วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2554
‘พลเมืองอภิวัฒน์’ เดินหน้าจัดเวที 20 คมความคิด 20 ปฏิบัติการเปลี่ยนประเทศ
“จรัส สุวรรณมาลา” เปรียบ ปชช.-พรรคการเมืองหลงใหลนโยบายขนมหวาน ชอบเกทับ เป็นผีเน่ากับโรงผุ แนะต้องกล้าเป็นกบฏกับหัวคะแนน ไม่กา ไม่เลือกคนไม่ดี ด้าน “พิทยา ว่องกุล” ซัด ประชาธิปไตยอ่อนแอ เพราะปล่อยให้นักการเมืองครอบงำ-กำหนดชะตากรรมสังคมมานาน
วันที่ 8 มิถุนายน เวทีพลเมืองอภิวัฒน์ คนเปลี่ยน ประเทศเปลี่ยน โดยความร่วมมือของสถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา (LDI) ร่วมกับเครือข่ายพลเมืองอภิวัฒน์ สำนักงานปฏิรูป (สปร.) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สภาพัฒนาการเมือง สถาบันพระปกเกล้า เครือข่ายข้อมูลการเมืองไทย ฯลฯ จัดงานแถลงข่าว “20 คมความคิด 20 ปฏิบัติการเปลี่ยนประเทศ” ณ โรงแรมปริ้นพาเลซ กรุงเทพ โดยมี รศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์วิทยาลัย นายบวร ยสินทร และนายพิทยา ว่องกุล นักวิชาการอิสระ ร่วมแถลงข่าว
ยุทธวิธีขับเคลื่อนประเทศไทย
นายบวร กล่าวว่า ประสบการณ์ทางการเมืองที่ผ่านมา พบว่า ในช่วงการเลือกตั้งนักการเมืองทุกพรรคจะรับปากในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะพรรคเล็ก ซึ่งไม่มีโอกาสจัดตั้งรัฐบาล หรือพรรคใหญ่ก็ต่างเอาใจประชาชนด้วย นโยบายประชานิยม โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่ตามมา ดังนั้น เมื่อประชาชนมีโอกาสขึ้นมาอีกครั้งก็ต้องลุกขึ้นมาทำหน้าที่ เพื่อไม่ให้เข้าสู่วงจรเดิม
“เครือข่ายพลเมืองอภิวัฒน์ ได้มีการกำหนดยุทธวิธีขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวออกไปจากวิกฤต ภายในระยะเวลา 5 ปี โดยเริ่มจากฤดูกาลเลือกตั้ง และแบ่งการปฏิบัติ การออกเป็น 3 ระยะคือ 1.ช่วง 50 วันก่อนการเลือกตั้ง 2.ช่วง 100 วัน หลังการเลือกตั้ง และ3.1500 วัน หรือตลอด 4 ปีของการทำงาน โดยในช่วง 50 วันก่อนการเลือกตั้ง จะเป็นการดำเนินการเพื่อต้องการให้นักการเมืองตื่นรู้ว่า ประชาชนต้องการอะไร แนวคิดเรื่องการปฏิรูปที่ภาคประชาชนเสนอมีการผลักดันเป็นนโยบายหรือไม่ ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดเป็นพันธสัญญาระหว่างนักการเมืองกับภาคประชาชน ขณะเดียวกัน จะมีการรณรงค์ให้ประชาชนไปใช้สิทธิ์ลงคะแนน โหวตปฏิรูป หรือพรรคที่มีนโยบายเอื้อต่อการปฏิรูปมากที่สุด”
สำหรับการโหวตปฏิรูปนั้น นายบวร กล่าวว่า เป็นการรณรงค์ ให้ประชาชนออกไปใช้สิทธิ โดยตัดสินใจโหวตอย่างใดอย่างงหนึ่ง นั่นคือ 1.โหวตแซงชั่น หรือการไม่เลือก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ที่เป็นสีเทา ส.ส.ขี้เกียจหลังยาว ไม่ทำหน้าที่ 2.โหวตสนับสนุน พรรคการเมืองที่ยอมรับเรื่องการปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการปฏิรูปประเทศ 3.โหวตสั่งสอน คือการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง แต่กากบาทในช่องไม่ประสงค์เลือกผู้ใด หรือ โหวตโน หากเห็นว่า ไม่มีคนดี หรือพรรคดีให้เลือก
ส่วนหลังการเลือกตั้งนั้น นายบวร กล่าวว่า จะต้องติดตามว่าพรรคการเมืองได้นำนโยบายที่ได้รับปาก เมื่อครั้งหาเสียงไปปฏิบัติหรือไม่ อย่างไร โดยดูจากการแถลงนโยบายต่อสภา หากไม่เป็นไปตามที่ได้มีการรับปากไว้ จะต้องมีดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อผลักดันต่อไป ส่วนการติดตามผลในระยะยาว จะต้องคำถึงถึงนโยบายปฏิรูป ควบคู่ไปกับการพิจารณาในประเด็นทางโครงสร้างการเมืองที่จะนำไปสู่การปฏิรูป หรืออภิวัตน์ต่อไปด้วย
2 เผด็จการสมัยใหม่ - 1 ประชาธิปไตยที่อ่อนแอ
ขณะที่นายพิทยา กล่าวถึงการสร้างเครือข่ายพลเมืองอภิวัฒน์ในครั้งนี้ว่า สถานการณ์บ้านเมืองของไทย มีความขัดแย้ง มีการแบ่งสีแบ่งฝ่าย ยืดเยื้อยาวนาน กระทั่งไม่สามารถเกิดการประนีประนอมขึ้นได้จริง ซึ่งจากการวิเคราะห์พบว่า หลังการเลือกตั้งจะนำไปสู่สถานการณ์ 2 เผด็จการสมัยใหม่ และ 1 ประชาธิปไตยที่อ่อนแอ
"กล่าวคือ หากพรรคการเมืองที่มีผลประโยชน์มาก เป็นพรรคที่มีกระบวนการขับเคลื่อนภาคประชาชน ได้อำนาจกลับคืน จะมีการรักษาอำนาจ ผลประโยชน์อย่างเหนียวแน่น จนนำไปสู่เผด็จการทางรัฐสภา รวมทั้งมีการจัดสรรตำแหน่ง ดึงพรรคพวกของตนเองไปสู่กลไกราชการ ทหาร ตำรวจ ดังนั้น ประชาชนที่รับไม่ได้ จะลุกขึ้นมาต่อต้าน สุดท้ายก็จะนำไปสู่เผด็จการอีกรูปแบบหนึ่ง นั่นคือ เผด็จการทหาร สิ่งที่ตามมาคือ บ้านเมืองเละเหมือนเดิม เพราะไม่ว่าจะเพื่อไทย หรือประชาธิปัตย์จะได้เสียงข้างมาก ย่อมอาจเกิดการประท้วงหรือต่อต้านเกิดขึ้น กระทั่งในที่สุด ก่อให้เกิดสภาวะของประชาธิปไตยอ่อนแอ"
นายพิทยา กล่าวถึงสาเหตุที่ทำให้ประชาธิปไตยอ่อนแอว่า เนื่องจากประเทศไทยปล่อยให้นักการเมืองมีบทบาทครอบงำสังคมมาอย่างยาวนาน รวมทั้งมีอิทธิพลในกำหนดชะตากรรม ดังนั้น ประชาชนทั่วทุกสารทิศต้องรวมกันขยับ เพื่อเปลี่ยนสังคม
“การโหวตเพื่อปฏิรูป ประชาชนต้องมีบทบาท ควบคุม ดูแลพรรคการเมือง ไม่ให้ซ้ำรอยวงจรอุบาทว์เดิม อีกทั้งในระยะต่อไป อาจจะต้องมีการเสนอให้มีการจัดตั้ง สสร. เพื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่มีการแยกอำนาจนิติบัญญัติ กับอำนาจบริหารออกจากกันอย่างชัดเจน เพื่อให้การซื้อสิทธิขายเสียงเป็นไปได้ยาก และนักการเมืองจะหันมาเสนอนโยบายที่เป็นความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง” นายพิทยา กล่าว และว่า พัฒนาการในระบบการเลือกตั้งของไทย ก่อให้เกิด ตระกูล ส.ส. แก๊ง ก๊วนต่างๆ ทางการเมือง ตั้งแต่การเลือกตั้งในระดับท้องถิ่น กระทั่งนำไปสู่การสร้างฐานอำนาจ ซึ่งสิ่งเหล่านี้นับว่าน่ากลัว และส่งผลต่อประชาธิปไตยโดยตรง ดังนั้น ภาคประชาชนจะต้องมีการสร้างเครือข่ายและมีส่วนร่วมในการปฏิรูป ไม่ใช่เลือกตั้งเสร็จแล้วหยุด
ฝากนักการเมืองหยุดดูถูกประชาชน
ด้าน รศ.ดร.จรัส กล่าวถึงการเลือกตั้งที่ใกล้เข้ามาว่า จะต้องมีผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทั้งในเรื่องพฤติกรรมการเลือกตั้งของภาคประชาชน และนโยบายพรรคการเมือง โดยในส่วนของนโยบายพรรคการเมือง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนโยบายขายขนมหวาน แจกลูกอม ที่นับวันจะยิ่งน้ำเน่า และไม่สามารถนำพาสังคมออกจากภาวะวิกฤตทางการเมืองได้นั้น ภาคประชาชนจะต้องผลักดันให้เกิดกระแสของการเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ เนื่องจากนโยบายดังกล่าว เป็นนโยบายที่เรียกว่า ดูถูกประชาชนอย่างมาก เพราะเห็นประชาชนเป็นสัตว์เลี้ยง ชอบอาหารอะไร ก็ให้ปริมาณมากๆ
“นักการเมืองชอบเลือกนโยบายเกทับกัน ส่วนนโยบายปฏิรูป นักการเมืองส่วนใหญ่กลับมองข้าม และไม่รับไปเป็นนโยบาย เพราะเห็นผลช้า ต้นทุนสูง ได้ผลตอบแทนน้อย อีกทั้งประชาชนส่วนใหญ่ก็ชอบนโยบาย ‘สัตว์เลี้ยง’ มากกว่า กระทั่งกลายเป็น ผีเน่ากับโรงผุไปทั้งคู่”
รศ.ดร.จรัส กล่าวถึงความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยว่า ประชาชนต้องมองว่าตนเองเป็นเจ้านาย ส่วนนักการเมืองเป็นผู้ที่อาสาเข้ามาทำหน้าที่ เปรียบได้กับคนใช้ ของประชาชน ฉะนั้น เมื่อปล่อยให้สภาพเช่นนี้เป็นมายาวนาน ถึงเวลาที่ต้องผลักดันให้พรรคการเมืองเปลี่ยนนโยบาย เปลี่ยนจุดยืน และให้ความสำคัญกับนโยบายปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ กระจายอำนาจ การพึ่งตนเองของประชาชน รวมทั้งสร้างระบบเศรษฐกิจที่เป็นธรรมกับทุกคน ไม่ใช่ยิ่งอยู่ยิ่งจน
รศ.ดร.จรัส กล่าวถึงนักการเมืองในประเทศไทยว่า แบ่งออกเป็นนักการเมืองดี ร้อยละ 30 พอใช้ได้ร้อยละ 40 นักการเมืองพฤติกรรมแย่ร้อยละ 20 และเข้าขึ้นแย่มาก ถึงขนาดต้องร้องยี้ อีกร้อยละ 10 ดังนั้น ต้องทำให้ ส.ส. แย่ๆ ที่ทำให้สภาเสียเกียรติหลุดออกไป โดยภาคประชาชนจะต้องมีการเคลื่อนไหว ศึกษาข้อมูลก่อนเลือกตั้ง อีกทั้งจะต้องเป็น ‘กบฏ’ต่อหัวคะแนน เนื่องจากพบว่า ส.ส.ส่วนใหญ่ใช้คะแนนจัดตั้งเป็นกลยุทธ์ในการเลือกตั้ง ส่วนนโยบายที่นำเสนอนั้นเป็นเพียงเรื่องหลอก
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กิจกรรม “20 คมความคิด 20 ปฏิบัติการเปลี่ยนประเทศ” ระดมพลังทางสังคม พลังสาธารณะที่ตื่นรู้ เพื่อผลักดัน การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างที่ไม่เป็นธรรม ไม่สนองต่อปัญหาของประเทศชาติและประชาชน จะมีการจัดขึ้นระหว่างวันที่ 11-30 มิถุนายน 2554 เวลา 18.00-20.00 น. ณ หอประชุมศรีบูรพา (หอประชุมเล็ก) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ประเดิมเสาร์ที่11 มิถุนายนนี้ ในหัวข้อ “วิกฤตการเมืองและประเทศไทยฤาจะใกล้กลียุค จะก้าวข้ามอย่างไร” โดย ยุค ศรีอารยะ
**ผ่าสมบัติ"อภิสิทธิ์"VS"ทักษิณ"หลังลงเก้าอี้นายกฯ...รวยขึ้นทั้งคู่!
ถึงเวลา
ประชาชนต้องเป็นหูเป็นตาตรวจสอบ
นักการเมือง โดยเฉพาะ ระดับหัวหน้าฝ่ายบริหาร
ไม่ว่า รักนักการเมืองคนใด หรือ เกลียดคนไหน
ก็ต้องถูกประชาชนร่วมกันตรวจสอบ
`**ผ่า สมบัติ"อภิสิทธิ์"VS"ทักษิณ"หลังลงเก้าอี้นายกฯ...รวยขึ้นทั้งคู่!!**คน เสื้อแดง เหลือง น้ำเงินฯลฯมาดูด่วน..ทำไมวิถีสุดจะแตกต่าง !!
