บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

วงจรอุบาทว์เลือกตั้ง โดย พระบาท นามเมือง

       ไหนๆ ไม่นานก็จะมีการเลือกตั้งกันแล้ว
     
       คอลัมน์พระบาทก็จะใช้พื้นที่มากหน่อยพูดถึงเรื่องนี้
     
       และหวังว่าจะเป็นความรู้สำหรับผู้อ่านไม่มากก็น้อย
     
       ขอเริ่มจากปัญหาเรื่องการเลือกตั้งแล้วกัน
     
       เรารู้ๆ กันอยู่ว่า เลือกตั้งในบ้านเรามีปัญหาที่เป็นวงจรอุบาทว์อยู่ตรงที่เราเลือกส.ส.ทีไรได้ ส.ส.ที่มาจากการซื้อขายเสียงทุกที และเมื่อเลือกตั้งใหม่คนพวกนี้ก็ใช้วิธีซื้อขายเสียงกลับเข้ามานั่งในสภา
     
       วงจรอุบาทว์นี้ เราจึงได้ส.ส.เดิม คุณภาพเดิม
     
       พยายามแก้กัน แต่ก็แก้กันไม่หาย
     
       วงจรอุบาทว์ในที่นี้ก็คือ ระบบการซื้อขายเสียงที่เราควรวิเคราะห์
     
       และต้องทำความเข้าใจว่า ส.ส.ซื้อขายกันอย่างไร
     
       เพราะหากเราเข้าใจ จะได้ช่วยกันคิดว่าจะแก้กันได้อย่างไร
     
       จึงจะยุติการซื้อขายเสียงนี้ได้เสียที เพราะมันผิดกฎหมายและเป็นการได้ส.ส.มาอย่างไม่ถูกต้องตามครรลองครองธรรม
     
       แต่เราจะต้องดูว่าในบริบทของสังคมไทยนั้น มีช่องโหว่อยู่มาก
     
       อย่างน้อยค่านิยมไทยเรื่องบุญคุณและการตอบแทนคุณคนเป็นเรื่องสำคัญ
     
       การจ่ายเงินซื้อเสียง โดยผู้ให้เงินกับผู้รับเงินเป็นการแลกเปลี่ยนที่กลายเป็นว่า การให้กับการรับที่มีบุญคุณต่อกัน ไม่ใช่แลกกันเฉยๆ
     
       สังคมไทยมีขนบธรรมเนียม ประเพณีดังเดิมที่การตอบแทนระหว่างเจ้านายกับลูกน้อง ผู้ใหญ่กับผู้น้อย คนมีอำนาจกับผู้ด้อยอำนาจ นายกับบ่าว ฯลฯ อิทธิพลความเชื่อเหล่านี้
     
       เมื่อปรับกับการเมือง
     
       ทำให้การเมืองกลายเป็นเรื่องที่ต้องตอบแทนกัน
     
       ผู้สมัครส.ส.ในต่างจังหวัดนั้น ส่วนหนึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า มักจะเป็นผู้มีชื่อเสียง เป็นผู้มีอิทธิพลในจังหวัด
     
       ดังนั้นจึงเป็นที่เคารพของชาวบ้านโดยนัยยะอยู่แล้ว
     
       เมื่อหันมาลงสมัครรับเลือกตั้งและเริ่มแจกเงินเพื่อแลกกับคะแนนเสียง
     
       ชาวบ้านเห็นว่า เป็นเรื่องที่ต้องตอบแทน เพราะผู้สมัครเป็นคนที่มีชื่อเสียงเป็นที่รักใคร่
     
       หรือเคยทำความเจริญมาให้พื้นที่ของตนมาก่อน
     
       ดังนั้นการลงคะแนนจากเงินที่ให้มาจึงเป็นเรื่องมากกว่าตอบแทนค่าของเงิน
     
       แต่เป็นเรื่องของบุญคุณกันเลยทีเดียว
     
       สำหรับส.ส.ที่แม้จะไม่ใช่ผู้มีบารมีแต่มีอำนาจเงินเพียงอย่างเดียว เงินก็ถูกจัดการไปได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน
     
       ผ่านทางหัวคะแนนครับ
     
       หัวคะแนนอาจเป็นผู้มีอิทธิพล
     
       บ้างก็เป็นกำนันหรือผู้ใหญ่บ้านที่ประชาชนนับถืออยู่แล้ว
     
       การซื้อเสียงก็จะง่ายเข้า การควบคุมเงินและคะแนนก็ง่าย
     
       ส.ส.ก็ใช้เงินแบบเหมารวมและไม่ต้องออกพื้นที่ให้เหนื่อยยากทุกวัน แค่ปราศรัยเป็นบางจุดใหญ่ๆ ก็พอ
     
       การซื้อขายเสียงนี่ ไม่ใช่แค่จะมีแต่ในต่างจังหวัดเท่านั้นนะครับ
     
       ชานเมืองกทม.บางเขตก็มีเหมือนกัน
     
       ไม่ใช่ไม่มีและจ่ายกันหัวละพันบาทครับ
     
       นอกเหนือจากการซื้อๆ ขายๆ แล้ว ยังมีรายการแจกจ่ายสิ่งของอีกมากมาย รวมทั้งพวกให้สัญญาว่าจะสร้างโน่นสร้างนี่ต่างหาก ที่นิยมกันมาก แม้ในกทม.ก็คือที่พักป้ายรถเมล์ สะพานในสลัม ถนนสายต่างๆ ฯลฯ การให้สัญญาแบบนี้ความจริงผิดกฎหมาย แต่นิยมทำกันเกือบทุกพรรคแหละครับ
     
       เรื่องการซื้อขายเสียง แก้อย่างไรก็แก้ได้ยาก
     
       แถมยังมีการพัฒนาให้ทันสมัยไปอีกมาก เทคนิคการซื้อเสียงได้ก้าวหน้าทันสมัยไปเยอะจนจำไม่หวาดไม่ไหว
     
       มีการพัฒนาไปเป็นศาสตร์และกลายเป็นหลักวิชาสำหรับการเลือกตั้งเพื่อให้การโกงสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น แนบเนียนยิ่งขึ้น
     
       ส.ส.ที่มีความรู้ เรียนหนังสือมาเยอะ เป็นกลุ่มที่ใช้หลักวิชาเข้ามาจัดการเลือกตั้งให้รัดกุมขึ้น
     
       เรียกว่าให้ซื้อเสียงอย่างละเอียดมากขึ้น
     
       มีวิชาการทันสมัย มีเครือข่ายก้าวหน้า ทั้งอุปกรณ์อื่นๆ ทีวี ระบบงานและกลยุทธหรือเล่ห์กลอีกมากมาย
     
       เราอาจจะกล่าวมาบ้างในตอนแรกนี้พอให้เข้าใจได้บ้าง
     
       สำหรับคอลัมน์พระบาท อาทิตย์นี้เราพอจะสรุปสั้นๆ ว่าวิชาการเพื่อการซื้อเสียงนี้ทำกันมาร่วมสิบกว่าปีแล้ว
     
       และใช้กันแพร่หลายแบบประกันสอบได้แน่ๆ เสียด้วย
     
       จะขอเกริ่นพอเป็นสังเขปดังนี้ เพื่ออธิบายอีกทีในครั้งหน้านะครับ
     
       วิธีบริหารเลือกตั้ง เรียกว่า อีเล็กชั่น แมนเนจเม้นท์ หรือ Electioneering เป็นกระบวนการให้ได้มาซึ่งการเลือกตั้งที่ผู้สมัครจะชนะการเลือกตั้ง (ในที่นี้ด้วยการซื้อเสียง)
     
       การซื้อเสียงทำได้ด้วยการบริหารคะแนน หรือ ที่เรียกว่าโหวตแมนเนจเม้นท์ (Vote Management) ซึ่งผู้สมัครจัดการซื้อเสียงด้วยวิธีเข้าไปจัดการกับการซื้อคะแนนเสียงครับ
     
