อธิปัตย์
นับแต่อดีตกาลเป็นต้นมา “อำนาจ” ทั้งหลายทั้งปวงที่พึงจะมีได้ล้วนถูกเสกสรรค์ปั้นแต่งตามแต่ “สถานะ” ของบุคคลนั้น หากบุคคลใดมี “สถานะ” ที่สูงส่งก็ย่อมมี “อำนาจ” สูงส่งตาม สถานะจึงกลายเป็นเครื่องมือกำหนด “ขอบเขต” ของการใช้อำนาจ แม้ว่าจะมีสถานะสูงส่งเพียงใดหากใช้อำนาจในทางที่มิชอบ อำนาจอื่นๆที่มีในสังคมก็สามารถโค่นล้มอำนาจที่มิชอบได้
การตีความเรื่อง “อำนาจ” นั้นมีปัญหามาอย่างยาวนาน ผู้ที่ได้รับประโยชน์จากอำนาจที่มากกว่าย่อมพึงพอใจในกฎเกณฑ์และขอบเขตแห่ง อำนาจนั้น แต่หากผู้ใดเสียผลประโยชน์จากอำนาจที่เหนือกว่า ก็ย่อมมีการต่อต้านเป็นธรรมดา เหตุบ้านการเมืองจึงไม่สงบสุขมาแต่อดีตกาล
ถ้าเป็นบุคคลธรรดาเราเรียก “อำนาจ” ว่า “อำนาจ” แต่หากเป็นกษัติรย์เราเรียกว่า “พระราชอำนาจ” ในบทความชิ้นนี้เป็นการพูดถึงกษัตริย์ดังนั้นเราจะเรียกอำนาจว่า “พระราชอำนาจ”
แท้จริงแล้วคำว่า “พระราชอำนาจ” ก็เสมือนเป็น “หน้าที่” เป็นสิ่งที่ระบุว่าหน้าที่ของกษัตริย์นั้นมีอะไร มีขอบเขตเพียงใด หากเรามองดูกับหน่วยงานภาครัฐ “อำนาจนายกรัฐมนตรี” ย่อมมีมากกว่า “อำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัด” ดังนั้นหากมองในอีกมุมหนึ่ง “อำนาจ” เป็นเครื่องหมายแสดงความรับผิดชอบต่องานที่ได้ทำ ยิ่งอำนาจมากเท่าใด การรับผิดชอบต่องานก็ยิ่งมากเท่านั้น
พระราชอำนาจอันมีแต่เดิมของพระมหากษัตริย์ไทยก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้นมีเป็นล้นพ้น แต่ก็ถูกกรอบของ “กฎหมาย” อย่างเช่น กฎมณเฑียรบาล ทศพิธราชธรรม และนอกจากตัวกฎหมายที่เป็นกรอบแลวก็ยังมีตัวบุคคลเช่น อภิรัฐมนตรี รัฐมนตรีสภา เชื่อพระวงศ์ ขุนนาง เป็นต้น ดังนั้นหากจะกล่าวว่าพระมหากษัตริย์ทรงมีอำนาจเป็นล้นพ้นก็เห็นว่าจะ ต้องกลับไปมองดูประวัติศาสตร์กันเสียใหม่ เพราะนับแต่การกฏิรูประบบราชการครั้งสำคัญในสมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นต้นมา อำนาจของพระมหากษัตริย์ที่แต่เดิมมีกรอบของกฎหมายบังคับ ก็เริ่มมีตัวบุคคลเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
ในสมัยประชาธิปไตย “พระราชสถานะ” ของพระมหากษัตริย์เป็น “ประมุขแห่งรัฐ” และจะต้องใช้ “พระราชอำนาจ” ผ่านอำนาจทั้งสามคือ นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ โดยทั้งสามส่วนมีประมุขที่รับผิดชอบคือ ประธานรัฐสภา นายกรัฐมนตรี และประธานศาลฎีกา แม้ว่าทั้งสามจะมี “สถานะ” เท่าเทียมกันเพราะต่างก็เป็นส่วนหนึ่งในพระราชอำนาจแต่เดิมของพระมหากษัตริย์ แต่ทั้งสามก็มี “หน้าที่” ที่ต่างกัน และความสำคัญที่ต่างกัน
โดยอำนาจท้ังสามนั้นเป็น “ตัวแทนใช้พระราชอำนาจ” ซึ่งในอดีตพระมหากษัตริย์จะคัดเลือกบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่งเสนาบดี ผบ.เหล่าทัพ แต่ในปัจจุบันการคัดเลือกผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่างๆนั้นมาจากคัดเลือก โดยประชาชน โดยองค์กร โดยรัฐบาล แลัวจึงจัดการทูลเกล้าฯเพื่อให้พระมหากษัตริย์โปรดเกล้าแต่งตั้งลงมาดังนั้น ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งก็เป็นเสมือน “ตัวแทน” จากองค์พระมหากษัตริย์ที่ได้รับอำนาจไปปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับ
และเพราะมิใช้พระมหากษัตริย์เป็นผู้ “คัดเลือก” ด้วย พระองค์เอง หรือหากจะพูดในอีกแง่มุมคือทรงไม่มีหน้าที่และความรับผิดชอบทางการเมือง ดังนั้นในพระบรมราชโองการแต่งตั้งใดๆก็ตามก็จะมี “ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ” รับผิดชอบในการแต่งตั้งนั้นๆไป หากเกิดความผิดพลาดใด ผู้รับสนองฯจะเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรง
ในแง่มุมเรื่องพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ไทยมีการเสวนาและอภิปรายกัน กว้างขวางมากในช่วงเวลานี้ มีการเสนอให้แก้ไขเกี่ยวกับกฎหมายที่เกี่ยวกับพระมหากษัติรย์ หรือกระทั่งมิให้มีพระราชดำรัสโดยตรงกับประชาชนอย่างเช่นกษัตริย์ในต่าง ประเทศ ดังนั้นก่อนที่เราจะคล้อยตาม หรือไม่เห็นต่างในประเด็นเหล่านี้ เราควรทราบที่มาและที่ไปโดยเฉพาะขนบธรรมเนียม ประเพณีปฏิบัติของพระมหากษัตริย์ในประเทศแม่แบบเสียก่อนครับ
ตอนนี้ในโลกเรามีประเทศที่มีกษัตริย์ ๒๘ ประเทศ โดยมี ๖ ประเทศเป็นแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ส่วนที่เหลือเป็นการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัติรย์เป็นประมุข
โดย ศ.ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้าฯ ได้อธิบายเรื่องนี้ไว้น่าสนใจว่า…”ในประเทศประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข กลุ่มแรกคือ กลุ่มต้นแบบ มีอังกฤษเป็นตัวหลัก อังกฤษ นี่เป็นแม่แบบของประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งจะมีหลักตั้งแต่ประเทศเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย ใน ค.ศ. ๑๘๖๗ ว่าพระมหากษัตริย์ หรือพระราชินีนาถ จะไม่ทรงมีพระราชดำริทางการเมืองใด ๆ ทั้งสิ้น แต่จะทรงทำตามคำแนะนำของนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรี ที่รับผิดชอบต่อสภาสามัญซึ่งเป็นสภาผู้แทนราษฎร และสภาก็รับผิดชอบต่อประชาชน ดังนั้น จึงถือว่าพระมหากษัตริย์อังกฤษ ไม่ทรงกระทำผิด ที่เรียกว่า the king can do no wrong ที่ไม่ทรงกระทำผิด เพราะทรงทำตามคำแนะนำของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ในฐานะผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการและผู้ถวายคำแนะนำ เกิดความผิดทางการเมืองทางกฎหมายขึ้น คนถวายคำแนะนำต้องรับผิดชอบ และถือเป็นธรรมเนียมว่า ทรงมีพระราชอำนาจสำคัญ ๓ ประการ คือ ๑. พระราชอำนาจที่จะให้คำแนะนำ ๒. พระราชอำนาจที่จะสนับสนุนและให้กำลังใจ ๓. พระราชอำนาจที่จะทรงเตือน วันนี้ก็ยังถืออยู่ รัฐธรรมนูญอังกฤษทุกเล่ม พูดถึงเรื่องนี้
ในอังกฤษพระราชดำรัสของสมเด็จพระราชินีนาถ ต้องส่งให้นายกรัฐมนตรีเห็นชอบ จึงจะพูดกับประชาชนได้ มีข้อยกเว้นอยู่ 2 พระราชดำรัสที่ไม่ต้องขอความเห็นชอบนายกรัฐมนตรี คือ ๑. พระราชดำรัสเนื่องในวันคริสต์มาสสำหรับเครือจักรภพทั้งหมด ๑๖ ประเทศ และ ๒. พระราชดำรัสให้เครือจักรภพในวันสถาปนาเครือจักรภพ จะเห็นได้ว่าเมืองไทยไม่มีธรรมเนียมนี้ พระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นเรื่องของพระองค์ท่านโดยแท้
หลายประเทศเอาธรรมเนียมอังกฤษไปปฏิบัติ รวมทั้งไทยก็ถือคติว่าพระมหากษัตริย์ไทยจะไม่มีพระราชดำริทางการเมือง เพราะทรงทำตามคำแนะนำของนายกรัฐมนตรี เรื่องนี้อยู่ในรัฐธรรมนูญ ม.๑๙๕ มันเป็นหลักเดียวกับของอังกฤษ และผมให้ข้อสังเกตว่าอังกฤษนั้น พระราชินีนาถจะไม่ค่อยปรากฏพระองค์ต่อสาธารณะ และเป็นสถาบันที่ลึกลับ สูงส่ง เพราะสืบทอดอารยธรรมมาเป็นพันปี ถ้าเป็นกลุ่มที่สองคือกษัตริย์ในกลุ่มสแกนดิเนเวีย เช่น เนเธอร์ แลนด์ สวีเดน นอร์เวย์ เดนมาร์ก ก็ใช้ธรรมเนียมเดียวกับของอังกฤษ แต่วางพระองค์ต่างจากอังกฤษ คือ กลุ่มที่สอง เป็นสถาบันที่ทำตัวเหมือนประชาชน”
ศ.ดร.บวรศักดิ์ ยังกล่าวว่าพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ไทยนั้นเสมือนเป็น “กลุ่มที่สาม” คือการรวมเอากลุ่มแรกและกลุ่มที่สองเข้าด้วยกัน “….ประเทศ ไทย ผมให้เป็นกลุ่มที่สาม เพราะของไทยเราจะมีลักษณะที่อยู่ระหว่างกลุ่มที่ ๑ และกลุ่มที่ ๒ ว่าเรามีสถาบันพระมหากษัตริย์มายาวนาน สืบทอดอารยธรรม วัฒนธรรม เอกราช และความเป็นเอกภาพของคนไทย แต่พระองค์ท่านใกล้ชิดกับประชาชนมากกว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ ในกลุ่มสแกนดิเนเวียด้วยซ้ำ คุณเคยเห็นไหม ที่ พระองค์เสด็จฯไปในทุกพื้นที่ที่เราไม่อยากไป เคยเห็นภาพหรือไม่ ที่ประทับนั่งบนพื้นดิน และทรงแผนที่ รับสั่งกับประชาชนด้วยคำสามัญ จากพระราชกรณียกิจในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน ๖๕ ปีที่ทรงเสวยราชสมบัติ มีโครงการพระราชดำริ ๔๐๐๐ กว่าโครงการ และผมคิดว่า ถ้าควีนทำอย่างนี้ในอังกฤษ ก็ไม่แน่ว่าจะได้รับการยอมรับ เพราะเขาเน้นปฏิบัติตามจารีต…”
ผมจะขอสรุปถึงที่ไปที่มา และชุดความคิดตะวันตกที่ครอบงำรูปแบบการปกครองของไทยที่ทำให้คนไทยเริ่มไขว้ เขวและถกเถียงกัน ทั้งๆที่ไม่ได้รับรู้ที่และที่ไปอย่างแท้จริงดังนี้ครับ
๑.คนสยามหรือกระทั้งหลายๆอาณาจักรในเอเชียตะวันออก ล้วนมีคติความเชื่อโบราณ ความคิดเป็นเหตุเป็นผลจากศาสนาพุทธ ลัทธิเทวราชา การเวียนว่ายตายเกิด ผลบุญที่สั่งสมในอดีตชาติทำให้ในปัจจุบันชาติมีความเป็นอยู่ที่แตกต่างกัน จนเกิดเป็น “วรรณะ” หรือการแบ่งชนชั้น ซึ่งความเชื่อเหล่านี้ยากที่จะอธิบายให้คนต่างชาติเข้าใจ หรือกระทั่งในปัจจุบันหลายคนที่ศึกษาประวัติศาสตร์ก็ไม่มองจุดๆนี้ กลับเอาความคิดของตะวันตกมาตัดสินอดีตของคนตะวันออกอย่างไม่ใยดี
๒.สถานะของกษัตริย์หรือจักรพรรดิของคนตะวันตก(ยุโรป) จากเดิมมีความเชื่อเรื่องเทวดาเรื่องเทพเจ้า(ซึ่งเป็นเรื่องปกติของยุค โบราณ)ต่อมาเมื่อคริสต์ศาสนาเข้ามาในยุโรป สถานะของกษัตริย์จากเทพเจ้าก็กลับสู่สามัญเป็นคนธรรมดาในสายตาของราษฎรและ ขุนนาง เพียงแต่สถานะของกษัตริย์ถูกทำให้สูงขึ้นด้วยศาสนา คือเป็นกลุ่มคนที่ “เคร่งศาสนา” มากกว่าราษฎรทั่วๆไป และด้วยเหตุฉะนี้นักคิดของยุโรปเริ่มมองเห็น “ความเท่าเทียม” ในทุกระบบ ทุกคนล้วนมีสิทธิเท่าเทียมกัน ทุกคนมีสิทธิในการประกอบอาชีพ ทุกคนมีสิทธิในการใช้ทรัพยากรในประเทศ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ “ขัดแย้ง” กับ “คตินิยม” ของคนตะวันออกเรียกได้ว่า “โดยสิ้นเชิง”
และเมื่อชนชาติยุโรปสามารถพัฒนาตนเองได้อย่างรวดเร็วและเรียกขานตนเองว่า “อารยะชน” เป็นชนชาติที่เจริญแล้วได้เริ่มออกขยายดินแดนอารักขา(ล่าอาณานิคม)หาพื้นที่ เพิ่มพูนทรัพยากรเพื่อป้อนโรงงานในช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรม ชาติตะวันออกที่คนตะวันตกมองเห็นเป็น “คนป่า” (ตามบันทึกของคนตะวันตก) ไร้อารยะ และมีการกีดกัน กดขี่เสรีภาพอย่างมาก ในมุมมองของคนเหล่านั้นจึงกลายเป็น “เค้ก” ชิ้น ใหญ่ให้คนเหล่านั้นมาตัดแบ่งแสดงความเป็นเจ้าเขาเจ้าของ โดยอาศัยหลุมพรางทางการเมืองที่คนตะวันออกไม่เท่าทัน เพราะทั้งขาดผู้เชี่ยวชาญทางภาษาและนักการทูตที่เก่งกาจ
ตรงนี้ก็เป็นอีกจุดที่ทำให้ “นักวิชาการไทย” มองว่าเพราะความเชื่อบุร่ำบุราณของชาติเรานั้นเองได้ปิดกั้น “ความสามารถ” ของ ราษฎร และจำกัดความสามารถเหล่านั้นให้กับเชื้อสายอันศักดิ์สิทธิ์แห่งราชวงศ์ การส่งเสริมการเรียนล้วนมีแต่เจ้านายชั้นสูงเท่านั้นที่มีโอกาส การปิดกั้นการศึกษาให้กับราษฎรเพียงเพื่อ “อุบาย” ทางการ เมืองเพื่อไม่ให้ราษฎรฉลาดเท่าทันผู้ปกครอง ซึ่งอาจจะก่อปัญหาให้ชนชั้นผู้ปกครองได้ ซึ่งความคิดชุดนี้ของนักประวัติศาสตร์ที่มักจะกล่าวในยุคปัจจุบันก็เห็นได้ ว่า “มีอิทธิพล” ค่อนข้างมากในสังคม
ดังนั้นหากไม่ทำความเข้าใจประวัติศาสตร์ให้ดี ชุดความคิด “เจ้า-ขุนนาง-ไพร่” ก็จะออกมาวนเวียนซ้ำไปมาในสังคม ทั้งๆที่สิ่งเหล้านี้เป็นประวัติศาสตร์ที่แก้ไขไม่ได้แล้ว ความพยายามปลุกประวัติศาสตร์ทางชนชั้นมาพูดกันเพื่อ “หวังผล” บางอย่างในยุคสมัยประชาธิปไตยมันดูจะเป็นการ “จงใจ” ทำลายรากฐานของบ้านเมืองตนเองเสียมากกว่า
ประวัติศาสตร์มันก็เหมือน “ดาบโบราณ” นักประวัติศาสตร์บางคนอาจจะเห็นดาบโบราณนั่นเป็นเพียง “โบราณวัตถุ” ที่ต้องรักษาเก็บไว้ในตู้โชว์ นักประวัติศาสตร์บางคนอาจจะเห็นดาบโบราณนั่นแล้วตั้คำถามว่า “เคยเป็นดาบของใคร” แต่อย่างไรก็ไม่น่ากลัวเท่ากับนักประวัติศาสตร์ที่มองเห็นดาบโบราณนั่นเป็น ดัง “อาวุธ” ที่จะใช้ทิ่งแทงศัตรูที่ไม่มีดาบ ใช้ประวัติศาสตร์เพื่อทำลายอนาคตแบบนักวิชาการหลายๆคนผมว่าแบบนี้มันไม่ เหมาะสมครับ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น