแล้วคณะกรรมการของ ปตท. หรือคณะรัฐมนตรีไม่มีสิทธิกระทำเช่นว่านั้นได้ เพราะผู้ถือหุ้นที่เป็นเจ้าของทรัพย์สินของบริษัทส่วนตัวชอบที่จะขายใครใน ราคาเท่าใดก็ได้ แต่คณะกรรมการของ ปตท. และคณะรัฐมนตรีมิใช่เจ้าของบริษัท ปตท. จึงไม่มีอำนาจที่จะขายหุ้นซึ่งไม่ใช่ของตนให้แก่ผู้ใดในราคาตามใจชอบได้ ที่สำคัญ ปตท.ก็ไม่ยอมเปิดเผยว่าผู้ใดได้หุ้นอุปการคุณไปจำนวนเท่าใด และบรรดาผู้ได้หุ้นอุปการคุณไปนั้นได้มีอุปการคุณอย่างใดต่อ ปตท.” แหล่งข่าวที่คลุกคลีอยู่ในวงการน้ำมันแสดงความเห็น กลุ่มที่สอง คือ “นักลงทุนต่างชาติหัวดำ” ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า หุ้นเพิ่มทุนจำนวน 750 ล้านหุ้นและหุ้นเดิมของกระทรวงการคลังอีก 50 ล้านหุ้น รวม 800 ล้านหุ้น คณะกรรมการแปรรูปฯกำหนดให้ขายแก่นักลงทุนรายย่อยเพียง 220 ล้านหุ้นเท่านั้น และยังขายในราคาพาร์ให้แก่ผู้มีอุปการคุณ 25 ล้านหุ้น ขายให้แก่นักลงทุนประเภทสถาบันไทยจำนวน 235 ล้านหุ้น และขายให้นิติบุคคลต่างประเทศจำนวน 320 ล้านหุ้น “การกำหนดไว้ก่อนเช่นนี้ ก็เพื่อเอื้อผลประโยชน์ให้กับพวกพ้องของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขายให้นิติบุคคลต่างประเทศจำนวนมากถึง 320 ล้านหุ้นนี้ เป็นช่องทางสำคัญในการทุจริต เนื่องจากอยู่นอกเหนือกลไกการตรวจและอยู่ในรูปของการถือหุ้นในฐานะนอมินีแทบ ทั้งสิ้น ดังนั้น เราจึงไม่รู้ว่าเป็นนักลงทุนต่างชาติผมสีดำหรือผมสีทองกันแน่” ทั้งนี้ ผู้ถือหุ้นที่เป็นนิติบุคคลต่างประเทศเหล่านี้เกือบทั้งหมดเป็นทรัสต์ที่ ดูแลทรัพย์สินของผู้อื่น จึงมีบุคคลในรัฐบาลบางคนได้มีผลประโยชน์ทับซ้อน เข้าไปทำสัญญาจัดตั้งกองทุนส่วนบุคคลเข้ามาซื้อหุ้นของ ปตท. โดยหลีกเลี่ยงกฎหมาย ป.ป.ช. (คณะกรรมการป้องกันและปรามปราบการทุจริตแห่งชาติ) และหลีกเลี่ยงการตรวจสอบโดยเจ้าพนักงานของรัฐบาลไทย กลุ่มที่สาม “สถาบันร่างทรง” ด้วยการผ่านผู้จัดการ หรือผู้รับประกัน ทำได้โดยในขณะที่ขายหุ้นให้นักลงทุนประเภทสถาบันไทยจำนวน 235 ล้านหุ้น จะมีการกำหนดให้ผู้จัดการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายเป็นผู้คัด เลือกนักลงทุน โดยไม่แถลงวิธีการคัดเลือกและประกาศให้สาธารณชนรู้ ก็เพื่อให้พรรคพวกของตัวเองได้ครอบงำหุ้น ผ่านสถาบันการเงินที่เป็นนิติบุคคลในประเทศได้อีกทางหนึ่ง กลุ่มที่สี่ “ผู้จองซื้อรายย่อยตัวปลอม” ต่อเรื่องนี้ ผู้ซื้อหุ้นรายย่อยคนหนึ่งเปิดเผยว่า บรรดาพรรคพวกของกลุ่มดังกล่าวได้เข้าแย่งชิงสิทธิการจองโดยเท่าเทียมกันของ ผู้จองซื้อรายย่อยจำนวน 220 ล้านหุ้น โดยเข้าจองซื้อก่อนเวลารับจอง (09.30 น.) จำนวน 863 ราย โดยไม่ทราบจำนวนหุ้น เพราะ ปตท. และคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ได้ร่วมกันช่วยเหลือบุคคลที่ เข้าแย่งชิงหุ้นเหล่านี้ ด้วยการปิดบัง ซ่อนเร้นข้อมูล แหล่งข่าวที่ได้รับความเสียหายการจากแปรรูปอีกรายหนึ่ง ให้ข้อมูลว่า นอกจากยังมีการแก้ไขเพื่อเอื้อในการแต่งตั้งข้าราชการของกลุ่มตัวเองให้เข้า ไปนั่ง ปตท.และบริษัทในเครือได้ กฎหมายดังเช่น การแก้ไขพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ ฉบับที่ 5 เพื่อให้ข้าราชการผู้เป็นกรรมการของรัฐวิสาหกิจของ ปตท.สามารถเข้าไปเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทเอกชน ที่รัฐวิสาหกิจถือหุ้นได้ และฉบับที่ 6 พ.ศ. 2550เพื่อให้ข้าราชการเข้าไปเป็นประธานกรรมการ กรรมการ หรือผู้บริหารในนิติบุคคลที่เป็นผู้รับสัมปทาน ผู้ร่วมทุน หรือมีประโยชน์ได้เสียกับรัฐวิสาหกิจ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ได้แต่งตั้งให้ “มนู เลียวไพโรจน์” ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งมีหน้าที่กำกับดูแลพลังงานของประเทศในขณะนั้น (ปี 2544) เข้าไปเป็นกรรมการบริษัทปตท.และบริษัทในเครือ ส่งผลให้ข้าราชการที่มีบทบาทในการกำหนดนโยบายพลังงานเข้าไปเป็นกรรมการ และรับผลประโยชน์ตอบแทนในรูปเบี้ยประชุม โบนัสและผลตอบแทนอื่นที่มิใช่ตัวเงินเป็นจำนวนมากจากบริษัทเอกชน ซึ่งขัดกับหลักธรรมาภิบาลอย่างร้ายแรง ถึงแม้ภายหลังในปี 2550 จะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เพื่อให้การกำกับธุรกิจพลังงานมีความเป็นอิสระ และป้องกันการใช้อำนาจผูกขาด แต่ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะปรากฏว่า คณะกรรมการชุดดังกล่าว ก็ยังปฏิบัติงานเอนเอียง และเอื้อประโยชน์ให้กับ ปตท.อยู่เหมือนเดิม จับตากลไกตลาดเทียม แทบไม่น่าเชื่อว่าจากข้อมูลชุดเดียวกันนี้ ทำให้เราพบว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้ใช้รถยนต์เมืองไทยยังคงจ่ายราคาน้ำมันแพงกว่าความ เป็นจริง ไม่ว่าจะราคาน้ำมันในตลาดโลกจะลดลง หรือค่าเงินบาทจะแข็งขึ้นก็ตาม นั่นก็คือ การสร้างกลไกตลาดเทียมขึ้นมา แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ในการคำนวณราคาน้ำมัน ปตท.ได้ร่วมมือกับข้าราชการในกระทรวงพลังงานที่เป็นพรรคพวก โดยอ้างอิงราคาหน้าโรงกลั่นสิงคโปร์บวกค่าโสหุ้ยในการส่งน้ำมันสำเร็จรูป ค่าสูญเสียระหว่างการขนส่ง ค่าปรับปรุงคุณภาพจากมาตรฐานสิงคโปร์มาเป็นมาตรฐานไทย และค่าประกันภัยการขนส่งจากสิงคโปร์มาประเทศไทยซึ่งเป็นต้นทุนที่ไม่ได้เกิด ขึ้นจริง เพราะโรงกลั่นน้ำมันตั้งอยู่ในประเทศไทยและการผลิตก็เป็นไปตามมาตรฐานของ ไทยอยู่แล้ว อีกทั้งประเทศไทยก็มิได้พึ่งวัตถุดิบจากต่างประเทศทั้งหมด เพราะก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบส่วนหนึ่งผลิตได้ในประเทศ ทำให้ต้นทุนการผลิตที่แท้จริงถูกกว่าราคาการนำเข้าทั้งหมด “การอ้างอิงราคาหน้าโรงกลั่นสิงคโปร์ ทำให้ประชาชนผู้บริโภคต้องรับภาระราคาน้ำมันสูงกว่าปรกติถึงลิตรละ 2 บาท ประชาชนไทยใช้น้ำมันประมาณปีละ 40,000 ล้านลิตร ดังนั้นปตท.จึงได้กำไรส่วนเกินจากการสร้างกลไกตลาดเทียมถึงปีละ 80,000 ล้านบาท เงินจำนวนนี้นำไปแบ่งให้กับผู้ถือหุ้นของปตท.และนำไปปั่นราคาในตลาดหุ้น การกระทำเช่นนี้ถือได้ว่าข้าราชการในกระทรวงพลังงานได้ร่วมกับ ปตท.ฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างแท้จริง” ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังนำเงินจากกองทุนน้ำมันมาอุดหนุนราคาค่าเชื้อเพลิงให้กับอุตสาหกรรม ปิโตรเคมีซึ่งเป็นกิจการในเครือ เป็นเหตุให้ประเทศไทยต้องนำเข้าก๊าซแอลพีจีปีละกว่า 400,000 ตัน โดยอ้างว่าก๊าซแอลพีจีที่ผลิตได้ในประเทศมีปริมาณเพียงพอต่อการใช้ของภาค ประชาชนทั้งภาคครัวเรือนและยานยนต์ แต่ไม่เคยกล่าวถึงธุรกิจในเครืออย่างปิโตรเคมีที่มีสัดส่วนการใช้ก๊าซแอลพี จีสูงสุด ผลก็คือ ผู้ที่ใช้รถยนต์ต้องจ่ายค่าน้ำมันแพงกว่าความเป็นจริงแม้ว่าค่าของเงินบาทจะ แข็งขึ้นก็ตาม และที่รัฐยอมให้ผู้ค้าน้ำมันกระทำการดังกล่าวได้ เพราะข้าราชการที่กำกับดูแลนโยบายพลังงานมีผลประโยชน์ทับซ้อนในกิจการของ ปตท.นั่นเอง นอกจากนี้ แหล่งข่าวยังบอกว่า กลุ่มผลประโยชน์เหล่านี้ยังบิดเบือนข้อมูลทรัพยากรพลังงานของประเทศ ซึ่งจากการศึกษาของคณะกรรมการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธร รมาภิบาล วุฒิสภา พบว่าประเทศไทยมีอัตรารายได้จากทรัพยากรปิโตรเลียมในอัตราต่ำที่สุดในเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีการเก็บค่าภาคหลวงปิโตรเลียมและภาษีปิโตรเลียมรวมร้อยละ 28.83 เท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่ต่ำมาก กรมธุรกิจพลังงานอ้างว่า