       นอกจากสองสามอย่างที่กล่าวมานี้ยังมีอีกสองสามอย่างที่จะกล่าวถึงโดยละเอียดในตอนหน้าครับ
    ในการบริหารเลือกตั้ง หัวใจสำคัญของเป้าหมายคือต้องเอาชนะคู่แข่งขันให้ได้
     
       นั่นหมายความว่าจะต้องใช้เงินและดำเนินการทุกวิถีทางที่จะให้ได้คะแนนเหนือกว่าผู้สมัครที่เป็นคู่แข่งทุกคน
     
       การบริหารเลือกตั้งซึ่งนำไปสู่การซื้อเสียงอย่างเป็นระบบ จึงมักจะเริ่มต้นด้วยการบริหารพื้นที่เขตเลือกตั้งของผู้สมัคร
     
       ซึ่งแบ่งง่ายๆ เป็นพื้นที่แข่งขันกันในระดับสูงมาก สูงปานกลาง และสูงน้อย
     
       แต่ละระดับใช้เงินมากน้อยเรียงกันลงมา
     
       เมื่อรู้พื้นที่แล้วก็จัดแบ่งหมู่บ้าน แยกจำแนกประชากรในหมู่บ้าน ตำบลอำเภอออกมาให้ชัดเจน
     
       จัดหาบัญชีผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้ครบ
     
       จัดระบบหัวคะแนนให้ครบในแต่ละพื้นที่
     
       วางระบบสื่อสาร การขนส่ง จัดระบบรถยนต์หาเสียง หน่วยเคลื่อนที่ติดโปสเตอร์ ระดมคนช่วยในกิจการต่างๆ เฉพาะกิจฯลฯ
     
       จัดตั้งสำนักงานกลางและสำนักงานสาขาในการหาเสียง
     
       ให้มีห้องวอร์รูมหรือห้องวางยุทธศาสตร์การเลือกตั้งซึ่งข้างในห้องจะมีเจ้าหน้าที่ประจำ
     
       มีแผนที่เขตเลือกตั้ง
     
       มีบัญชีผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งของแต่ละหน่วยเลือกตั้ง
     
       มีหน่วยตรวจสอบการทำโพลล์รวมอยู่ด้วย
     
       นี่เป็นสิ่งที่ผู้เขียนเคยเห็นมาในการหาเสียงของผู้สมัครบางคนเมื่อหลายปีมาแล้วในจังหวัดหนึ่งทางภาคอีสาน
     
       ผู้สมัครท่านนี้จบปริญญาโทจากประเทศอังกฤษ
     
       เคยเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยชั้นนำของรัฐมาก่อน และมีเงินมากพอที่จะเล่นการเมือง
     
       แต่ต้องมาใช้เงินสู้กับส.ส.ในพื้นที่ที่ซื้อเสียง (ไม่ได้ซื้อทุกพื้นที่)
     
       ผลคือเขาชนะอย่างท่วมท้นและมาเป็นที่หนึ่งด้วยระบบแมนเนจเม้นท์ที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่า
     
       กลับมาพิจารณาเรื่องการซื้อเสียงในระบบ Vote Management กันอีกที
     
       หัวใจของระบบนี้คือบริหารบัญชีรายชื่อครับ
     
       เรียกว่าการใช้เงินเพื่อซื้อคะแนนให้ได้ประสิทธิภาพ
     
       สมัยก่อนยี่สิบบาทต่อคะแนนก็ได้แล้วครับ
     
       ต่อมาก็เพิ่มเป็นสี่สิบบาทและแปดสิบบาทในเขตเมืองก็ร้อยบาท
     
       มีคนบอกผมว่าชานเมืองในกทม.หัวละ ๕๐๐ บาท หรือ ๑,๐๐๐ บาท ต่อครัวเรือนก็มี
     
       ในการแบ่งเงินเพื่อบริหารคะแนนตามบัญชีรายชื่อนี้จะทำกันเป็นสายงานโดยให้หัวคะแนนรับผิดชอบเป็นสายๆ ไป
     
       และให้ไปแจกกันสองรอบ
     
       รอบแรกจ่ายกันไปแล้วก็ต้องซ้ำเพื่อดูว่าเข้าเป้าหรือเปล่า
     
       เหตุที่ต้องจ่ายกันสองรอบเพราะว่าคู่แข่งขันอาจจะมาทีหลัง แล้วจ่ายมากกว่าทำให้เราต้องเสียคะแนนไปดังนั้นจึงต้องซ้ำทำให้เงินฝ่ายเรา มากกว่า หลังการจ่ายรอบแรกไปแล้ว
     
       หน่วยสุ่มวิจัยก็จะออกไปสำรวจละครับ
     
       การสำรวจก็เพื่อดูว่าคะแนนนิยมของเราเป็นอย่างไรบ้าง
     
       จะได้รู้กันแจ่มแจ้งไปว่า หมู่บ้านไหนเป็นอย่างไร
     
       ทีมนักวิจัยมีไว้ไม่ใช่แค่ทำวิจัยเป็นรอบๆ
     
       แต่ยังมีหน้าที่ไปสังเกตการณ์ขณะผู้สมัครเดินหาเสียงด้วย
     
       ตัวอย่างเช่นถ้าเดินไปหาเสียงพบว่าหมู่บ้านไหนชาวบ้านมาฟังการอภิปรายโดยยืนกันไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย
     
       แสดงว่าหัวคะนนจัดตั้งลูกบ้านไม่มีวินัย
     
       และการแจกเงินอาจจะไม่มีประสิทธิภาพได้
     
       แม้ว่าการบริหารคะแนนและการบริหารการเลือกตั้งจะมี ประสิทธิภาพแค่ไหนแต่บางครั้งก็อาจจะเกิดช่องโหว่ได้เสมอ หากเงินไม่ถึงหรือคู่แข่งมีความชำนาญมากกว่าก็อาจจะชนะได้ทั้งๆ ที่ไม่ได้ใช้วิธีบริหารการเลือกตั้งที่ทันสมัย
     
       ระบบการซื้อเสียงนี้ทางราชการพยายามที่จะป้องกันมาทุกสมัยและใช้วิธีการต่างๆ นานา แต่ก็ไม่อาจจะสำเร็จ
     
       ที่ฮือฮาที่สุดเห็นจะเป็นการจัดตั้งองค์กรกลางเพื่อการเลือก ตั้ง ซึ่งองค์กรกลางประกอบด้วยเอ็นจีโอ นักวิชาการและบุคคลากรในภาครัฐและเอกชนที่มีชื่อเสียง องค์กรกลางยังมีหน่วยแจ้งเหตุ ทีมนักกฎหมาย ฝ่ายรณรงค์ทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ และมีเครือข่ายเชื่อมโยงกับโรงเรียน มหาวิทยาลัยในภูมิภาค
     
       องค์กรกลางจึงทำงานในระดับชาติและทำงานเชิงลึกด้วย
     
       เชิงลึกคือลงไปถึงหมู่บ้าน และลงไปดูการซื้อขายเสียง
     
       แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ทั้งๆ ที่เห็นกันตำตา ไปแจ้งใครก็ทำอะไรไม่ได้ ในเมื่อคนซื้อเสียงขายเสียงคือพวกเจ้าหน้าที่กำนันผู้ใหญ่บ้านเสียเอง แม้แต่ในหน่วยเลือกตั้งการทุจริตก็ยังเกิดขึ้นได้เสมอ
     
       ด้วยเหตุนี้ การซื้อขายเสียง จึงเป็นเสมือนวงจรอุบาทว์ในระดับล่างสุดของสังคมไทยที่สุดจะเยียวยาและได้ กลายมาเป็นประเพณีที่ประพฤติปฏิบัติทุกครั้งเมื่อมีการเลือกตั้ง
     
       เราจึงได้ส.ส.หน้าเก่า
     
       ที่ขึ้นไปเป็นรัฐมนตรีและจัดตั้งรัฐบาลหน้าเก่าๆ
     
       บริหารบ้านเมืองแบบไม่เอาไหนกันนี่แหละครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง