บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

มรดกจากพระราชา...รักษาผืนแผ่นดินไทย

 by ก้อยกัลยา ,

เงินกำไรที่สมเด็จ พระนั่งเกล้าฯได้มาเป็นเงินส่วนพระองค์นี้ มิได้ทรงใช้จ่ายเพื่อความบันเทิงใดๆ หรือยกให้พระราชโอรสธิดาตามพระทัยชอบทั้งที่มีสิทธิ์ทำได้ แต่ทรงนำมาใส่ถุงแดง แยกเป็นถุง ถุงละ ๑๐ ชั่ง ตีตราปิดปากถุง เก็บไว้ในหีบกำปั่นข้างห้องพระบรรทม

 ส่วนหนึ่งทรงเก็บไว้เพื่อสร้าง และทะนุบำรุงวัดวาอารามต่างๆ ทั้งในพระนครและภายนอก อีกส่วนหนึ่งก็ทรงยกให้แผ่นดิน 

มีพระราชดำรัสว่า "เอาไว้ไถ่บ้านไถ่เมือง" หมายถึงว่าถ้าต้องเพลี่ยงพล้ำกับข้าศึกศัตรูแล้ว จะได้นำเงินนี้ออกมาใช้กอบกู้บ้านเมือง

           พระราชดำรัสนี้น่าประหลาดตรงที่เมื่อเวลาผ่านไปอีกหลายสิบปี จนถึง ร.ศ. ๑๑๒ ก็เกิดเป็นความจริงขึ้นมา เมื่อไทยถูกฝรั่งเศสปรับโทษเป็นเงิน ๓ ล้านบาท จนท้องพระคลังมีไม่พอ ก็ได้ ‘ เงินถุงแดง ‘ ส่วนนี้ไปสมทบ ไถ่บ้านเมืองเอาไว้ได้จริงๆ


สมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงเก็บสะสมไว้ใน “ถุงแดง” สำหรับสำรองไว้ใช้ในเวลาบ้านเมืองเกิดยุคเข็ญ มีจำนวนมากถึงสามหมื่นชั่ง (๒,๔๐๐,๐๐๐ บาท) เป็นเหรียญทองรูปนกของเม็กซิกัน เพราะในครั้งนั้นใช้เป็นเงินตราต่างประเทศที่ซื้อขายสินค้าในเมืองไทยได้ มีอัตราแลกเปลี่ยนในเวลานั้นอยู่ที่ ๓ เหรียญนกมีค่าต่อเงินไทยประมาณ ๕ บาท และ ๔๘ เหรียญนกต่อเงินไทย ๑ ชั่ง
สมเด็จพระ นั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยบ้านเมืองยิ่งกว่าเรื่องส่วนพระองค์จวบจนวาระ สุดท้ายของพระชนม์ชีพ เมื่อประชวรหนักใกล้เสด็จสวรรคต ก็มิได้ทรงพะวงกับเรื่องอื่นนอกจากความสงบสุขของแผ่นดิน ถึงกับพระราชทานพระบรมราโชวาทแก่ขุนนางข้าราชบริพารที่เข้าเฝ้า ไว้เป็นครั้งสุดท้ายว่า

 "การ ศึกสงครามข้างญวนข้างพม่าก็เห็นจะไม่มีแล้ว จะมีอยู่ก็แต่ข้างพวกฝรั่ง ให้ระวังให้ดี อย่าให้เสียทีแก่เขาได้ การงานสิ่งใดของเขาที่คิด ควรจะเรียนเอาไว้ก็ให้เอาอย่างเขา แต่อย่าให้นับถือเลื่อมใสไปทีเดียว"




“เงินถุงแดง”ได้ นำออก “ไถ่บ้านไถ่เมือง” ช่วยรักษา “เอกราช” ของชาติไว้ได้ ช่วยกอบกู้บ้านเมืองไทยให้รอดพ้นจากการคุกคามและยึดครองของฝรั่งเศสในสมัย รัชกาลที่ ๕

ณ.กาลโน้น พระราชา พระราชทานเงิน ”ถุงแดง” ให้....เพื่อไถ่ประเทศไทยคืนมา เจ้านาย เจ้าฟ้า เจ้าแผ่นดิน เหล่าปวงประชา ข้าราชบริพาร ช่วยสมทบ สยบพวกฝรั่งอยากได้

ณ.บัดนี้...แดงไพร่ พวกลูกหลานจัญไร เกิดจากแผ่นดินไหน จึงได้มาสูบกิน สิ้นยางอาย .......

บรรพบุรุษร้องไห้  พวกไพร่...จะยกแผ่นดินให้ขแมร์ แลไม่เห็นคุณค่าความเป็นไทย

ร.5 ยกเลิกทาสให้ พวกไพร่สันดานดิบ หยิบเอาแต่ผลประโยชน์ บาปบุญคุณโทษมันไม่สน อับจนปัญญา ไปคว้าคอมมิวนิสต์มาปกครอง พวกมันผยองได้ใจ สำนึกหามีไม่

V
V

พวกเวรตะไล....ไปตายซะ!!!!!!!