ประเทศไทยมีพลังงานน้อยขุดเจาะยาก ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าตรงข้ามกับความเป็นจริง เนื่องจากประเทศไทยมีปริมาณการผลิตน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติต่อวันสูงกว่า อีกหลายประเทศ โดยประเทศเหล่านั้นมีการเก็บอัตรารายได้จากทรัพยากรปิโตรเลียมที่สูงกว่า อีกทั้งแหล่งปิโตรเลียมในอ่าวไทยก็อยู่ในเขตน้ำตื้น (Shallow Water) จึงมีต้นทุนการขุดเจาะที่ต่ำกว่า ขณะที่ประเทศอื่นอาจต้องขุดเจาะในเขตน้ำลึก (Deep Water) การจัดเก็บค่าภาคหลวงในอัตราต่ำทำให้ทรัพยากรของชาติและของประชาชนตกไปอยู่ ในมือของบริษัทน้ำมันรวมทั้ง ปตท.ด้วย โดยประเทศชาติไม่ได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสม เนื่องจากมีข้าราชการที่กำกับดูแลนโยบายพลังงานมีผลประโยชน์ทับซ้อนในกิจการ ของ ปตท. จับตากลไกตลาดเทียม แทบไม่น่าเชื่อว่าจากข้อมูลชุดเดียวกันนี้ ทำให้เราพบว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้ใช้รถยนต์เมืองไทยยังคงจ่ายราคาน้ำมันแพงกว่าความ เป็นจริง ไม่ว่าจะราคาน้ำมันในตลาดโลกจะลดลง หรือค่าเงินบาทจะแข็งขึ้นก็ตาม นั่นก็คือ การสร้างกลไกตลาดเทียมขึ้นมา แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ในการคำนวณราคาน้ำมัน ปตท.ได้ร่วมมือกับข้าราชการในกระทรวงพลังงานที่เป็นพรรคพวก โดยอ้างอิงราคาหน้าโรงกลั่นสิงคโปร์บวกค่าโสหุ้ยในการส่งน้ำมันสำเร็จรูป ค่าสูญเสียระหว่างการขนส่ง ค่าปรับปรุงคุณภาพจากมาตรฐานสิงคโปร์มาเป็นมาตรฐานไทย และค่าประกันภัยการขนส่งจากสิงคโปร์มาประเทศไทยซึ่งเป็นต้นทุนที่ไม่ได้เกิด ขึ้นจริง เพราะโรงกลั่นน้ำมันตั้งอยู่ในประเทศไทยและการผลิตก็เป็นไปตามมาตรฐานของ ไทยอยู่แล้ว อีกทั้งประเทศไทยก็มิได้พึ่งวัตถุดิบจากต่างประเทศทั้งหมด เพราะก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบส่วนหนึ่งผลิตได้ในประเทศ ทำให้ต้นทุนการผลิตที่แท้จริงถูกกว่าราคาการนำเข้าทั้งหมด “การอ้างอิงราคาหน้าโรงกลั่นสิงคโปร์ ทำให้ประชาชนผู้บริโภคต้องรับภาระราคาน้ำมันสูงกว่าปรกติถึงลิตรละ 2 บาท ประชาชนไทยใช้น้ำมันประมาณปีละ 40,000 ล้านลิตร ดังนั้นปตท.จึงได้กำไรส่วนเกินจากการสร้างกลไกตลาดเทียมถึงปีละ 80,000 ล้านบาท เงินจำนวนนี้นำไปแบ่งให้กับผู้ถือหุ้นของปตท.และนำไปปั่นราคาในตลาดหุ้น การกระทำเช่นนี้ถือได้ว่าข้าราชการในกระทรวงพลังงานได้ร่วมกับ ปตท.ฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างแท้จริง” ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังนำเงินจากกองทุนน้ำมันมาอุดหนุนราคาค่าเชื้อเพลิงให้กับอุตสาหกรรม ปิโตรเคมีซึ่งเป็นกิจการในเครือ เป็นเหตุให้ประเทศไทยต้องนำเข้าก๊าซแอลพีจีปีละกว่า 400,000 ตัน โดยอ้างว่าก๊าซแอลพีจีที่ผลิตได้ในประเทศมีปริมาณเพียงพอต่อการใช้ของภาค ประชาชนทั้งภาคครัวเรือนและยานยนต์ แต่ไม่เคยกล่าวถึงธุรกิจในเครืออย่างปิโตรเคมีที่มีสัดส่วนการใช้ก๊าซแอลพี จีสูงสุด ผลก็คือ ผู้ที่ใช้รถยนต์ต้องจ่ายค่าน้ำมันแพงกว่าความเป็นจริงแม้ว่าค่าของเงินบาทจะ แข็งขึ้นก็ตาม และที่รัฐยอมให้ผู้ค้าน้ำมันกระทำการดังกล่าวได้ เพราะข้าราชการที่กำกับดูแลนโยบายพลังงานมีผลประโยชน์ทับซ้อนในกิจการของ ปตท.นั่นเอง นอกจากนี้ แหล่งข่าวยังบอกว่า กลุ่มผลประโยชน์เหล่านี้ยังบิดเบือนข้อมูลทรัพยากรพลังงานของประเทศ ซึ่งจากการศึกษาของคณะกรรมการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธร รมาภิบาล วุฒิสภา พบว่าประเทศไทยมีอัตรารายได้จากทรัพยากรปิโตรเลียมในอัตราต่ำที่สุดในเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีการเก็บค่าภาคหลวงปิโตรเลียมและภาษีปิโตรเลียมรวมร้อยละ 28.83 เท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่ต่ำมาก กรมธุรกิจพลังงานอ้างว่า ประเทศไทยมีพลังงานน้อยขุดเจาะยาก ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าตรงข้ามกับความเป็นจริง เนื่องจากประเทศไทยมีปริมาณการผลิตน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติต่อวันสูงกว่า อีกหลายประเทศ โดยประเทศเหล่านั้นมีการเก็บอัตรารายได้จากทรัพยากรปิโตรเลียมที่สูงกว่า อีกทั้งแหล่งปิโตรเลียมในอ่าวไทยก็อยู่ในเขตน้ำตื้น (Shallow Water) จึงมีต้นทุนการขุดเจาะที่ต่ำกว่า ขณะที่ประเทศอื่นอาจต้องขุดเจาะในเขตน้ำลึก (Deep Water) การจัดเก็บค่าภาคหลวงในอัตราต่ำทำให้ทรัพยากรของชาติและของประชาชนตกไปอยู่ ในมือของบริษัทน้ำมันรวมทั้ง ปตท.ด้วย โดยประเทศชาติไม่ได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสม เนื่องจากมีข้าราชการที่กำกับดูแลนโยบายพลังงานมีผลประโยชน์ทับซ้อนในกิจการ ของ ปตท. แค่ 2543-2550 สูญเสีย 2 แสนล. เข้ากระเป๋าคนโกงชาติ การแปรรูป ปตท.ดำเนินการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน แต่สิ่งที่เกิดขึ้น ล้วนตามมาด้วยข้อครหาเรื่องความไม่โปร่งใส เริ่มจากการประเมินราคาสินทรัพย์ เพื่อนำมาหาราคาตลาดของหุ้นสามัญ เป็นราคาต่ำกว่าความเป็นจริง โดยตีราคาท่อส่งก๊าซธรรมชาติและอุปกรณ์ ที่รัฐลงทุนสร้างจากเงินภาษีอากรของประชาชนไทยทั้งประเทศ รวมทั้งค้ำประกันเงินกู้ จนสร้างเสร็จ บนความเสี่ยงของรัฐและประชาชนไทยว่า การลงทุนจะคุ้มค่าทางเศรษฐกิจหรือไม่ ก่อนแปรรูปประเมินมูลค่าทางบัญชี (Book Value) ท่อส่งก๊าซและอุปกรณ์เพียง 46,189.22 ล้านบาท รวมทั้งประมาณอายุการใช้งานไว้เพียง 25 ปี ข้อเท็จจริง ปรากฏในช่วง 9 ปีต่อมา เมื่อ ปตท.ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษา General Electric International Operation Company (GEIOC) และ Shell Global Solution Thailand (SGST) ทั้ง 2 แห่ง ประเมินมูลค่าทางเศรษฐกิจ (Economic Value) ของท่อส่งก๊าซเดิม พบว่าสามารถใช้งานได้ยาวนานกว่าที่ประเมินไว้ตอนแปรรูปเพิ่มขึ้นอีก 25 ปี รวมเป็น 50 ปี ประเด็นสำคัญคือ มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 105,000-120,000 ล้านบาท กรณีนี้มีตัวอย่าง เช่น บริษัท โรงกลั่นน้ำมันระยอง จำกัด (RRC) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ ปตท.ขณะทำการแปรรูปในปี 2544 บริษัท โรงกลั่นน้ำมันระยอง จำกัด มีมูลค่าทางบัญชีเป็นศูนย์ แต่เมื่อนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2549 กลับมีมูลค่าตลาดสูงกว่า 50,000 ล้านบาท เพราะคิดจากมูลค่าทางเศรษฐกิจ (Economic Value) ของโรงกลั่นที่กลั่นน้ำมันได้ทันที ท่อส่งก๊าซและอุปกรณ์ดังกล่าว มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเคยทำการฟ้องขอให้ ปตท.ส่งคืนท่อส่งก๊าซธรรมชาติให้แก่รัฐตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขแดงที่ ฟ.35/2550 โดยสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินประเมินมูลค่าระบบท่อส่งก๊าซเพื่อเรียกคืนตามคำ พิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ราคา 52,393.50 ล้านบาท ปตท.ส่งคืนตามคำพิพากษาเพียง 16,176.22 ล้านบาท ยังขาดอีก 36,217.28 ล้านบาท โดยเป็นราคาของท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบกและในทะเลมูลค่า 32,613.45 ล้านบาท และทรัพย์สินอื่นอีก 3,603.83 ล้านบาท การตีราคาค่าสิทธิค่าสัมปทานและมูลค่าทรัพย์สินต่างๆ ที่ต่ำกว่าความเป็นจริง และส่งผลทำให้หุ้นของ ปตท. มีราคาเปิดจองเพียง 31-35 บาทต่อหุ้น ทั้งๆ ที่ราคาตามสินทรัพย์แท้จริงสูงมาก ตัวเลขความเสียหายที่เกิดจากการแปรรูปเรื่องต่อมา คือ การประเมินค่าเช่าใช้ท่อส่งก๊าซและอุปกรณ์ของ ปตท. ระหว่างปี พ.ศ. 2544-2551 เป็นเงิน 1,300 ล้านบาท เป็นค่าเช่าใช้ที่ต่ำกว่าความเป็นจริง เพราะ ปตท.ได้ใช้ท่อส่งก๊าซและอุปกรณ์นำมาเรียกเก็บค่าใช้ท่อส่งก๊าซไปจากประชาชน ผู้ใช้ก๊าซไปแล้วเป็นเงิน 137,176 ล้านบาท ยิ่งกว่านั้น ปตท.ยังดำเนินการทบทวนหลักเกณฑ์การกำหนดราคาก๊าซและอัตราค่าบริการส่งก๊าซ ธรรมชาติใหม่ ทั้งที่ไม่ได้ลงทุนเพิ่มแต่อย่างใด มีผลให้มีรายได้จากการคิดค่าบริการขนส่งก๊าซผ่านท่อเพิ่มขึ้นจาก 20,000 เป็นกว่า 22,000 ล้านบาทต่อปี โดยค่าบริการที่เพิ่มขึ้นนี้ประชาชนผู้ใช้ก๊าซเป็นผู้จ่าย นอกจากนี้ ขณะที่ ปตท.เป็นผู้ค้าก๊าซเอ็นจีวีแต่ผู้เดียวในประเทศไทย ยังผูกขาดกำหนดราคารับซื้อก๊าซธรรมชาติที่ปากหลุมในประเทศ ในราคาต่ำกว่าราคาตลาดโลก 40-60% นำมาขายแก่ผู้บริโภคไทย แต่ต้องการขายผลิตภัณฑ์จากก๊าซธรรมชาติทุกชนิด ให้ได้ในราคาตลาดโลก เมื่อรัฐยังไม่อนุมัติให้ขึ้นราคาขายตามราคาตลาดโลกได้ ปตท.ก็ขอเงินชดเชยจากเงินกองทุนน้ำมัน ซึ่งเป็นการใช้เงินกองทุนน้ำมันผิดวัตถุประสงค์ นอกจากนั้น ประชาชนยังต้องใช้น้ำมันราคาสูงกว่าปรกติด้วย เพราะตั้งแต่ต้นปี 2553 เป็นต้นมา อัตราค่าเงินบาทแข็งตัว มีผลทำให้ราคาสินค้าต่างๆ ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศมีราคาถูกลง ราคาซื้อน้ำมันดิบของโรงกลั่นก็ถูกลงด้วยเฉลี่ย 4.84% ราคาน้ำมันสำเร็จรูปจึงควรที่จะปรับราคาลดลงในอัตราใกล้เคียงกันด้วย เรื่องสุดท้าย จากการศึกษาของคณะกรรมการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิ บาล วุฒิสภา พบว่าประเทศไทยมีอัตรารายได้จากทรัพยากรปิโตรเลียมในอัตราต่ำที่สุดในเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีการเก็บค่าภาคหลวงปิโตรเลียมและภาษีปิโตรเลียมรวม 28.83% ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่ต่ำมาก กรมธุรกิจพลังงานได้อ้างว่า ประเทศไทยมีพลังงานน้อยขุดเจาะยาก ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าตรงข้ามกับความเป็นจริง เนื่องจากประเทศไทยมีปริมาณการผลิตน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติต่อวันสูงกว่า อีกหลายประเทศ โดยประเทศเหล่านั้นมีการเก็บอัตรารายได้จากทรัพยากรปิโตรเลียมที่สูงกว่า อีกทั้งแหล่งปิโตรเลียมในอ่าวไทยก็อยู่ในเขตน้ำตื้น (Shallow Water) จึงมีต้นทุนการขุดเจาะที่ต่ำกว่า ขณะที่ประเทศอื่นอาจต้องขุดเจาะในเขตน้ำลึก (Deep Water) การจัดเก็บค่าภาคหลวงในอัตราต่ำ ทำให้ทรัพยากรของชาติและของประชาชนตกไปอยู่ในมือของบริษัทน้ำมันรวมทั้งป ตท. ด้วย โดยประเทศชาติไม่ได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสม อนึ่ง กำไรที่ ปตท.ทำได้ระหว่างปี 2543-2550 มีมูลค่า 454,299 ล้านบาท ส่วนนี้ จำนวน 216,384.49 ล้านบาท ตกเป็นของผู้ถือหุ้นที่มิใช่รัฐ กล่าวได้ว่า เป็นการแสวงหาประโยชน์จากทรัพย์สินของชาติและประชาชนโดยมิชอบ ขณะที่ ปตท.ได้รับเงินจากการขายหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 750 ล้านหุ้น เป็นเงิน 26,252 ล้านบาท และกระทรวงการคลังได้รับเงินจากการขายหุ้นสามัญเดิมจำนวน 50 ล้านหุ้น เป็นเงิน 1,750 ล้านบาท เท่านั้น แฉหลักฐานเด็ดมัดปตท. หมกเม็ดสมบัติชาติ เปิดหลักฐาน 4 หน่วยงาน ศาลปกครอง-วุฒิสภา-สตง.และกตล. พร้อมใจฟันธงแปรรูปปตท.ไม่โปร่งใส พบพิพิรุธให้เห็นตั้งแต่ก่อนและหลังการเข้าตลาดหลักทรัพย์ ทั้งการจัดสรรหุ้น ผู้ได้รับหุ้น และที่สำคัญการส่งคืนทรัพย์สินและอุปกรณ์ให้แก่คลังยังไม่ครบ ตามที่สตง.ทวงถาม ผู้บริหารเอาสีข้างถู อ้างคืนแล้วทั้งหมด กลต.ติงจองหุ้นผิดปกติ จากบทสรุปของผลการตรวจสอบของ ก.ล.ต. หรือสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ในรายงานการตรวจสอบเกี่ยวกับการเสนอขายหุ้นของบริษัท ปตท.จำกัด ( มหาชน) ต่อผู้จองซื้อรายย่อย ระบุอย่างชัดเจนว่า รายการจองซื้อบางรายการอาจเข้าข่ายมีความผิดปกติ สาเหตุสำคัญเกิดจากการไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงการรับจองซื้อหุ้นของธนาคารไทย พาณิชย์ ทำให้สิทธิของผู้จองซื้อหุ้นที่ได้รับการจัดสรรหุ้นไม่เท่าเทียมกัน เป็นผลให้การรับจองซื้อหุ้นที่ไม่เป็นไปตามเจตนาของหนังสือชี้ชวน ทั้งนี้ ก.ล.ต.ยังได้สรุปบทเรียนครั้งนี้ว่า ประการแรก มีการประเมินความต้องการจองซื้อหุ้นต่ำกว่าความเป็นจริงและการเลือกรูปแบบ จัดสรรหุ้นให้แก่ผู้จองซื้อรายย่อยตามหลักการ ผู้จองซื้อก่อน จ่ายเงินก่อน มีสิทธิได้รับจัดสรรก่อน (First Come Fist Serve ) และแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายหุ้นเป็นธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ถึง 5 ธนาคาร วิธีการดังกล่าวไม่เหมาะสม เพราะทำให้เกิดปัญหาตามว่า ไม่ว่าจะเป็นความไม่สมดุลของจำนวนที่เสนอขาย กับความต้องการจองซื้อหุ้นจากผู้ลงทุนเป็นจำนวนมาก จึงมีความเป็นได้สูงว่า ผู้ลงทุนที่เป็นรายแรก หรือคิวที่ 1 ของบางTerminal อาจไม่สามารถจองซื้อหุ้นได้ ประการที่สอง ความเหมาะสมของการเลือกรูปแบบจัดสรรแบบ First Come First Serve จากความไม่สมดุลของจำนวนหุ้นและนักลงทุนที่ต้องการจองหุ้น ซึ่งทำให้นักลงทุนรายแรกของบาง Terminal อาจไม่สามารถจองหุ้นได้ และการจองซื้อสิ้นสุดลงภายในระยะเวลาอันสั้น อาจทำให้ผู้จองซื้อไม่เชื่อมั่นในวิธีการจัดสรรแบบดังกล่าวว่า ผู้จองซื้อทุกรายได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม ประการที่สาม ความได้เปรียบเสียเปรียบจากการมีตัวแทนจำหน่ายหุ้นหลายราย ตามปกติ การมีตัวแทนจำหน่ายหุ้นหลายรายที่มีประสิทธิภาพของระบบคอมพิวเตอร์แตกต่าง กันไม่น่าจะมีผลต่อความได้เปรียบเสียเปรียบของการจัดสรรมากนัก แต่ในกรณีที่มีความต้องการจองซื้อหุ้นเป็นจำนวนมาก ทำให้การจองซื้อสิ้นสุดลงภายในไม่กี่นาที ความแตกต่างด้านประสิทธิภาพของระบบคอมพิวเตอร์และความได้เปรียบในเรื่องการ เชื่อมต่อของระบบเครือข่ายของตัวแทนจำหน่ายหุ้นแต่ละรายกลายเป็นปัจจัยสำคัญ ต่อผลการได้รับการจัดสรรหุ้น สตง.ชี้ชัดปตท. ส่งคืนทรัพย์แผ่นดินไม่ครบ ไม่เพียง ก.ล.ต.เท่านั้น ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษา คดีหมายเลขแดงที่ ฟ.35/2550 ให้ ปตท.ส่งคืนท่อก๊าซธรรมชาติและอุปกรณ์ให้แก่รัฐ โดยมีหน่วยงานตัวแทน สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน เข้ารประเมินมูลค่าระบบท่อส่งก๊าซ เพื่อเรียกคืนตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ราคา 52, 393ล้านบาท แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ปตท.ส่งคืนท่อก๊าซธรรมชาติและอุปกรณ์ไม่ครบ ตามคำพิพากษาเพียง 16,176 ล้านบาท ยังขาดอีก 36, 217 ล้านบาท โดยเป็นราคาของท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบกและในทะเลมูลค่า 32,613 ล้านบาท และทรัพย์สินอื่นอีก 3,603 ล้านบาท ข้อเท็จจริงดังกล่าวถูกระบุในรายงานของผู้สอบบัญชี บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เรื่องการตรวจสอบรับรองความถูกต้องมูลค่าทรัพย์สินที่บริษัทแบ่งแยกให้ กระทรวงการคลังตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ทั้งนี้ ในรายงานดังกล่าว ได้สรุปผลการตรวจสอบว่า ปตท.แบ่งแยกทรัพย์สินให้กระทรวงการคลังจำนวน 16,176 ล้านบาทนั้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 32.19 เปอร์เซ็นต์ เป็นเพียงทรัพย์สินในส่วนเฉพาะธุรกิจก๊าซเท่านั้น ดังนั้นคงเหลือทรัพย์สิทธิสุทธิของระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติที่ ปตท.ไม่ได้แบ่งแยกให้กระทรวงการคลังอีก 34,078 ล้านบาท ส่วนทรัพย์สินของโรงแยกก๊าซธรรมชาติและส่วนกลาง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจก๊าซ คิดเป็นมูลค่าสุทธิ 3,399 ล้านบาทที่ ปตท.ไม่ได้แบ่งแยกเพื่อส่งคืนกระทรวงการคลังเช่นกัน ไม่เพียงเท่านี้ ปตท.ยังส่งคืนไม่ครบในส่วนระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบกของโครงการดังปรากฎใน คำพิพากษา ปตท.แบ่งแยกและส่งคืนเพียงบางส่วนเท่านั้น หรือคิดเป็นเพียงอัตราร้อยละ 55.42 และส่วนระบบท่อส่งก๊าซในทะเล ปตท.ไม่ได้ส่งคืนให้ทั้งจำนวน ทั้งนี้ จากข้อมูลมูลค่าทรัพย์สินของ ปตท.เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2544 ประเภทเครื่องจักรและอุปกรณ์ของระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ จำนวน 47,664 ล้านบาท ในจำนวนนี้มีทรัพย์สินของระบบท่อก๊าซธรรมชาติที่ปรากฎชื่อในคำพิพากษา ได้แก่ โครงการท่อบางปะกง-วังน้อย ( โครงการท่อคู่ขนาน) โครงการท่อชายแดนไทยและพม่า-ราชบุรี และโครงการท่อราชบุรี-วังน้อย ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่เป็นระบบท่อก๊าซธรรมชาติ บนบก มูลค่าสุทธิจำนวน 26,720 ล้านบาท และระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติในทะเล มูลค่าสุทธิจำนวน 9,922 ล้านบาท รวมมูลค่าสุทธิระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติที่ปรากฎโครงการในคำพิพากษาจำนวน 36,642 ล้านบาท ในส่วนการแบ่งแยกระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติทางบก ปตท. ใช้หลักเกณฑ์การแบ่งแยกตามอัตราส่วนร้อยละ (Portion) ของความยาวท่อก๊าซธรรมชาติเฉพาะแนวทางท่อส่งก๊าซธรรมชาติที่ผ่านที่ดิน 2 ประเภท คือ ที่ดินเวนคืนและที่ดินที่เกิดจากการรอนสิทธิเท่านั้น ส่วนระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติที่ผ่านที่ดินประเภทอื่น คือ ที่ดินประเภทจัดซื้อและประเภทขอใช้ที่ดิน โดยปตท.ไม่ได้นำมูลค่าระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติมาคำนวนสัดส่วน เพื่อส่งคืนกระทรวงการคลัง มีผลให้ปตท.แบ่งแยกระบบท่อส่งก๊าซฯบนบกเพียงบางส่วนเท่านั้นนั่นเอง ส่วนระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติในทะเลของโครงการดังปรากฎชื่อในคำพิพากษามูลค่า สุทธิจำนวน 9,922 ล้านบาท ปตท.ไม่ได้แบ่งแยกให้กระทรวงการคลังเช่นกัน “ เมื่อคุณหญิงจารุวรรณ ส่งหนังสือทวงถามไปยังผู้บริหารปตท.อ้างว่าได้ส่งคืนทุกอย่างแล้วตามคำ พิพากษาแล้ว แต่ข้อเท็จจริงไม่ได้เป็นไปตามที่ผู้บริหารระดับดังกล่าวบอกแต่อย่างไร ซ้ำยังอ้างว่า เรื่องทุกอย่างจบแล้ว” แหล่งข่าวบอก เปิดบัญชีฉ้อฉลจองหุ้นปตท. ผิดระเบียบ-เงื่อนไขฟ้องโมฆะ ข้อมูลจากการสืบค้นของ “ผู้จัดการ 360 องศา รายสัปดาห์” พบว่า ในบรรดาหุ้นรัฐวิสาหกิจเข้าตลาดฯ ที่ผ่านมาทั้งหมด หุ้นที่มีจำนวนผู้สนใจจองซื้อมากที่สุดเป็นอันดับ 1 คือ การบินไทย มีผู้สนใจ 180,000 ราย ปตท.