โดย ยินดี วัชรพงศ์ ต่อสุวรรณ
จากการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554
ซึ่งมีผลการนับคะแนนพรรคเพื่อไทยประสบความสำเร็จได้ ส.ส.มา 265 จากทั้งหมด
500 ในระหว่างระยะเวลาที่รอการพิจารณาของ
กกต.เพื่อรับรองผลการเลือกตั้งซึ่งมีระยะเวลา 30 วันนั้น
ก็มีข่าวที่เกิดขึ้นในต่างประเทศและนำมาขยายผลภายในประเทศทำนองว่า
การตรวจสอบของ กกต.เพื่อรับรองผลการเลือกตั้งนั้น เป็นการรัฐประหารโดยกฎหมาย ซึ่ง
ต่อมาผู้เขียนก็ได้อ่านคอลัมน์หนังสือพิมพ์มติชน
ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ชั้นนำที่มีชื่อในการเสนอข้อเท็จจริงและในทางวิชาการ
ซึ่งเป็นที่ยอมรับของสังคมในการติดตามข่าวสารบ้านเมือง
และในการแสวงหาความรู้ได้อย่างหลากหลายในหนังสือพิมพ์ดังกล่าว
ในคอลัมน์ดังกล่าวใช้ชื่อว่า “รัฐประหารซ้อนโดยกระบวนการกฎหมาย” โดย
ในเนื้อหาสาระนั้นจะกล่าวถึงการปฏิวัติรัฐประหารที่ได้เกิดขึ้นในเดือน
กันยายน 2549
และการเคลื่อนไหวของบุคคลซึ่งเกี่ยวกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหลาย
คนที่ไปดำเนินการยื่นเรื่องราวให้กับ กกต.เพื่อยุบพรรคการเมืองหลายพรรค
และยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งเพื่อให้ศาลสั่งว่าการเลือกตั้งเป็น
โมฆะ ฯลฯ (มติชนรายวัน 16 กรกฎาคม 2554 )
ด้วยความเคารพงานในวิชาการวิชาชีพของสื่อมวลชน
ซึ่งมีอิทธิพลในสังคมเป็นอย่างสูง การใช้คำว่า
“รัฐประหารซ้อนโดยกระบวนการกฎหมาย” โดยสื่อหนังสือพิมพ์นั้น
เป็นการใช้ถ้อยคำที่อาจทำให้สังคมไขว้เขวเข้าใจผิดได้ว่า
กฎหมายเป็นเครื่องมือของความชั่วร้าย เป็นกระบวนการชั่วร้าย
เพราะสามารถใช้กฎหมายยึดอำนาจทำรัฐประหารได้ เพราะคำว่า
“รัฐประหารซ้อนโดยกระบวนการทางกฎหมาย” ไม่ใช่เป็นคำในทางวิชาการ
และไม่มีหลักวิชาการในกรณีเช่นนี้
ซึ่งแท้จริงแล้วการใช้กฎหมายหรือการดำเนินการโดยกระบวนการทางกฎหมาย
ไม่ใช่เป็นการรัฐประหาร หรือยึดอำนาจรัฐมาจากผู้ใดผู้หนึ่งแต่อย่างใด
แต่เป็นการดำเนินการเพื่อให้ประเทศยังคงไว้ซึ่งความเป็นนิติรัฐ
และใช้กฎหมายเป็นหลักเพื่อให้เกิดนิติธรรมในบ้านเมือง
ถ้าประเทศไม่เป็นนิติรัฐไม่มีนิติธรรมแล้ว
ประเทศก็ล่มสลายได้
เพราะไม่มีหลักกติกาอะไรที่จะยึดเหนี่ยวให้คนในชาติมีระเบียบวินัยที่จะอยู่
ร่วมกันอย่างสันติสุขได้
การรอฟังผลการเลือกตั้งแล้วมีการดำเนินการทางกฎหมายเกิดขึ้น
หากไม่มีผู้ใดทำผิดกฎหมายเลือกตั้งหรือรัฐธรรมนูญแล้ว
การรับรองผลการเลือกตั้งก็จะต้องเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
การใช้สิทธิดำเนินกระบวนการทางกฎหมายของบุคคลเพื่อเรียกร้องให้มีการ
ยุบพรรคการเมืองก็ดี หรือเรียกร้องให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะก็ดี
เป็นการใช้สิทธิของบุคคล (Individual Right)
และการใช้สิทธิของบุคคลในกรณีเกี่ยวกับสิทธิในการเลือกตั้งดังกล่าว จะ
เป็นกรณีที่มิได้มีเหตุเกิดจากการกระทำของบุคคลผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งแต่
อย่างใด
แต่จะมีเหตุที่เกิดจากการกระทำของผู้มีสิทธิเลือกตั้งของพรรคการเมือง
หรือของบุคคลอื่นที่สนับสนุน ช่วยเหลือผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
หรือพรรคการเมือง หรืออาจเกิดจากการดำเนินการเลือกตั้งของ
กกต.หรือเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในการเลือกตั้ง
ที่เป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือขัดต่อรัฐธรรมนูญ ก็อาจเป็นไปได้ทั้งสิ้น
แต่การใช้สิทธิของบุคคลเพื่อให้มีการยุบพรรคการเมือง
หรือให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะนั้น ก็เพราะผลของการกระทำดังกล่าว
ได้ก่อให้เกิดผลทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริตและเที่ยงธรรมที่เกิดขึ้นเป็น
สาธารณะต่อบุคคลผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งทั้งหมดหรือเขตเลือกตั้ง
ทั้งประเทศ
หรืออาจทำให้การเลือกตั้งนั้นไม่เป็นไปตามวิถีทางในระบอบประชาธิปไตยตามที่
บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
อันมีผลทำให้การเลือกตั้งทั้งประเทศไม่สุจริตและเที่ยงธรรม การขอให้ยุบพรรคการเมืองหรือการขอให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะจึงจำเป็นต้องเกิดขึ้นเพื่อให้บ้านเมืองมีขื่อมีแป
การใช้สิทธิส่วนบุคคลของผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งที่ดำเนิน
กระบวนการทางกฎหมาย จึงมิใช่เป็นการรัฐประหารโดยกระบวนการทางกฎหมาย
แต่เป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของบุคคล
เพื่อให้การเลือกตั้งที่ได้มีการเลือกบุคคลขึ้นมาเป็นผู้ปกครองตนเองนั้น
เป็นการเลือกตั้งที่สุจริตและเที่ยงธรรม
แม้ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่จะเลือกพรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่งขึ้นมา
เป็นผู้มีอำนาจในการปกครองด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นก็ตาม
แต่สิทธิของผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งจำนวนมากนั้น
ก็ไม่อาจลบล้างการกระทำอันไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือขัดต่อรัฐธรรมนูญของผู้สมัคร
รับเลือกตั้ง หรือของพรรคการเมือง หรือของ
กกต.หรือเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในการจัดการเลือกตั้งที่ได้กระทำโดยไม่ชอบ
ด้วยกฎหมายหรือขัดต่อรัฐธรรมนูญนั้น
ให้กลายเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายและชอบด้วยรัฐธรรมนูญได้แต่อย่างใดไม่
ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งจำนวนมากลงคะแนนเสียงให้ก็ไม่ใช่เป็นหลักประกัน
ว่า การเลือกตั้งนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพราะ
ประชาชนหรือผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งไม่ใช่เป็นวัตถุแห่งการเลือกตั้ง
ประชาชนไม่ใช่เป็นเครื่องมือของการเลือกตั้ง
การเลือกตั้งไม่ใช่กระทำขึ้นเพื่อนักการเมือง หรือพรรคการเมือง
เพราะเพียงต้องการให้มีผู้ปกครองตนเท่านั้น
แต่การเลือกตั้งต้องกระทำขึ้นเพื่อประชาชน เพื่อผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง
และเพื่อศักดิ์ศรีของความเป็นชาติ การเลือกตั้งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ไม่ว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำของนักการเมือง ของพรรคการเมือง หรือแม้แต่ของ
กกต.หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐจึงต้องถูกตรวจสอบทั้งสิ้น
เพราะการเลือกบุคคลขึ้นเป็นผู้ปกครองตนนั้นไม่ใช่เรื่องสุกเอาเผากินหรือทำ
งานให้พ้นตัว
การมองย้อนหลังในอดีตที่มีการรัฐประหารเพื่อจะนำมาอ้างเป็นเหตุผลใน
ปัจจุบัน ก็จะต้องมองถึงการกระทำในอดีตที่เป็นต้นเหตุให้เกิดการกระทำ
(เกิดปฏิวัติ)
นั้นด้วยว่าเกิดจากการกระทำของใครและกระทำการอย่างไรในอดีตด้วย
หากไม่มีการกระทำอันเป็นการทุจริตคอร์รัปชันในอดีต ไม่มีการใช้รัฐธรรมนูญปี
2540 จนได้ชื่อว่ารัฐธรรมนูญได้ตายไปแล้ว ซึ่งเป็นการใช้ “อำนาจรัฐ”
ตามอำเภอใจนั้น การปฏิวัติรัฐประหารก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้ในเดือนกันยายน 2549
เฉกเช่นเดียวกับการใช้สิทธิของบุคคลที่มีการดำเนินการขอให้ยุบพรรค
การเมือง หรือขอให้ศาลสั่งให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ
ซึ่งก็จะต้องมองย้อนหลังในอดีตซึ่งเป็นที่มาของการกระทำในปัจจุบันด้วยว่า
เกิดจากการกระทำของใครและกระทำอย่างไรในอดีตด้วย
โดยมองย้อนหลังไปเพียงไม่เกิน 20 วันก่อนวันลงคะแนนเลือกตั้ง
ก็จะปรากฏเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดฝันว่าจะเกิดขึ้น
เพราะมีการเดินทางไปต่างประเทศของผู้มีอำนาจสูงสุดในการจัดการเลือกตั้งที่
เดินทางไปต่างประเทศพร้อมกันถึง 4 คน ในจำนวน 5 คน
โดยมีข่าวออกสู่สาธารณะเพียงผิวเผินว่า กกต. 4
คนที่เดินทางไปต่างประเทศนั้นไปดูงานการเลือกตั้งในต่างประเทศ
โดยหน่วยงานของกระทรวงการต่างประเทศได้เชิญไปให้ดูงาน
และการดูงานนั้นก็เป็นการไปดูงานการเลือกตั้งที่
กกต.เป็นผู้สั่งให้จัดให้มีการเลือกตั้งเพื่อให้คนไทยในต่างประเทศไปลงคะแนน
เลือกตั้ง
การไปต่างประเทศดังกล่าวจึงมิใช่เป็นการไปดูงานในต่างประเทศเพื่อนำ
มาเป็นแบบอย่างของการเลือกตั้งในประเทศได้แต่อย่างใดไม่
แต่เป็นการไปเพื่อตรวจงานการเลือกตั้งที่ กกต.ได้สั่งให้สถานทูต
หรือสถานกงสุลดำเนินการเลือกตั้งให้เท่านั้น
การไปตรวจงานในลักษณะเช่นนี้จึงเป็นงานของเจ้าหน้าที่ในระดับปฏิบัติการก็
สามารถไปตรวจดูความเรียบร้อยของการเลือกตั้งในต่างประเทศได้
ซึ่งแทบจะไม่มีสื่อมวลชนไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์
หรือโทรทัศน์ติดตามข่าวสถานการณ์การเดินทางไปต่างประเทศของ กกต.เลย
ว่าเหตุใดจึงเดินทางไปต่างประเทศพร้อมกันถึง 4 คน
ในเวลากระชั้นชิดกับการเลือกตั้งเช่นนั้น
และกระทรวงการต่างประเทศมีเหตุผลใดจึงได้เชิญให้ไปดูงานการเลือกตั้งที่ตน
เองเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการเลือกตั้งในต่างประเทศ
กระทรวงการต่างประเทศมีบุคลากรที่มีความสามารถเชี่ยวชาญเป็นเลิศใน
การจัดการเลือกตั้งที่จะต้องเชิญให้
กกต.ไปดูงานเพื่อนำมาเป็นแบบอย่างในการจัดการเลือกตั้งในประเทศในเวลาอัน
กระชั้นชิดด้วยเช่นนั้นหรืออย่างไร
และรัฐบาลได้รู้เห็นเป็นใจให้กระทรวงการต่างประเทศกระทำการเช่นนั้นด้วยหรือ
ไม่ หรือมีอะไรแอบแฝงอยู่เบื้องหลังของการไปต่างประเทศดังกล่าวหรือไม่
และแทบจะไม่มีพรรคการเมืองพรรคใดที่แสดงความวิตกกังวลหรือห่วงใยกับการไม่
อยู่ในประเทศของ กกต.ทั้ง 4 เลย
ในขณะเดียวกัน กกต.ที่เหลืออยู่ก็ได้ให้สัมภาษณ์ในทำนองว่า
กกต.ไปต่างประเทศ 4 คนเหลือเพียงคนเดียว
ไม่สามารถพิจารณาการกระทำความผิดของผู้สมัครรับเลือกตั้งโดยการออกใบเหลือง
ใบแดงในระหว่างนั้นได้ การออกมาให้ข่าวเช่นนั้น
ในความรู้สึกของวิญญูชนทั่วไปย่อมเข้าใจได้ว่า เป็นการส่งสัญญาณไม่ให้
กกต.ในท้องถิ่น หรือ
กกต.ในเขตเลือกตั้งไปตรวจจับการกระทำความผิดเกี่ยวกับการเลือกตั้งมาให้
กกต.ส่วนกลางพิจารณาวินิจฉัย เพราะไม่มี
กกต.ครบองค์คณะที่จะดำเนินการให้ได้
เมื่อไม่มี
กกต.อยู่ปฏิบัติหน้าที่ในประเทศเพื่อควบคุมการเลือกตั้งให้เป็นไปโดยสุจริต
และเที่ยงธรรม ไม่มี กกต.ที่จะไปควบคุม ตรวจสอบ
จับผิดการทุจริตการเลือกตั้งเสียแล้ว
ประชาชนโดยทั่วไปได้พบเห็นการเลือกตั้งในช่วงเวลานั้น
มีการหาเสียงการโฆษณาชวนเชื่อ มีการประกาศต่อสาธารณชน
โดยสัญญาจะให้กันอย่างถล่มทลายของหลายพรรคการเมือง
มีการโฆษณาชวนเชื่อชนิดที่ประกาศล้มกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันได้
โดยไม่มีความเกรงกลัวต่อการกระทำความผิดกฎหมายเลือกตั้งหรือกระทำการขัดต่อ
รัฐธรรมนูญแต่อย่างใดเลย
ซึ่งไม่มีการเลือกตั้งใดในประเทศที่มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่จะ
อนุญาตให้มีการหาเสียงเลือกตั้งเช่นนั้นได้
ประชาชนทั่วไปที่ติดตามก็จะเห็นข่าวและภาพการหาเสียงเลือกตั้งของบาง
สื่อ (ที่ใช้ทรัพยากรของรัฐ)
ที่มีการทำข่าวการหาเสียงเลือกตั้งนั้นมิได้มีลักษณะของการทำข่าวโดยทั่วไป
แต่เป็นการทำข่าวที่อิงไปในลักษณะเป็นการโฆษณาสนับสนุนพรรคการเมืองที่รัก
และนักการเมืองที่ชอบของตนเองเป็นการเฉพาะ (ไม่ใช่เป็นการรับจ้างโฆษณา)
อันเป็นการที่สื่อเข้าไปกระทำการที่มีผลกระทบต่อการเลือกตั้ง
ทำให้เกิดผลต่อการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งได้อย่างอเนกอนันต์
เมื่อไม่มี กกต.อยู่ปฏิบัติหน้าที่ควบคุมการเลือกตั้งไม่มี
กกต.ที่จะตรวจสอบ จับผิดการทุจริตการเลือกตั้งดังกล่าว
ย่อมเกิดการกระทำอันที่กระทบต่อสิทธิของประชาชนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งได้
การใช้สิทธิของบุคคลในการดำเนินการเพื่อให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ
หรือยุบพรรคการเมือง จึงเป็นการ “ใช้อำนาจรัฐ”
เพื่อตรวจสอบการใช้อำนาจหรืออิทธิพลในการเลือกตั้งของพรรคการเมือง
นักการเมือง ตลอดจนการใช้อำนาจรัฐของ กกต.ในการควบคุมการเลือกตั้ง การ
ใช้สิทธิของบุคคลดังกล่าวจึงมิใช่เป็นการใช้อำนาจเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐ
ของตนเองแต่อย่างใด
แต่เป็นการใช้สิทธิเพื่อคุ้มครองสิทธิของบุคคลให้มีสิทธิเลือกตั้งได้โดย
สุจริตและเที่ยงธรรม
อันเป็นรากฐานของการปกครองประเทศในระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น
คำว่า “รัฐประหารซ้อนโดยกระบวนการทางกฎหมาย” หรือ
“รัฐประหารกำมะหยี่” จึงเป็นการใช้วาทศิลป์เพื่อให้
กกต.หรือศาลมีความหวาดกลัว หวั่นไหว หรือมีอคติ หรือเกิดภยาคติ
ที่ไม่อาจจะดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายของตนเองได้
ซึ่งก็จะมีผลทำให้ประเทศขาดไร้ซึ่งระบบนิติรัฐ
อันเป็นผลกระทบต่อรากฐานของความมั่นคงแห่งรัฐ
เพราะเป็นการปฏิเสธไม่ยอมรับในหลักสิทธิและเสรีภาพของบุคคลตามหลักสิทธิ
มนุษยชนที่ปัจเจกบุคคลจะพึงมีต่อสิทธิในการเลือกตั้ง
หากผู้ใช้อำนาจรัฐได้ใช้อำนาจรัฐโดยสุจริต
ไม่ทำลายอำนาจรัฐเพื่อแสวงหาประโยชน์สำหรับตนเองและผู้อื่นโดยไม่ชอบด้วย
กฎหมาย หรือโดยทุจริตแล้ว อำนาจรัฐนั้นก็ไม่อาจมาทำร้ายผู้ใช้อำนาจได้
และไม่อาจเกิดรัฐประหารได้ไม่ว่าในกรณีใด
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
รีโมท
ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น