คำ​เด็ดหลัง​เลือกตั้ง (​เลียบวิภาวดี)


 

ข่าว​การ​เมือง หนังสือพิมพ์​แนวหน้า -- ศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม 2554 02:54:44 น.
คำ​เด็ดหลัง​เลือกตั้งมีมากมาย ผมรวบรวม​ไว้มากระชับย่อ​เป็น 3 ตอน 3 วัน ดังนี้
 
ปล่อยผี ​เป็นคำสบประมาทของสื่อ​ทั้งหลายที่มีต่อ กกต. ​โดยต่างคาดหมายล่วงหน้าว่า กรรม​การฟีฟ่าจะ “ปล่อยผี” ​ทั้ง 500 ​เข้าสภากันยก​โขยง ​แต่​เอา​เข้าจริง ล็อต​แรกมี​ผู้ฝ่าด่านอรหันต์​ไป​ได้​เพียง 358 ราย ​เป็น ส.ส.​แบบบัญชีรายชื่อ 109 ราย ​เป็น ส.ส.​แบบ​เขต 249 ราย ที่ยัง​เป็น “ลูกผีลูกคน” ถูก​แขวนอยู่อีก 142 ราย ​เป็น​แบบบัญชีรายชื่อ 16 ราย ​และ​เป็น​แบบ​เขต 126 ราย ​โดยมีปู​แดง​แรงฤทธิ์​และ​เดอะมาร์คถูก​แขวนอยู่ด้วย

ปลุกผี ​ในขณะที่ กกต.ถูกสื่อตี​แสกหน้าปรามาสว่าจะ “ปล่อยผี” ​แต่ที่สุด​ไม่​ใช่ ​เพราะอีกร้อยกว่ารายยังถูก​แขวน​เพราะ “ถูกร้อง​เรียน” ​เช่น ปู​แดง​แรงฤทธิ์​ก็ถูกร้อง​เรียน​เรื่อง “ปลุกผี” ​โดย​ไปปลุกปีศาจบ้าน​เลขที่ 111 ​ให้มาช่วยหา​เสียง ​และนำสินค้าต้องห้ามจากดู​ไบมา​แจกจ่ายด้วย
​เมาน้ำลาย ​เกิดขึ้นกับ​แกนนำของพรรค​การ​เมืองต่าง ๆ ที่กำลังสุขสันต์กับ​การ “ฟอร์มรัฐบาล” ​โดย​เฉพาะขุนดาบทะลวงฟัน​ในพรรค​เสื้อ​แดง “จ้อดัง​เป็นพิ​เศษ” ​และ “​เมาน้ำลาย” ​ได้อย่างสนุกสนาน ​ในขณะที่ฝ่ายค้าน​ในอนาคตกลาย​เป็น “นกปาก​เจ็บ”

​เป่านกหวีด สำนวน​โบราณที่ประดิษฐ์คำขึ้นมา​โดย จิ๋ว หวาน​เจี๊ยบ ต่อมา​แม้วหน้า​เหลี่ยมนำ​ไป​ใช้อย่างฟุ่ม​เฟือย จากนั้น สำนวน “​เป่านกหวีด” ​ได้ตกทอด​ไปสู่​ผู้คนทุกหมู่​เหล่า มีคน​เสื้อ​แดง​ใช้อย่างสุรุ่ยสุร่ายที่สุด ล่าสุด​เสี่ยขวัญชัย ​ไพรพนา ​เจ้าพ่อ​เสื้อ​แดงอุดรธานี​ได้ออกมาประกาศก้องกับ กกต. หากรับรองรายชื่อส.ส.อย่างตุกติก ตน​เป่านกหวีด​เมื่อ​ใด “พรึ่บ​เดียว​เสื้อ​แดงมา​เป็นหมื่น”
ชาร์จ​แบต ​เป็นสำนวนสวิงสวายของ​เสี่ย​แม้ว ณ ดู​ไบ ​ซึ่งหมาย​ถึง “หยุดภาระกิจชั่วคราว ​เพื่อ​ไปพักผ่อน​เติมพลัง ​เอา​ไว้สู้งานหนัก​ในภายหน้า ”

วันนี้สาวกหน้า​ใหม่ “ธิดา​แดง” ​ก็​ได้หยิบยืมสำนวนนี้มา​ใช้ ​โดย​ไล่คน​เสื้อ​แดง​ให้​ไป “ชาร์จ​แบต” ​ให้​เต็ม ​เพื่อนำมาสู้กับ กกต. หากผลรับรอง​การ​เลือกตั้งวันที่ 19 ​ไม่ถูก​ใจ
ขู่ ​เป็นนิสัยถาวรของคนบางพวกที่สังกัดพรรค​การ​เมืองพรรคหนึ่ง ที่ขยันขู่กับคน​ไทยทุกอาชีพ​ให้ปฎิบัติตาม​ในสิ่งที่ตน​เองต้อง​การ ​และ​โอนอ่อน​ในสิ่งที่ตนปรารถนา ถ้าขืนดื้อตา​ใส​ไม่กลัวคำขู่ “ถูกจัด​การ​แน่”

กร่าง ​เป็นอา​การ​เหลิงของ​ผู้​ได้ชัยชนะ​ใน​การ​เลือกตั้ง จนคิดว่าตน​เอง​และพรรคพวกจะ​ทำอะ​ไร​ก็​ได้ “ประ​เทศ​ไทย​ในวันนี้อยู่​ในกำมือของพวก​เรา​แล้ว”
สอยทีหลัง ​เป็น​การรับรองส.ส.​ไปก่อน ถ้ามีข้อมูลว่าผิดจริง ค่อย​แจก​ใบ​เหลือง​ใบ​แดงภายหลัง วิธีนี้มีนักวิชา​การระบุว่า ​เหมือนปล่อยผีออกจากสุสาน ​แล้ว​ไล่จับผี​ไปถ่วงน้ำ​ในภายหลัง “​ไม่​ใช่​เรื่องง่าย”
กมลศักดิ์ ตั้งธรรมนิยม

ตีข่าวทั่วโลกทางการไทยท้วงเยอรมันยึดโบอิ้งล้างหนี้:กษิตร้องเครื่องบินส่วนพระองค์ไม่ใช่ของรัฐ


ทาง การเยอรมนีปิดหมายยึดเครื่องบินโบอิ้ง737ลำหนึ่งซึ่งอ้างว่าเป็นของบุคคล ชั้นนำระดับสูงของไทยที่สนามบินมิวนิค ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศของไทยท้วงว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมอย่าง ยิ่ง(ภาพข่าว:AP)


14 กรกฎาคม 2554

วันนี้เวบไซต์ASTVผู้จัดการ รายงานข่าวเรื่อง “กษิต” แถลงทำหนังสือให้เยอรมนี ถอนอายัดเครื่องบินส่วนพระองค์เร็วที่สุด โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

กระทรวงการต่างประเทศ แถลงทำหนังสือถึง รมต.ต่างประเทศเยอรมนี ให้ถอนอายัดเครื่องบินส่วนพระองค์โดยเร็วที่สุด ระบุ การดำเนินการของเยอรมนีเป็นความผิดพลาดใหญ่หลวง เพราะไม่ใช่ทรัพย์สินของรัฐบาล ขณะเดียวกัน ไม่อยากให้กระทบความสัมพันธ์ไทย-เยอรมนี ลั่น ไม่ให้ นายเวอร์เนอร์ ชไนเดอร์ จนท.ฝ่ายล้มละลายของบริษัท วอเตอร์บาวน์ เข้าประเทศไทยอีก

นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แถลงถึงกรณีที่บริษัท วอเตอร์บาวน์ ของเยอรมนี อายัดเครื่องบินโบอิง 737 ที่ท่าอากาศยานมิวนิก โดย นายกษิต ระบุว่า เยอรมนีดำเนินการอายัดเครื่องบิน ซึ่งไม่ใช่ทรัพย์สินของรัฐบาลไทย ถือเป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง หลังจากที่ทราบข่าวว่า เยอรมนีได้อายัดเครื่องบินส่วนพระองค์ ในวันที่ 12 ก.ค.54 ทาง นายจริยวัฒน์ สันติบุตร เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี ได้ประสานไปยังกระทรวงการต่างประเทศเยอรมนีทันที และตนได้มีหนังสือถึงรัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมนี ซึ่งขณะนี้มีภารกิจอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ก็ร้อนใจ และมีคำสั่งให้ปลัดกระทรวงการต่างประเทศเยอรมนี โทรศัพท์ถึงตน โดยตนได้แจ้งว่า ในวันพรุ่งนี้ (15 ก.ค.) ตนและคณะ จะเดินทางไปยังกระทรวงการต่างประเทศเยอรมนี เพื่อเจรจามีเป้าหมายสูงสุดให้ถอนอายัดเครื่องบินส่วนพระองค์โดยเร็วที่สุด

นายกษิต กล่าวว่า ทางการไทยได้ยื่นเอกสารแสดงทะเบียนความเป็นเจ้าของเครื่องบินดังกล่าวไปยัง เยอรมนีแล้ว และมีสำนักงานอัยการสูงสุดได้ร่วมดำเนินการทางกฎหมายให้กับฝ่ายไทย โดยขอยืนยันว่า เรื่องทั้งหมดไม่เกี่ยวกับพระองค์ แต่การดำเนินการของเยอรมนีเช่นนี้ เป็นความเป็นพลาดอย่างใหญ่หลวง และไม่อยากให้เป็นน้ำผึ้งหยดเดียวที่มีต่อความสัมพันธ์ไทย-เยอรมนี นอกจากนี้ ได้มีการรายงานต่อสำนักราชเลขาธิการ อย่างไรก็ตาม นายกษิต ประกาศ ไม่ให้ นายเวอร์เนอร์ ชไนเดอร์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายล้มละลายของบริษัท วอเตอร์บาวน์ เข้าประเทศไทยอีก

โดยก่อนหน้านี้ วันที่ 13 ก.ค. สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานอ้างคำพูดนายธานี ทองภักดี โฆษกกระทรวงต่างประเทศ ว่า การอายัดเครื่องบินลำดังกล่าว เป็นการเข้าใจผิดของทางการเยอรมนี ซึ่งคิดว่าเครื่องบินลำนี้เป็นทรัพย์สินของรัฐบาลไทย เพื่อใช้หนี้คดีฟ้องร้องโครงการสัมปทานดอนเมืองโทลล์เวย์

ทั้งนี้ นายเวอร์เนอร์ ชไนเดอร์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายคดีล้มละลายของบริษัทวอเตอร์บาวน์ บริษัทก่อสร้างสัญชาติเยอรมนี ได้อายัดเครื่องบินลำดังกล่าว เพื่อกดดันให้รัฐบาลไทยชำระหนี้สินจำนวน 42.3 ล้านดอลลาร์ โดยโฆษกของนายเวอร์เนอร์ กล่าวว่า การยึดเครื่องบินโบอิงลำดังกล่าว เป็นก้าวย่างสำคัญที่จะนำไปสู่การเจรจากันอีกครั้ง ขณะที่แถลงการณ์ของบริษัทระบุว่า ฝ่ายบริหารคดีล้มละลายตัดสินใจดำเนินการครั้งนี้ หลังจากรัฐบาลไทยเพิกเฉยต่อข้อเรียกร้องให้จ่ายเงินจำนวนดังกล่าว

ที่ผ่านมา คณะกรรมการกฎหมายการค้าระหว่างประเทศของสหประชาชาติ ได้สั่งให้รัฐบาลไทยจ่ายเงินให้บริษัทวอเตอร์บาวน์กว่า 30 ล้าน ยูโร ฐานละเมิดกฎบัตรการลงทุนระหว่างเยอรมนีและไทย โดยคำสั่งดังกล่าวระบุว่า รัฐบาลไทยไม่ดำเนินการตามเงื่อนไขในการก่อสร้างโครงการทางยกระดับวิภาวดีรัง สิตหรือดอนเมืองโทลล์เวย์ ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างวอเตอร์บาวน์และบริษัทไทย


ก่อนหน้านี้เวบไซต์สำนักข่าวBBC นำเสนอข่าวเรื่อง เยอรมนีอายัดทรัพย์เครื่องบินเจ็ตของไทยของ(เซ็นเซอร์โดยไทยอีนิวส์)

ผู้บริหารหนี้ของเยอรมันนีได้อายัดทรัพย์เครื่องบินเจ็ทที่อ้างว่าเป็น เครื่องบินของบุคคลระดับสูงของไทย ในข้อพิพาทหนี้ที่ค้างชำระในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา

ผู้บริหารหนี้เยอรมนีกล่าวว่ารัฐบาลของประเทศไทยได้ปฏิเสธที่จะจ่ายเงินค่ามากกว่า 30 ล้านยูโร ( หรือ 43 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นเงินไทยราว1,300ล้านบาท) ให้แก่บริษัทก่อสร้างที่เลิกกิจการไปแล้วของเยอรมัน

โบอิ้ง 737 ถูกยึดตามคำสั่งศาล และเป็นไปโดยชอบด้วยเหตุผล โฆษกของสนามบินมิวนิคกล่าว

กระทรวงการต่างประเทศของไทยกล่าวว่าการยึดดังกล่าวถือว่า"ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง"

"ทางการไทยได้แจ้งให้รัฐบาลเยอรมันรับทราบถึงความกังวลอย่างมากต่อเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้น และมีการร้องขอให้แก้ไขปัญหาโดยเร็วที่สุด"นายธานี ทองภักดี โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของไทยกล่าวกับสำนักข่าวรอยเตอร์

แต่นายวอลเตอร์ ชไนเดอร์ ผู้บริหารของบริษัทก่อสร้างของเยอรมันซึ่งขณะนี้ล้มละลายกล่าวว่า"มาตรการที่รุนแรง"คือ"ขั้นตอนสุดท้ายแล้ว"

"รัฐบาลไทยมักจะล่าช้าและไม่ได้ตอบสนองความต้องการของเรา"เขากล่าวว่า

บริษัทเยอรมันรายนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มที่ช่วยในการสร้างถนนยกระดับเก็บเงินระหว่างกรุงเทพฯและสนามบินดอนเมือง

ทางการไทยเรียกร้องให้การตัดสินของศาลจะยังคงอยู่ระหว่างการพิจารณาเกี่ยว กับหนี้ที่มี แต่ทางการเยอรมันกล่าวว่าเรื่องดังกล่าวได้มีการตัดสินใจเป็นที่ยุติแล้ว

ด้านสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า บริษัทเยอรมันที่ล้มละลายนี้ชื่อ Dywidag ต่อมาถูกควบรวมกิจการโดยบริษัท Walter Bau AG

ทั้งนี้สำนักข่าวรอยเตอร์ได้ติดต่อสัมภาษณ์หน่วยงานทางราชการของไทยแห่ง หนึ่งที่เกี่ยวข้อง แต่ได้รับการปฏิเสธจะให้ข่าวใดๆ และว่า กรณีดังกล่าวนี้เป็นเรื่องส่วนบุคคลไม่เกี่ยวกับหน่วยงาน

รัฐบาลจี้บัวแก้วเจรจาเยอรมนี ปมอายัดเครื่องบิน

เวบไซต์หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจรายงาน ว่า นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลได้รับรายงานจากกระทรวงการต่างประเทศ กรณีเครื่องบินสัญชาติไทยถูกรัฐบาลเยอรมนีอายัดที่ท่าอากาศยานมิวนิกแล้ว ขณะนี้กระทรวงการต่างประเทศอยู่ระหว่างการประสานงาน เพื่อเจรจาแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ขณะนี้รัฐบาลมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้แถลงความชัดเจนต่อไป

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานอ้างคำพูดนายธานี ทองภักดี โฆษกกระทรวงต่างประเทศ เมื่อวานนี้ (13 ก.ค.) ว่า กระทรวงต่างประเทศอยู่ระหว่างการประสานกับทางการเยอรมนี เพื่อขอให้ปล่อยเครื่องบินสัญชาติไทย ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่เยอรมนีอายัดขณะที่จอดในสนามบินมิวนิก เพื่อใช้หนี้คดีฟ้องร้องโครงการสัมปทานดอนเมืองโทลล์เวย์

นายธานี กล่าวว่า การอายัดเครื่องบินลำดังกล่าว เป็นการเข้าใจผิดของทางการเยอรมนี ซึ่งคิดว่าเครื่องบินลำนี้เป็นทรัพย์สินของรัฐบาลไทย กระทรวงการต่างประเทศจึงพยายามสร้างความเข้าใจกับรัฐบาลเยอรมนี โดยพยายามติดต่อประสานงานตั้งแต่วันที่ 12 ก.ค.ที่ผ่านมา ส่วนคดีที่อยู่ระหว่างการฟ้องร้องนั้น อยู่ในขั้นตอนการตัดสินใจยื่นอุทธรณ์