เป็นอันดับ 2 หุ้นที่ขายทั้งหมด 920 ล้านหุ้น แบ่งเป็นขายให้นักลงทุนสถาบันในประเทศ 92 ล้านหุ้น ขายผ่านธนาคารใหญ่ 5 แห่ง คือ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกสิกรไทย รวม 330 ล้านหุ้น ขายผ่านแกนนำอันเดอไรเตอร์ 3 แห่ง คือ บริษัทหลักทรัพย์ทิสโก้ บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ และบริษัทหลักทรัพย์เมอร์ริล ลินช์ ภัทร แห่งละ 29 ล้านหุ้นเท่าๆ กัน ผ่านโบรกเกอร์ที่ได้รับเชิญอีกกว่า 20 แห่ง รวม 33 ล้านหุ้น สำหรับผู้ลงทุนรายย่อย วิธีการที่กำหนดในช่วงแรก คือ หนึ่ง ให้จองซื้อได้คนละ 300,000 หุ้น ก่อนลดเหลือ 100,000 หุ้นในเวลาต่อมา สอง ใช้วิธี First Come First Serve จองก่อนได้ก่อน ส่วนหนึ่งเปิดจองผ่านธนาคารพาณิชย์ 5 แห่ง รวม 7,838 Terminal ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ออนไลน์ หุ้นอีกส่วนหนึ่ง โบรกเกอร์ขายให้ลูกค้าของตัวเอง วิธีการใดก็ได้ ลูกค้าจองหมดตามโควตาเร็วก็ได้เพิ่มเร็ว จากการตรวจสอบเอกสาร การกระทำอันเป็นเหตุแห่ง “โมฆกรรม” ของการขายหุ้น มีประเด็นที่ควรพิจารณา เป็นความต่อเนื่องกันใน 2 เรื่องหลัก คือ หนึ่ง-การจองซื้อได้คนละ 100,000 หุ้นต่อ 1 ใบจอง ยื่นได้ครั้งละ 1 ใบจอง ภายใต้วิธี First Come First Serve จองก่อนได้ก่อน กลับพบว่า มีผู้ได้รับการจัดสรรหุ้นทั้งหมด 1) เกิน 1 ใบ และเกิน 100,000 หุ้น มี 227 ราย ใบหุ้น 636 ใบ รวม 59,283,600 หุ้น 2) เกิน 1 ใบ แต่ไม่เกิน 100,000 หุ้น มี 201 ราย ใบหุ้น 414 ใบ รวม 8,074,000 หุ้น (หมายเหตุ: ตัวอย่างรายชื่อผู้ได้รับจัดสรรหุ้น 50 รายแรก ในตาราง) ประเด็นนี้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ให้ความเห็นในรายงานการตรวจสอบการเสนอขายหุ้นสามัญของบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ต่อผู้จองซื้อรายย่อย เมื่อเดือนมกราคม 2545 ว่า การที่หนังสือชี้ชวนระบุว่า “ผู้จองซื้อรายย่อย จะต้องจองซื้อหุ้นขั้นต่ำจำนวน 1,000 หุ้น และจะต้องเป็นทวีคูณของ 100 หุ้น แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกิน 100,000 หุ้นต่อ 1 ใบจองซื้อ” และ “ผู้จองซื้อ 1 ราย สามารถยื่นจองซื้อได้ครั้งละ 1 ใบจองเท่านั้น” อาจทำให้ผู้จองซื้อรายย่อยบางรายเข้าใจว่า ผู้จองซื้อ 1 ราย สามารถจองซื้อได้ไม่เกิน 100,000 หุ้น ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่เป็นเช่นนั้น สอง-วันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ.2544 หลังจากเปิดรับจองหุ้นประเภทผู้ลงทุนรายย่อย ตั้งแต่เวลา 09.30 น. ได้เพียง 4.04 นาที ปตท.ก็ปิดรับ ทำให้ผู้จองซื้อรายย่อยจำนวนมากร้องเรียนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลัก ทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งทำการตรวจสอบแล้วพบว่า ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงการรับจองซื้อหุ้นตามหนังสือชี้ชวน ทำให้สิทธิของผู้จองซื้อหุ้นที่จะได้รับจัดสรรหุ้นไม่เท่าเทียมกัน เป็นผลให้การดำเนินการรับจองซื้อหุ้นไม่เป็นไปตามเจตนาของหนังสือชี้ชวน จำนวน 859 รายการ และธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงการรับจองซื้อหุ้นตามหนังสือชี้ชวน 4 รายการ โดยกรณีแรก ธนาคารไทยพาณิชย์บันทึกข้อมูลการจองซื้อของผู้จองซื้อดังกล่าวไว้ก่อนเวลา นอกจากนี้ยังบันทึกชื่อและนามสกุลของผู้จองซื้อแบบย่อ แทนชื่อและนามสกุลเต็ม จากนั้นจึงส่งข้อมูลดังกล่าว เข้าสู่ศูนย์ข้อมูลกลางก่อนแล้วจึงปรับปรุงข้อมูล พิมพ์ชื่อและนามสกุลเต็มภายหลัง เมื่อนำทั้ง 2 ประเด็นมารวมกัน หากการดำเนินการเป็นไปอย่างโปร่งใส เมื่อคิดถึงว่า การจองซื้อปิดรับในเวลาเพียง 4.04 นาที เหตุการณ์ตามข้อ 1 คือ มีผู้ได้รับการจัดสรรมากกว่า 1 ใบจอง และมากกว่า 100,000 หุ้น ย่อมยากที่จะเกิดขึ้น ถือว่าเป็นการดำเนินการให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบในระหว่างผู้จองซื้อ หุ้น และทำให้การจัดสรรหุ้นไม่เป็นไปตามเจตนาและวิธีการที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ ชวนที่ประสงค์ให้การจองซื้อหุ้นเป็นไปโดยโปร่งใส โดยสุจริตและเป็นธรรมแก่ประชาชนทั่วไป |
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น