เมื่อครั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549
ทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณที่ยื่นแสดง
ต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
(ป.ป.ช.) ระบุว่ามี
มีทรัพย์สิน 557,363,123 บาท ในจำนวนนี้เป็นเงินลงทุน 13,433,017 บาท
คุณหญิงพจมานมี 8,842,085,955 บาท ในจำนวนนี้เป็นเงินลงทุน 2,360,261,735 บาท
รวม 2 คน 9,399,449,078 บาท
(บุตร 3 คน บรรลุนิติภาวะหมดแล้ว-
ไม่รวมทรัพย์สินที่ถูกยึดทรัพย์ร่ำรวยผิดปกติ 4.6 หมื่นล้าน)
ลดลงจากตอนเป็นรองนายกฯในรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ วันที่ 7พฤศจิกายน 2540 แจ้งว่า มีทรัพย์สิน 5,929,319,144บาท คุณหญิงพจมานมีทรัพย์สินรวม 11,243,888,307บาทไม่มีหนี้สิน รวม 2 คน 17,173,207,451 บาท
บุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ 3คน(ขณะนั้น) นายพานทองแท้ (โอ๊ค) นางสาวพิณทองทา (เอม) และเด็กหญิงแพทองธาร (อุ๊งอิ๊ง) มีทรัพย์สินรวมกัน 3,896,083,935บาท
เบ็ดเสร็จ 5คนมีทรัพย์สิน 21,069,291,386บาท
` (สองหมื่นหนึ่งพันหกสิบเก้าล้านสองแสนเก้าหมื่นหนึ่งพันสามร้อยแปดสิบหกบาท )
........................................
มาถึงทรัพย์สมบัติ
หลังจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศยุบสภาเมื่อต้นเดือนพฤษภาคม
และต้องแสดงบัญชีทรัพย์สินต่อ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
2 ปีเศษบนเก้านายกฯคนที่ 27 รวยขึ้นหรือจนลง เป็นคำถามที่คนจำนวนไม่น้อยอยากรู้?
ก่อนถึงเวลานั้น ศูนย์ข้อมูล&ข่าวสืบสวนสอบสวนฯ (TCIJ)
นำบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินของ “มาร์ค”แต่ละช่วงมาเปิดเผยอย่างละเอียด
สรุปทรัพย์สินของ “มาร์ค” เทียบระหว่างปี 2540 กับ ปี 2551
เพิ่มขึ้น 22 ล้านบาท
โดยช่วงที่เพิ่มขึ้นอยู่ในช่วงปี 2544-2545
**ขณะนั้นเป็น ส.ส.ฝ่ายค้าน
ซึ่งเจ้าตัวเคยชี้แจงว่ามาจากธุรกิจซื้อขายที่ดิน
แจกแจงรายละเอียดได้ดังนี้
ตอน รับตำแหน่ง รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ วันที่ 14 พฤศจิกายน 2540 นายอภิสิทธิ์แจ้งว่ามีทรัพย์สิน 27,732,451 บาท แบ่งเป็น เงินฝาก 2,306,968 บาท หุ้นบริษัทโรงพยาบาลพร้อมมิตร จำกัด จำนวน 1,000 หุ้น มูลค่า 100,000 บาท ที่ดิน 3 แปลง เนื้อที่ 15-1-59 ไร่ อยู่คลองตัน (บางกะปิฝั่งใต้) พระโขนง กรุงเทพฯ เนื้อที่ 0-0-32 ไร่ ,ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เนื้อที่ 15-0-0ไร่ และที่ดินใน ต.จันทึก อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เนื้อที่ 0-1-27 ไร่ รวมมูลค่า 16,407,000บาท สิ่งปลูกสร้าง 2 หลัง อาคารชุด อาคาร พิงผา ต.นาเกลือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี 6,000,000 บาท รถยนต์ 2 คัน ยี่ห้อเมอร์ซิเดส เบนซ์ 190 E เลขที่ทะเบียน 6 ฮ -1183 และ ฮอนด้า ODYSSEY ทะเบียน 9ฬ 2733 กรุงเทพฯ 2,693,483 บาท ทรัพย์สินอื่น 225,732 บาท หนี้สิน 835,903 บาท
รวมทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 26.8 ล้านบาท
ทญ.พิมพ์เพ็ญ เวชชาชีวะ ภริยามีทรัพย์สินเพียง 2,559,806 บาท แบ่งเป็นเงินฝาก 1,049,806 บาท ทรัพย์สินอื่น 1,510,000บาท ไม่มีหนี้สิน
บุตรไม่บรรลุนิติภาวะ 2 คน ได้แก่ ด.ญ.ปราง เวชชาชีวะ และ ด.ช.ปัณณสิทธ์ เวชชาชีวะ มีทรัพย์สิน 399,290 บาท แบ่งเป็นเงินฝาก 249,290 บาท ทรัพย์สินอื่น 150,000 บาท
รวมทรัพย์สิน30,691,547 บาท
ตอนพ้นตำแหน่งวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2544 นายอภิสิทธิ์แจ้งว่ามีทรัพย์สิน 26,685,224 บาท แบ่งเป็นเงินฝากบัญชี 1,259,741 บาท หุ้นบริษัทโรงพยาบาลพร้อมมิตร จำกัด จำนวน 1,000 หุ้น มูลค่า 100,000 บาท ที่ดิน 3 แปลง 16,407,000บาท สิ่งปลูกสร้าง (คอนโดมีเนียม 2 หลัง) 6,000,000 บาท รถยนต์ 2 คัน ยี่ห้อ เมอร์ซิเดสเบนซ์ 6 ฮ.-1183 กทม. และ ฮอนด้า ODYSSEY 9 ฬ -2733 กทม. 2,693,483 บาท ทรัพย์สินอื่น 225,000 บาท ไม่มีหนี้สิน
ทญ.พิมพ์เพ็ญ เวชชาชีวะ มีทรัพย์สิน 2,817,591 บาท แบ่งเป็นเงินฝาก 782,591 บาท ทรัพย์สินอื่น 2,035,000 บาท ไม่มีหนี้สิน
บุตรไม่บรรลุนิติภาวะ 2 คน มีเงินฝาก 342,334 บาท ทรัพย์สินอื่น 150,000 บาท รวม 492,334 บาท
รวมทรัพย์สิน 29,995,149 บาท
ตอนพ้นครบ 1 ปี วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2545
นายอภิสิทธิ์แจ้งว่ามีทรัพย์สิน 46,099,313 บาท แบ่งเป็นเงินฝากในธนาคารพาณิชย์ 5 บัญชี 407,654 บาท หลักทรัพย์จดทะเบียนและรับอนุญาต 2 รายการ ได้แก่ หุ้นโรงพยาบาลพร้อมมิตร 1,000 หุ้น มูลค่า 100,000บาท กองทุนเปิดอยุธยาตราสารเพิ่มทรัพย์ 122,360 หุ้น มูลค่า 1,766,176 บาท รวม 1,866,176 บาท ,ที่ดิน 3 แปลง 16,407,000 บาท ได้แก่ ที่ดินใน ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เนื้อที่ 15-0-0 ไร่ ที่ดินใน ต.จันทึก อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เนื้อที่ 0-1-27 ไร่ และที่ดิน ในคลองตัน (บางกะปิฝั่งใต้ พระโขนง กรุงเทพฯ เนื้อที่ 0-0-32 ไร่ ,สิ่งปลูกสร้างอื่น 4 หลัง 24,500,000 บาท ได้แก่ อาคารชุดอาคาร พิงผา ต.นาเกลือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี อาคารชุดบ้านแสนสราญ 2 ห้อง ใน ต.หนองแก อ.หัวหิน (ปราณบุรี) จ.ประจวบคีรีขันธ์ และ อาคารพาณิชย์ 4 ชั้น ซ.ประสานมิตร ถ.สุขุมวิท 23 แขวงคลองตันเหนือเขตวัฒนา กรุงเทพฯ ,รถยนต์ 2 คัน ได้แก่ BENZ 190 E เลขที่ทะเบียน 6 ฮ -1183 และ HONDA ODYSSEY ทะเบียน 9ฬ 2733 กรุงเทพฯ ,ทรัพย์สินอื่น 225,000 บาท ไม่มีหนี้สิน
ทญ.พิมพ์เพ็ญ เวชชาชีวะ มีทรัพย์สิน 4,295,959 บาท แบ่งเป็นเงินฝากในธนาคาร 3 บัญชี 344,783 บาท หลักทรัพย์จดทะเบียนและรับอนุญาต กองทุนเปิดอยุธยาตราสารเพิ่มทรัพย์ 122,360 หุ้น มูลค่า 1,766,176 บาท ทรัพย์สินอื่น เครื่องประดับ 2,185,000 บาท ไม่มีหนี้สิน
ทญ.พิมพ์เพ็ญ เวชชาชีวะ มีทรัพย์สิน 4,295,959 บาท แบ่งเป็นเงินฝากในธนาคาร 3 บัญชี 344,783 บาท หลักทรัพย์จดทะเบียนและรับอนุญาต กองทุนเปิดอยุธยาตราสารเพิ่มทรัพย์ 122,360 หุ้น มูลค่า 1,766,176 บาท ทรัพย์สินอื่น เครื่องประดับ 2,185,000 บาท ไม่มีหนี้สิน
บุตรไม่บรรลุนิติภาวะ 2 คน มีทรัพย์สิน 517,944 บาท แบ่งเป็นเงินฝาก 5 บัญชี 36,7944 บาท ทรัพย์สินอื่น 150,000 บาท
รวมทรัพย์สิน 50,913,216 บาท
ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์แจ้งว่ามีรายได้ต่อปีจากเงินเดือน 968,196 บาท เงินรายได้ประจำอื่นๆได้แก่ เงินเดือน 240,000 บาท ค่าเช่า 60,000 บาท ดอกเบี้ย 8,153 บาท เงินปันผล 2 ,000 บาท และค่านายหน้า 2.8 ล้านบาท รวม 4,078,349 บาท คู่สมรสมีรายได้จากเงินเดือน 98,280 บาท และดอกเบี้ย 6,895 บาท รวม 105,175 บาท บุตรมีรายได้จากดอกเบี้ย 7,358 บาท
เมื่อเปรียบเทียบทรัพย์สินกรณีพ้นตำแหน่งเดือนกุมภาพันธ์ 2544 เท่ากับนายอภิสิทธิ์มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น 20.7 ล้านบาท
ตอนรับตำแหน่ง ส.ส.วันที่ 22 มกราคม 2551
นายอภิสิทธิ์แจ้งว่ามีทรัพย์สิน 36,195,929 บาท แบ่งเป็นเงินฝาก 1,659,929 บาท ที่ดิน 2 แปลง 15-1-27 ไร่ ราคา 19581000 บาท อยู่ใน ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เนื้อที่ 15-0-0ไร่ และ ต.จันทึก อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เนื้อที่ 0-1-27 ไร่
คอนโดมีเนียม 2 แห่ง 3 ห้อง ได้แก่ เลขที่ 174/16 ชั้น 4 อาคารชุดพิงผา ต.นาเกลือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ,เลขที่ 89/227 และเลขที่ 89/278 ชั้น 4 อาคารชุดบ้านแสนสราญ ต.หนองแก อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ รวมราคา 13,800,000 บาท
รถยนต์ 2 คัน ยี่ห้อ ฮอนด้า ODYSSEY ทะเบียน 9ฬ 2733 กรุงเทพฯ ราคา 500,000 บาท และ ฮอนด้า CR-V ทะเบียน ว ณ 4533 กรุงเทพฯ ราคา 400,000 บาท รวม 900,000 บาท
ทรัพย์สินอื่น 255,000 บาท ได้แก่ นาฬิกา Patek Philippe 1 เรือน 200,000 บาท สร้อยคอทองคำ 1 เส้น 25,000 บาท และนาฬิกา Jaeger-LaCoultre รุ่น Reverso 1 เรือน ราคา 30,000 บาท ไม่มีหนี้สิน
ทญ.พิมพ์เพ็ญ เวชชาชีวะ มีทรัพย์สิน 14,644,438บาท แบ่งเป็นเงินฝาก 4,186,797 บาท เงินลงทุน กองทุนเปิดอยุธยาตราสารหนี้พิเศษ จำนวน 732,367.9 หุ้น มูลค่า ณ วันแสดงบัญชี 7,388,640 บาท ทรัพย์สินอื่น เครื่องประดับ 17 รายการ มูลค่า 3,000,000 บาท ไม่มีหนี้สิน
บุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ มีเงินฝาก 452,057 บาท
รวมทรัพย์สิน 51,292,425 บาท
ล่าสุดตอนรับตำแหน่งนายกฯ วันที่ 22 ธันวาคม 2551นายอภิสิทธิ์แจ้งว่า มีทรัพย์สิน 37,057,945 บาท แบ่งเป็นเงินฝาก 1,351,945 บาท ที่ดิน 2 แปลง 19,581,000 บาท อยู่ใน ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เนื้อที่ 15-0-0ไร่ และ ต.จันทึก อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เนื้อที่ 0-1-27 ไร่
คอนโดมีเนียม 2 แห่ง 3 ห้อง ได้แก่ เลขที่ 174/16 ชั้น 4 อาคารชุดพิงผา ต.นาเกลือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ,เลขที่ 89/227 และเลขที่ 89/278 ชั้น 4 อาคารชุดบ้านแสนสราญ ต.หนองแก อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ รวมราคา 13,800,000บาท
รถยนต์ 2 คัน ยี่ห้อ HONDA CR-V เลขทะเบียน ว ณ 4533 กรุงเทพฯ ราคา 400,000 บาท และ MITSUBISHI SPACE WAGON เลขทะเบียน ณ ง 5317 กรุงเทพฯ ราคา 1,670,000 บาท รวม 2,070,000 บาท
ทรัพย์สินอื่น ได้แก่ นาฬิกา Patek Philippe 1 เรือน 200,000 บาท สร้อยคอทองคำ 1 เส้น 25,000 บาท และนาฬิกา Jaeger-LaCoultre รุ่น Reverso 1 เรือน ราคา 30,000 บาท หนี้สินเงินกู้จากธนาคารธนชาติ 1,087,674 บาท
ทญ.พิมพ์เพ็ญ มี15,356,024 บาท แบ่งเป็น เงินฝาก 4,431,977 บาท เงินลงทุน กองทุนเปิดอยุธยาตราสารเงิน จำนวน 668,769 หุ้น มูลค่า ณ วันแสดงบัญชี 7,605,047 บาท ทรัพย์สินอื่นเครื่องประดับ 18 รายการ มูลค่า 3,319,000 บาท ไม่มีหนี้สิน
บุตรไม่บรรลุนิติภาวะมีเงินฝาก 469,582 บาท
รวม 52,883,552 บาท
สรุป ทรัพย์สินของ “มาร์ค” เทียบระหว่างปี 2540 กับ ปี 2551 เพิ่มขึ้น 22 ล้านบาท โดยช่วงที่เพิ่มขึ้นอยู่ในช่วงปี 2544-2545 ขณะนั้นเป็น ส.ส.ฝ่ายค้านซึ่งเจ้าตัวเคยชี้แจงว่ามาจากธุรกิจซื้อขายที่ดิน?
เพราะ.....พระองค์ทรงรักษาสัญญา....
by ก้อยกัลยา
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชสมภพ ณ โรงพยาบาลเมานต์เออเบิร์น (Mount Auburn) ซึ่งขณะนั้นใช้ชื่อว่า โรงพยาบาลเคมบริดจ์ (Cambridge Hospital) ตั้งอยู่ในเมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา
เมื่อเวลา ๐๘.๔๕ น. ของวันจันทร์ที่ ๕ ธันวาคม ๒๔๗๐ ตรงกับปีเถาะ
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ ทรงเล่าถึง การตั้งพระนามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไว้ในหนังสือ "เจ้านายเล็ก ๆ ยุวกษัตริย์" ว่า
"หลังจากที่พระโอรสประสูติได้ไม่ถึง ๓ ชั่วโมง ทูลหม่อมฯ" ทรงรีบส่งโทรเลขถวายสมเด็จพระพันวัสสาฯ ว่า
"ลูกชายเกิดเช้าวันนี้ สบายดีทั้งสอง ขอพระราชทานนามทางโทรเลขด้วย"
สมเด็จพระศรีสวรินทรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เสด็จฯ ไปเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗
พระองค์ได้โปรดเกล้าฯ พระราชทานพระนามว่า "ภูมิพลอดุลเดช"
เมื่อทางรัฐบาลสยาม ได้กราบบังคมทูลเชิญพระองค์ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ตามกฏมณเฆียรบาล
“เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม"
คือปฐมบรมราชโองการเมื่อครั้งทรงครองราชย์
ประหนึ่งเหมือนคำมั่นที่ทรงให้สัญญากับชาวสยาม
จนเมื่อครั้งพระองค์จะเสด็จออกจากประเทศสยามเพื่อทรงศึกษาต่อ
ประชาชนที่รู้ข่าวต่างไปรอเฝ้าส่งเสด็จ
ในใจปวงราษฏร์นั้น โหยหาพระองค์เป็นยิ่งนัก
ด้วยเพราะสถานในตอนนั้น ประชาชนเหมือนไร้ที่พึ่ง
พระองค์ทรงเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวและกำลังใจ
ในขณะที่พระที่นั่งได้เคลื่อนออกไป
ได้มีประชาชนคนหนึ่งตะโกนออกไปว่า
“อย่าทิ้งประชาชน”
พระองค์ทรงนึกขึ้นในพระหทัยว่า
อยากจะบอกเขาเหลือเกินว่า
“หากประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะละทิ้งอย่างไรได้”
แต่รถก็ได้แล่นออกไปไกลแล้ว
นับจากวันนั้น จนถึงวันนี้
พระองค์ทรงรักษาสัญญา
ทรงงานด้วยความปรีชาสามารถ
และตรากตรำพระวรกายของพระองค์
เพื่อรักษา “สัญญา” ที่พระองค์ทรงให้ไว้กับประชาชน
จากเด็กชายเล็กๆ ต้องมาแบกรักพระราชภาระที่หนักอึ้งและยิ่งใหญ่
พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจอันทรงคุณค่าเอนกอนันต์พื่อประชาชนชาวสยาม
มิเพียงแต่ชาวสยามเท่านั้นที่แซ่ซ้องพระเกียรติคุณของพระองค์
ทั่วโลกต่างสดุดี ด้วยศรัทธา “กษัตร์ย์” แห่งสยาม
พระองค์ทรงดำรงและตั้งตนอยู่ในทศพิธราชธรรมอย่างบริสุทธิ์
พระองค์ทรงดำรงอยู่ภายใต้กฏหมายเฉกเช่นชาวสยามทั่วไป
พระองค์ทรงทำหน้าที่ “ลูก”ของแม่ให้พสกนิกรได้เดินรอยตาม
พระองค์ทรงทำหน้าที่ “พ่อ”ของลูกให้ชาวสยามได้ยึดเป็นแบบอย่าง
และ
พระองค์ทรงทำหน้าที่ “พ่อแห่งแผ่นดิน”
ให้กับประชาชนชาวสยาม ได้อย่างจะหาผู้ใดเสมอเหมือนอีกแล้ว
พระองค์ทรงไร้ข้อกังขาที่จะให้ประชาชนรักพระองค์
รักเสมือน “พ่อ” รักด้วยใจพิสุทธิ์
เหมือนที่พระองค์ทรงรักประชาชนเสมือน “ลูก”
สมดั่งพระนามที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เคยมีรับสั่งกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถึงความหมายของพระนาม "ภูมิพล" ไว้ว่า
"อันที่จริงเธอก็ชื่อภูมิพล ที่แปลว่า กำลังของแผ่นดิน แม่อยากให้เธออยู่กับดิน"
ประมุขแห่งแผ่นดินเป็นได้ไม่ยาก
แต่ประมุขที่ทั่วโลกศรัทธาเป็นยาก
ต้องมี วาสนา บารมีและคุณงามความดี
ที่สำคัญ คือต้องมี เลือดขัตติยา
65 ปี ที่”พ่อ” ทรงทำเพื่อ “ประโยชน์สุข” ของลูกๆ
65ปี ที่ “พ่อ” ไม่ทรงละทิ้ง “ลูก”
เพียงแค่ 1 วัน เราจะทำให้ “พ่อ” มีความสุข ไม่ได้หรือ?
ทำความดี อย่าให้คนไม่ดีปกครองบ้านเมือง
เพื่อ”ประโยชน์สุข”แก่ประเทศชาติ
และ “แผ่นดินของพ่อ”
วันนี้ “เรา” เหล่าปวงประชา ซึ่งเป็น “ละอองธุลีพระบาท”
สมควรอย่างยิ่งที่จะ “ให้สัญญา” กับพระองค์
ว่าจะ ”จงรักภักดีราชวงศ์จักรี จนกว่าชีวิตจะหาไม่”
“Defend the KING , Protect the KINGDOM”
หุหุ..ไหนปูบอกว่าไม่รู้เรื่องหมู่บ้านเสื้อแดง??!!!
จากข่าวรอยเตอร์
v
v
v
...นารีขี่ม้าขาว ...
นส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
หลังจากมีข่าว ...การตั้ง"หมู่บ้านเสื้อแดง"
คุณยิ่งลักษณ์ให้สัมภาษณ์ ว่า
v
v
อ้างอิง ASTVผู้จัดการ,มติชน
............................
เรื่องนี้..
คนทั้งในพรรคมีแต่คนปัดเรื่องนี้ออกไป
v
v
แล้วนี่อะไร???
v
v
คนเสื้อแดง ให้การต้อนรับ
'พานทองแท้ ชินวัตร"
เยี่ยม"หมู่บ้านเสื้อแดงอุดร "
v
v
ขอบคุณ www.youtube.com
v
v
พานทองแท้ ชินวัตร
เท่านั้นยังไม่พอ
v
v
นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และพลพรรคเพื่อไทย
เปิดหมู่บ้านเสื้อแดงอุดรธานี
ขอบคุณ www.youtube.com
..............................
ดูๆไปแล้ว
"หมูบ้านเสื้อแดง"ไม่ได้เพิ่งจะตั้ง
และจะเห็นได้ว่า ที่ผ่านมา คนในครอบครัวชินวัตร
และคนในพรรค"เพื่อไทย"ก็ไม่น้อยที่
เข้าร่วมกิจกรรมเหล่านี้ในฐานะ"บุคคลสำคัญ"ของเสื้อแดง
แล้วเป็นไปได้หรือ
ที่คุณยิ่งลักษณ์ ซึ่งเป็นสมาชิกสำคัญของครอบครัว
และยังเป็นถึงถึงผู้สมัครหมายเลข1ของพรรค
จะไม่ทราบเรื่องใกล้ตัวขนาดนี้
แต่หากเธอไม่ทราบเรื่องจริงๆ
ก็ น่ากลัว!!เพราะ ขนาดเรื่องใกล้ตัว(มากๆ)เช่นนี้ยังไม่ทราบ
แล้วจะดูแลประเทศชาติดังที่ตนประกาศขายฝันไว้ได้อย่างไร
!!!!!!!!!!!!!!
หุหุ..ไหนปูบอกว่าไม่รู้เรื่องหมู่บ้านเสื้อแดง??!!!
!!!!!!!!
.
BG"ยากันยุง" http://twitter.com/EngineerThai
................
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
รีโมท
ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน
คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค
บทความย้อนหลัง
-
►
2012
(274)
- ► กุมภาพันธ์ (51)
-
▼
2011
(1241)
-
▼
มิถุนายน
(153)
-
▼
10 มิ.ย.
(8)
- ‘พลเมืองอภิวัฒน์’ เดินหน้าจัดเวที 20 คมความคิด 20 ...
- **ผ่าสมบัติ"อภิสิทธิ์"VS"ทักษิณ"หลังลงเก้าอี้นายกฯ...
- เพราะ.....พระองค์ทรงรักษาสัญญา....
- หุหุ..ไหนปูบอกว่าไม่รู้เรื่องหมู่บ้านเสื้อแดง??!!!
- “ชุมพล” ฉุน “อภิสิทธิ์” ระบุหากไม่โดนบังคับก็ไม่ร่...
- ละครผู้แทน (ตาโป๋เป่าปี่)
- ตอกย้ำกันอีกครั้งกับ 60 ผลงานรัฐบาล ปชป.
- ฟ้ากับแดงปรองดองกันแล้ว?
-
▼
10 มิ.ย.
(8)
-
▼
มิถุนายน
(153)