ทั้งนี้ นายเวอร์เนอร์ ชไนเดอร์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายคดีล้มละลายของบริษัทวอเตอร์บาวน์ บริษัทก่อสร้างสัญชาติเยอรมนี ได้อายัดเครื่องลำดังกล่าว ซึ่งเป็นเครื่องบินโบอิง 737 เพื่อกดดันให้รัฐบาลไทยชำระหนี้สินจำนวน 42.3 ล้านดอลลาร์ โดยโฆษกของนายเวอร์เนอร์ กล่าวว่า การยึดเครื่องบินโบอิงลำดังกล่าว เป็นก้าวย่างสำคัญที่จะนำไปสู่การเจรจากันอีกครั้ง ขณะที่แถลงการณ์ของบริษัทระบุว่า ฝ่ายบริหารคดีล้มละลายตัดสินใจดำเนินการครั้งนี้ หลังจากรัฐบาลไทยเพิกเฉยต่อข้อเรียกร้องให้จ่ายเงินจำนวนดังกล่าว

ที่ผ่านมา คณะกรรมการกฎหมายการค้าระหว่างประเทศของสหประชาชาติ ได้สั่งให้รัฐบาลไทยจ่ายเงินให้บริษัทวอเตอร์บาวน์กว่า 30 ล้าน ยูโร ฐานละเมิดกฎบัตรการลงทุนระหว่างเยอรมนีและไทย โดยคำสั่งดังกล่าวระบุว่า รัฐบาลไทยไม่ดำเนินการตามเงื่อนไขในการก่อสร้างโครงการทางยกระดับวิภาวดีรัง สิตหรือดอนเมืองโทลล์เวย์ ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างวอเตอร์บาวน์และบริษัทไทย

กรมทางหลวงยันคดียังไม่สิ้นสุด

ด้าน นายวีระ เรืองสุขศรีวงศ์ อธิบดีกรมทางหลวง เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาวอเตอร์บาวน์ ซึ่งเป็นอดีตผู้ถือหุ้นในบริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) ผู้รับสัมปทานโครงการดอนเมืองโทลล์เวย์ ได้ยื่นฟ้องรัฐบาลไทยที่ศาลในนครนิวยอร์ก โดยในเบื้องต้นศาลตัดสินให้รัฐบาลไทยเป็นฝ่ายแพ้ และให้จ่ายค่าชดเชยแก่บริษัทในวงเงินประมาณ 29 ล้านยูโร แต่รัฐบาลไทยโดยสำนักงานอัยการสูงสุดได้ยื่นอุทธรณ์ ซึ่งปัจจุบันขั้นตอนการอุทธรณ์ยังไม่สิ้นสุด จึงไม่น่าจะมีสิทธิอายัดทรัพย์สินใดๆ ของรัฐบาลไทย

นายสมบัติ พานิชชีวะ ประธานกรรมการ บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า วอเตอร์บาวน์ฟ้องรัฐบาลไทย ในฐานะนักลงทุนชาวเยอรมนีที่เข้ามาประกอบธุรกิจในไทย โดยก่อนหน้านี้วอเตอร์บาวน์เคยถือหุ้นในบริษัทประมาณ 9% แต่ภายหลังตนได้ซื้อหุ้นจำนวนดังกล่าวแล้ว และปัจจุบันวอเตอร์บาวน์ไม่มีสัดส่วนหุ้นใดๆ ในบริษัท อีกทั้งการฟ้องร้องระหว่างวอเตอร์บาวน์กับรัฐบาลไทยไม่เกี่ยวข้องกับบริษัท เช่นกัน โดยวอเตอร์บาวน์ เห็นว่ารัฐบาลไทยทำผิดสัญญาในหลายประเด็น ส่งผลให้บริษัทได้รับความเสียหายจากการลงทุน จึงยื่นฟ้องรัฐบาลไทย

อ้างกฎหมายคุ้มครองลงทุนต่างแดนฯ

แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า วอเตอร์บาวน์เป็นอดีตผู้ถือหุ้นในบริษัท ทางยกระดับดอนเมือง ซึ่งได้รับสัมปทานจากกรมทางหลวงให้ดำเนินโครงการดอนเมืองโทลล์เวย์ เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรบนถนนวิภาวดีรังสิต ซึ่งมีปัญหาการจราจรแออัด และยังเป็นเส้นทางสู่ท่าอากาศยานหลักของไทยในขณะนั้น แต่ต่อมารัฐบาลได้อนุมัติให้ก่อสร้างโครงการอื่นๆเพิ่มเติม เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจร เช่น โครงการถนนเลียบทางรถไฟ หรือ โลคอลโรด โครงการทางด่วนสายบางปะอิน-ปากเกร็ด โครงการทางหลวงวงแหวนด้านตะวันออก โดยการก่อสร้างโครงการเหล่านี้ ส่งผลให้รายได้ค่าผ่านทางของบริษัทไม่เป็นไปตามเป้าหมาย อีกทั้งรัฐบาลยังไม่อนุมัติให้บริษัทปรับขึ้นค่าผ่านทางตามสัญญาสัมปทาน รวมทั้งให้ลดค่าผ่านทางเหลือ 20 บาทตลอดสาย

ที่ผ่านมา บริษัทได้เจรจากับกรมทางหลวง เพื่อหาแนวทางชดเชยรายได้ที่ลดลงจากการที่รัฐบาลไม่ดำเนินการตามสัญญา ในที่สุดกรมทางหลวงได้ขยายอายุสัมปทานให้บริษัท 2 ครั้ง ล่าสุดสัญญาสัมปทานจะสิ้นสุดในปี 2577 หรือเพิ่มขึ้นอีก 20 ปี จากครั้งแรกที่สัญญาจะสิ้นสุดในปี 2557 บริษัทตกลงว่าจะยุติการฟ้องร้องที่เกิดขึ้น ที่ผ่านมานายสมบัติ ได้ซื้อหุ้นจำนวนดังกล่าวจากวอเตอร์บาวน์เรียบร้อยแล้ว

อย่างไรก็ตาม วอเตอร์บาวน์เห็นว่า การไม่ปฏิบัติตามสัญญาสัมปทานของรัฐบาลไทย ไม่ว่าจะเป็นการก่อสร้างโครงการต่างๆ รวมทั้งการไม่อนุมัติให้ปรับขึ้นค่าผ่านทาง ส่งผลให้บริษัทได้รับความเสียหาย จึงยื่นฟ้องรัฐบาลไทยในช่วงปี 2549 โดยเป็นการฟ้องในฐานะนักลงทุนเยอรมนี ซึ่งใช้สิทธิตามสนธิสัญญาว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนต่างตอบแทน ระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี พ.ศ. 2545

"แม้ว่า วอเตอร์บาวน์ จะพ้นจากการถือหุ้นในบริษัททางยกระดับฯ ไปแล้ว แต่การฟ้องร้องที่เกิดขึ้น เป็นการฟ้องในฐานะที่ได้รับความเสียหายในช่วงที่ลงทุน ซึ่งกระทรวงคมนาคม เห็นว่าบริษัทไม่ได้เป็นคู่สัญญาสัมปทานของรัฐโดยตรง เป็นเพียงผู้ถือหุ้นในบริษัทที่มารับสัมปทานจากรัฐเท่านั้น จึงไม่น่ามีสิทธิฟ้องรัฐบาลไทย และปัจจุบันการฟ้องร้องยังไม่สิ้นสุด เพราะอยู่ในขั้นตอนการอุทธรณ์" แหล่งข่าวกล่าว

ที่มาของปัญหาในทางลึกกรณีนี้

ทางด้านประชาไท รายงานข่าวเรื่อง อายัด ‘โบอิ้ง 737’ ที่มิวนิค อ้างทวงหนี้ดอนเมืองโทลล์เวย์ ว่า ในวันที่ 13 กรกฎาคม สื่อและสำนักข่าวต่างประเทศหลายสำนัก อาทิ บีบีซี รอยเตอร์ นิวยอร์กไทมส์ รายงานข่าวเกี่ยวกับเครื่องบินโบอิ้ง 737 ของกองทัพอากาศไทยถูกอายัดที่สนามบินมิวนิค โดยเจ้าหน้าที่เร่งรัดหนี้สินของบริษัทสัญชาติเยอรมัน วอลเตอร์ บาว (Walter Bau AG)

ทั้งนี้รายงานของ ‘แอนดรูว์ แมกเกรเกอร์ มาร์แชล’ ให้รายละเอียดว่าเครื่องบินลำดังกล่าวถูกอายัดเนื่องมาจากข้อเรียกร้องทาง การเงินที่มีต่อรัฐไทย โดยเจ้าหน้าที่เร่งรัดหนี้ของบริษัทในเยอรมันเมื่อวันอังคาร (12 ก.ค.) ที่ผ่านมา ซึ่งคาดว่ามาจากความพยายามเร่งรัดการทวงหนี้ในส่วนของบริษัทวอลเตอร์ บาว ซึ่งถือหุ้นจำนวน 10 เปอร์เซ็นต์ ในบริษัททางยกระดับดอนเมือง ซึ่งสร้างและดำเนินการทางด่วนยกระดับจากตัวเมืองกรุงเทพฯ เชื่อมต่อสนามบินดอนเมือง และต่อมาบริษัทวอลเตอร์ บาวล้มละลายในปี 2548 เจ้าหน้าที่จึงพยายามเร่งรัดหนี้ดังกล่าวให้กับเจ้าหนี้ โดยการเรียกร้องสินไหมต่อประเทศไทย สืบเนื่องจากการเปลี่ยนเงื่อนไขของข้อสัญญาในการสร้างทางด่วนและการปฏิเสธ การขึ้นค่าทางด่วนในปี 2547 ในสมัยอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งถูกอ้างว่าเป็นสาเหตุให้ทำให้โครงการดังกล่าวขาดทุน

ในปี 2552 คณะอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศมีคำสั่งให้ประเทศไทยจ่ายเงินจำนวน 29.2 ล้านยูโรเป็นค่าชดเชย พร้อมค่าปรับ 1.98 ล้านยูโรเป็นค่าละเมิดสัญญา (การตัดสินใจและความเป็นมาที่เป็นปัญหาของโครงการทางยกระดับสนามบินดอนเมือง  ซึ่งรัฐบาลไทย โดยนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ยอมรับผลการตัดสินดังกล่าว และตัดสินใจสู้คดี โดยตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อพิจารณาปัญหาดังกล่าว ซึ่งรายงานของ ‘แอนดรูว์ แมกเกรเกอร์ มาร์แชล’ ระบุว่า “เพื่อฝังกลบประเด็นดังกล่าวด้วยระบบราชการที่ยืดยาดและไม่มีวันจบสิ้น”

รายงานของอดีตผู้สื่อข่าวรอยเตอร์ผู้นี้ระบุว่า เหตุพิพาทดังกล่าวและคำสั่งให้รัฐบาลไทยจ่ายเงินค่าชดเชยโดยคณะอนุญาโต ตุลาการ เป็นเหตุให้ผู้ตรวจการทางการเงินของเอาส์เบอร์ก (Ausburg) แวร์เนอร์ ชไนเดอร์ (Werner Schneider) ซึ่งดูแลเรื่องการล้มละลายของวอลเตอร์ บาว ตัดสินใจทำการอายัดเครื่องบินลำดังกล่าวเพื่อเป็นมาตรการบังคับให้ประเทศไทย จ่ายหนี้ที่ค้างชำระ

ทักษิณ VS เสื้่อแดง เร็วๆนี้


หลังจากกกต. ยังไม่ทำการรับรองแกนนำเสื้อแดง (นปช.) ที่มีปัญหาเรื่องคุณสมบัติการเป็นสมาชิก
ในวันที่ลงสมัครรับเลือกตั้ง ทำให้แกนนำ 16 คน มีโอกาสที่จะไม่ได้เป็น ส.ส. สูงมาก

เรื่องหนึ่งที่ผมเชื่อมั่น และมั่้นใจมากขึ้นเรื่อยๆ คือ โอกาสที่วันหนึ่ง
เราจะได้เห็นกลุ่มคนเสื้อแดง รุกขึ้นมาสู้กับรัฐบาลของคุณทักษิณ aka. รัฐบาลของคุณยิ่งลักษณ์
มีโอกาสเป็นไปได้สูงมาก และน่าสนใจว่า่ สิ่งที่คุณทักษิณทำมานั้น ถูกต้องกับตัวเขาแล้วจริงหรือ



ก่อนจะคุยเรื่องนี้ ต้องเล่าถึงประวัติของ นปช. กันก่อน

ประวัติของ นปช. อ้างอิงจาก พี่แคนไทย @can_nw ย่อๆมีดังนี้

กำเนิดคนเสื้อแดงมาจาก "กลุ่มคนรักทักษิณ" ที่เริ่มก่อรูปโดย "ชินวัฒน์ หาบุญพาด" และเพื่อนชาวแท็กซี่หมอชิตต้นปี 49 เวลานั้น "ชินวัฒน์" ทำวิทยุชุมชนคนแท็กซี่ ตอบโต้กลุ่ม พธม.ที่จัดชุมนุมขับไล่อดีตนายกฯทักษิณ ต่อมา "ชินวัฒน์" ได้พี่เลี้ยงชื่อ ชูพงศ์ ถี่ถ้วน เข้ามาช่วยการนำเสนอแนวคิด "ลัทธิประชาธิปไตย" ผ่านเวทีชุมนุมที่สวนจตุจักร ขณะที่ชินวัฒน์ปักหลักชุมนุมต้าน พธม. ส่วน "หมอเหวง" ยังขึ้นเวทีคนเสื้อเหลือง วิพากษ์นโยบายแปรรูป รสก.ของรัฐบาลทักษิณ 


ต้น เม.ย.49 "คาราวานคนจน" จากเหนือ-อีสาน ก็เดินทางมาสมทบกับกลุ่มชินวัฒน์ ที่สวนจตุจักร เพือต้าน พธม. "คาราวานคนจน" นำโดย คำตา แคนบุญจันทร์, แม่สะอิ้ง, เขื่อนเพชร โพนรัมย์ เป็นขบวนที่ได้รับการสนับสนุนจาก "เนวิน" คาราวานคนจนกับกลุ่มแท็กซี่รักทักษิณ ได้หลอมรวมเป็น "สมาพันธ์พิทักษ์ประชาธิปไตย" หน่ออ่อนของ นปช.วันนี้


กลางปี 49 ที่ภาคอีสาน "ขวัญชัย ไพรพนา" ได้สร้างกลุ่มคนรักทักษิณขึ้น ในนาม "ชมรมคนรักอุดร" แต่ไม่ได้ขึ้นต่อ "เนวิน" หลังรัฐประหาร 19 กันยา มีกลุ่มอิสระต่อต้านเผด็จการ รวมถึงหมอเหวง และเพื่อนพ้องอีกมากมาย พค.50 หมอเหวง ได้ชักชวนให้กลุ่มชินวัฒน์ กลุ่มขวัญชัย และกลุ่มรักทักษิณ มาร่วมกันในชื่อ "แนวร่วมประชาชนต่อต้านรัฐประหาร เวลาเดียวกัน "วีระ-จตุพร-จักรภพ-ก่อแก้ว" ก่อตั้งทีวีดาวเทียม "พีทีวี" และเริ่มชุมนุมที่สนามหลวง สื่อเรียกว่า "ม็อบพีทีวี" ระหว่างรณรงค์รับ-ไม่รับ รธน.50 แนวร่วม ปชช.ผนึกกำลังพีทีวี กลายเป็น "แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ" (นปก.) จาก นปก. ได้เปลี่ยนเป็น นปช. หลังการเลือกตั้ง 50 และเริ่มมีบทบาทในการขับไล่รัฐบาลตัวแทนอำมาตย์ ปี 52-53

ถ้าศึกษาประวัติของ นปช. จะเห็นได้ชัดว่า
จริงๆแล้ว นปช. กำเนิดมาจากแนวคิดหลากหลายมากครับ

มีทั้งกลุ่มคนที่ชื่นชอบ คุณทักษิณเป็นทุน
ซึ่งจริงๆจะเป็นกลุ่มแรกๆที่ก่อตัวเป็นกลุ่มก้อนได้
กลุ่มคนที่มีความคิดต่อต้านระบอบเผด็จการ
ซึ่งดันไปรวมเอา กลุ่มคนล้มสถาบันเข้ามาด้วย

บางกลุ่มเช่น หมอเหวงเอง ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นกลุ่มคนที่รักทักษิณมาแต่แรก
ตัวหมอเหวงเคยขึ้นเวทีเสื้อเหลืองมาด้วยซ้ำ

บางกลุ่มก็น่าสงสัยในเจตนา ที่อาจเพียงต้องการ สู้แล้วรวย

แต่อะไรทำให้เขาเหล่านั้นมารวมกันได้

เพราะทุกคนมีเป้าหมายเดียวกันคือ "อำนาจ"

ทักษิณ แน่นอนครับว่าต้องการอำนาจ เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวบางอย่าง
ด้วยคำนี้ วิธีการจึงไปดึงเอาคนที่มีความต้องการคล้ายๆกัน

คือไม่พอใจในกลุ่้มอำนาจเก่า หรือที่เสื้่อแดงชอบจินตนาการว่า อำมาตย์
ดึงเข้ามาเป็นพวก โดยสนับสนุนทุนใ้ห้เพื่อชักนำผู้คน จัดตั้งกองกำลังประชาชน

มันน่ากลัวตรงที่กลุ่มคนเหล่านี้บางคน ย้ำว่าแค่บางคนนะครับ พอเข้ามามีบทบาทในสังคม
กลับเริ่มโจมตีสถาบัน ทหาร ข้าราชการ ซึ่งทำให้เกิดความแตกแยกในสังคมไทยขั้นรุนแรง

บิ๊กจิ๋ว พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า
""ผม เข้าไปเพื่อนำความคิดไปชี้นำความคิด ไปพยายามทำให้เขาเติบใหญ่ พยายามทำให้เขาเข้าใจในเรื่องมหาชนหรือปวงชน มีความสำคัญสูงสุดต่อการพัฒนาชาติบ้านเมืองอย่างไร ผมทำได้สำเร็จ ทำสำเร็จไปได้ปีกว่า แต่มามีปัญหาตอนหลังนิดหน่อย ปัญหาที่ผมต้องออกมาจากสีแดง ไม่ได้ออกมาเพราะความขัดแย้ง แต่ออกมาเพราะต้องการรักษาบุคคลเสื้อแดงซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนรักสันติ เป็นคนที่ต้องการสันติ เป็นคนที่ต้องการแต่เพียงเรื่องของการเปลี่ยนแปลงทางด้านการเมืองไปสู่การ เมืองของประชาชน ไปสู่การเมืองที่ประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดินนี้ ไปสู่การเมืองที่ไม่มีความอยุติธรรม มีความถูกต้อง มาตรฐานเดียว ไม่ใช่สองมาตรฐาน นั่นคือสิ่งที่ผมออกมาเพื่อรักษาสิ่งนี้ เพราะเริ่มมีการเข้าไปโจมตีอะไรต่ออะไรเยอะแยะไปหมด เช่น โจมตีทหาร โจมตีกองทัพ โจมตีหน่วยงานราชการบางหน่วย โจมตีอำมาตย์ และโจมตีไปถึงข้างบน อีกด้วย"

มาถึงวันนี้ พรรคเพื่อไทยเอาชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย
อำนาจกำัลังจะกลับมาอยู่ในมือรัฐบาลของคุณทักษิณ aka คุณยิ่งลักษณ์

มันมีคำถามที่น่าสงสัยอยู่ว่า ทักษิณต้องการชนะการเลือกตั้งขนาดนี้
จะไม่รู้เลยหรือว่า แกนนำเสื้อแดงมีปัญหาเรื่องคุณสมบัติการสมัคร สส.

ถึงขั้นถอยเอา สส.คู่บุญหลายคนไปไว้รายชื่อท้ายๆ
ในขณะที่แกนนำเสื้่อแดงอยุ่บัญชีต้นๆ

อีกเรื่องหนึ่งคือ ทักษิณจะไม่ฉลาดขนาดที่รู้ได้เลยหรือว่า
นปช.เอง มีทั้งที่ จงรักภักดี ยอมตาย ถวายหัวให้คุณทักษิณ

กับอีกกลุ่มหนึ่งที่เข้ามาเพียงเพื่อผลประโยชน์ร่วม
และที่ร้ายคือ มาเพื่อเปลี่ยนระบอบการปกครองของไทยไปตลอดกาล

ต่อให้ กกต. ประกาศให้ 16 คนผ่านไปก่อน แต่โอกาสจะโดนสอยร่วงก็เกิดขึ้นได้

และถึงแม้แกนนำ นปช. จะไม่ได้เป็น สส. สิ่งที่เกิดขึ้นคือ คนในพรรคเพื่อไทย
รายชื่อถัดไปจะได้เป็นแทน ไม่กระทบกับจำนวน สส. ในสภา
เป็นเรื่องที่ ทักษิณ คิดคำนวณเอาไว้แล้วเป็นอย่างดีหรือไม่
อาจจะเป็นแค่ทฤษฎีสมคบสมคิด แต่ก็น่าคิด

เรื่องที่น่าเป็นห่วงกว่าคือ วันนี้ ผลประโยชน์ร่วมกันกับแกนนำบางคนกำลังจะหายไป

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ คนเหล่านี้มีกองกำลังที่ไม่พอใจอะไรบางอย่างในประเทศ
ถึงเวลานั้น ทักษิณ จะต้องกลับมารบกับคนเหล่านี้เอง อะไรจะเกิดขึ้น

มันคุ้มหรือไม่ กับการที่ไปปลุกเอาคนที่คิดว่าตัวเองหวังดีแต่ประสงค์ร้ายกับประเทศ
มาใช้งาน ให้ทุน ทำให้เขาปีกกล้าขาแข็งขึ้นมาเรื่อยๆ จนวันนี้ ยืนขึ้นเองได้

มันจึงไม่แปลก ถ้าจะมีวันที่ ทักษิณ และคนเสื้อแดงบางส่วน จะต้องรบกันเอง
เพราะ ผลประโยชน์ร่วมกันวันนี้มันหมดไปแล้ว

ถ้าย้อนเวลาไปได้ สิ่งที่ทักษิณน่าจะทำคือการทำบุญ สร้างทานบารมี
มากกว่าใช้เงินมาให้ผู้ไม่ประสงค์ดี รวบรวมผู้คน น่าเสียดายจริงๆ

รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง