มาดูป้ายหาเสียงนักการเมืองกันบ้าง
โดย ......
old clumsy
"รถไฟฟ้า 10 สาย 20 บาท ตลอดสาย "...( ไอ้สมรักษ์ ไอ้ขี้โม้ )
" ลาทีน้ำแล้ง น้ำท่วม ..สร้างเขื่อนยักษ์กั้นน้ำท่วม .." ( แด๊กกันจนน้ำลายบูดท่วมปากล่ะไม่ว่า)
" คืนประชาธิปไตยให้ประเทศ " ( ก็เมิงเอาไปซะนานละซี..)
" คืนความสุขให้ประชาชน" ( แล้วเสือกเผาบ้านประชาชนทำไม )
" หาที่พักให้หนี้ "
( แจกบัตรเครดิตให้ชาวนานี่นะ หาที่พักให้หนี้เพิ่มพูน )
" เดินหน้าต่อไปเพื่อคนไทยทุกคน " ( เดินหน้าขายชาติเพื่อเขมรทุกคน )
" เรียนฟรี 15 ปี อย่างมีคุณภาพ " ( แค่ปีเดียวก็ไม่มีคุณภาพ ถ้า 15 ปี จะเหลือรึ)
" เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ ตรึงราคาดีเซลต่อไป " ( เพิ่มค่าแรงเท่าไหร่ ก็ไล่ตูดราคาสินค้าไม่ทันร๊อก.....ตรึงดีเซล เฉพาะหน้าเลือกตั้งล่ะสิ..เดี๋ยวเมิงก็ขึ้นราคา )
" เลือกนายกหล่อ .." ( เลือกเฮียฮ้อดีกว่า )
" เลือกนายกหญิง ( เลือกลิงดีกว่า )
" เลือกยิ่งลักษณ์ ( กระอักละเมิงทีนี้)
" เลือกอภิสิทธิ์ ( ชิท..แม่ม...)
" เบื่อนักการเมือง เลือกชูวิทย์ " ( เบื่อเมิงด้วย มุขเก่าๆ ทำหน้าเหมือนถูกช้างเหยียบ )
" รักษ์สันติ " ( ตอนเค๊าเผาเมือง ไปสันติอยู่ที่ไหน )
" พรรครักประเทศไทย" ( ทำไมไม่ไล่เขมร ไปมุดอ่างอยู่ไหน ")
ฯลฯ
" การเมืองใหม่...( ..เน่าสนิทศิษย์ รฟท....50 ปี ยังเหม็นขี้เหมือนเดิม )
ฯลฯ
วันพุธที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
ความผิดของทักษิณ โดย Kwon Hae-Il ·
ความผิดของทักษิณ
1.โครงการบำบัดน้ำเสียคลองด
2.โครงการก่อสร้างสนามบินสุ
3.การทุจริตการก่อสร้างถนนว
4.การออกพระราชกำหนดแก้ไขอั
5.โครงการอิลิทการ์ด มูลค่า 4,000 ล้านบาท
6.โครงการสายการบินแอร์เอเช
7.โครงการก่อสร้างถนนสายรัช
8.โครงการโซล่าโฮม มูลค่า 7,631 ล้านบาท
9.การให้เช่าคอมพิวเตอร์ของ
10.การขายที่ดินกองทุนฟื้นฟ
11.การหาผลประโยชน์จากสถานี
12.การหาประโยชน์จากสถานีโท
12.การหาประโยชน์จากสถานีโท
13.การปั่นหุ้นในตลาดหลักทร
14.ผลประโยชน์ทับซ้อนจากการ
15.การทุจริตจัดซื้อรถพยาบา
16.การทุจริตการจัดซื้อคอมพ
17.การทุจริตโครงการมอเตอร์
18.การปล่อยเงินกู้ให้ประเท
19.การให้สิทธิพิเศษ BOI ยกเว้นภาษีให้บริษัท IP STAR มูลค่า 16,000 ล้านบาท
20.การใช้ที่ดินวัดทำสนามกอ
21.การอนุมัติบริษัทจีนต่อเ
22.กรณีการแก้สัญญาสัมปทาน ITV มูลค่า 17,410 ล้านบาท
23การเสียค่าปรับกรณีค่าโง่
24.การทุจริตจำนำพืชผลทางกา
25.การทุจริตโครงการก่อสร้า
26 ขายหุ้นชินคอร์ปมูลค่า 73,300 ล้านบาท หลีกเลี่ยงการเสียภาษีให้ชา
27 ขายสมบัติชาติรัฐวิสาหกิจ 8 แห่ง มูลค่ามากกว่า 9 แสนล้านบาท
Prof.Crane Brinton ได้ให้แนวคิดเกี่ยวกับผลที่ตามมาเมื่อสิ้นสุดการปฏิว ัติ รัฐประหาร โดย ดร.ไก่ Tanond
Prof.Crane Brinton
ได้ให้แนวคิดเกี่ยวกับผลที่ตามมาเมื่อสิ้นสุดการปฏิวัติ รัฐประหาร ไว้อย่างน่าสนใจว่า “ในท้ายสุด การปฏิวัติเกือบทั้งสิ้นก็จบลง ด้วยการวกกลับไปสู่ที่ที่มันเริ่มต้น มีแนวคิดใหม่ๆเกิดขึ้นบ้าง ผู้คนในโครงสร้างอำนาจเปลี่ยนมือไปบ้างเล็กน้อย ควบคู่ไปกับ การปฏิรูปในส่วนโน้นส่วนนี้ และที่สำคัญคือการตัดทิ้งส่วนที่เลวร้ายที่สุดของระบบเก่า นั้นออกไป หากแต่ว่า สถานภาพของชนชั้นปกครองนั้นกลับไม่ได้เปลี่ยนตามไป คงอยู่และเป็นไปตามเดิม ในทันทีที่การหยิบฉวยอำนาจได้เริ่มขึ้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง”
กรอบ แนวคิดทฤษฏีข้างต้นนี้ หากได้เข้าใจกันแล้ว ผมเชื่อมั่นว่า สามารถนำใช้เพื่ออธิบายขยายความ การเมืองการปกครองของบ้านเรา นับแต่ช่วงที่เกิดการรัฐประหาร 19 กันยา 2549 ผ่านเลยมาจนถึงการเลือกตั้ง เมื่อปลายปี2551และสำหรับปี2554 ที่กำลังลุ้นกันตัวโก่งได้เป็นอย่างดี ว่าทำไม "ระบอบทักษิณ" ถึงไม่ยอมตาย ไม่แผ่วปลาย กระทั่งไม่ยอมล่มสลายไป ได้ดังนี้ครับ -
1.จากทฤษฏีข้างต้น พิสูจน์ให้เราได้เห็นแล้วว่า ..ถึงแม้จะมีการตัดส่วนที่เลวร้ายที่สุดของอำนาจเก่า ระบบเก่าที่ก็คือทักษิณนั้นออกไปจากการรัฐประหาร ทว่าระบบการเมืองและวัฒนธรรมทางการเมือง รวมถึงชนชั้นปกครองหรือนักการเมือง ที่จะเข้าไปสิงสถิตย์กันในระบบ และนำใช้วัฒนธรรมทางการเมืองของทุกๆฝ่าย รวมทั้งตัวแทนของทักษิณด้วย ก็ยังครองสถานะที่เคยมีและเป็นมาเช่นเดิม เช่นนี้แล้วเมื่อการเลือกตั้งเมื่อ 2551 เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง หลายฝ่ายจึงทำนายทายทักกันว่า น่าจะผ่านพ้นยุคสมัยของทักษิณกันไปแล้ว แต่การก็หาได้เป็นดังว่า ขนาดทักษิณไปแล้ว บ้านเลขที่111ไปแล้ว พรรคไทยรักไทยไปแล้ว พรรคใหม่และองคาพยพของทักษิณ ทำไมยังสามารถกลับมามีเสียงข้างมากในสภาได้อีก?
2.คำตอบของข้อ1. ก็คือ เพราะระบบ วัฒนธรรมทางการเมือง ยังคงถูกปล่อยให้อยู่ตามเดิม และเมื่อ2สิ่งนี้ยังดำรงอยู่ "คน"จึงไม่ใช่อุปสรรค จะใส่ใครเข้าไปแทนก็ย่อมทดแทนกันได้ ตราบใดที่ 2 สิ่งนี้ยังเป็น Process ที่พร้อมจะให้กำเนิด Output แบบเดิมๆ เช่นนี้แล้ว สำหรับอนาคตการเมืองข้างหน้า ขอให้ตระหนักถึงจุดให้มากเข้าไว้ ว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เช่นฉบับเมื่อครั้งปี50 ที่คณะรัฐประหารหยิบจับขึ้นมาทำนั้น ไม่เวิร์ค แล้วก็ไม่เคยเวิร์คเลย เพราะเป็นการเกาไม่ถูกที่คัน มิหนำซ้ำยังเป็นการทำให้เสียเวลา เสียโอกาส และเสียความรู้สึกของผู้คนในชาติอีกต่างหาก
3. ทำไมรัฐธรรมนูญปี50จึงไม่เวิร์ค? โดยหัวใจสำคัญก็เพราะ เป็นการแก้แต่เพียงเฉพาะวิธีการทางการเมือง ในบางเรื่องบางประเด็นที่ไม่ได้แตะไปที่หัวใจสำคัญ เช่น ของปี40 มีลักษณะของ Strong Executive ให้อำนาจฝ่ายบริหารมาก / พยายามให้รัฐบาลมีความมั่นคง ส่วนของปี 50 ก็เพียงแก้ให้การเลือกตั้งนั้นยุ่งยากขึ้น จะได้ซื้อเสียงกันยากขึ้น อำนาจจะได้ไม่กระจุกตัวอีก เพื่อคลาย strong executiveนี้ลง สาระสำคัญสำหรับผมเองมีอยู่เท่าเนี่ย
และหากนำทฤษฏีระบบ input - process - output มาใช้เทียบเคียง เราจะพบว่า ตัว input ที่หมายรวมถึงมาตรการ และข้อกำหนดที่เป็นปราการด่านแรกต่างๆ ที่"ควรจะมี" ทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้ง ไม่ได้ถูกจับต้องเพื่อสกัดกั้น เพื่อสกรีน การเข้าสู่อำนาจแบบเดิมๆกันเลย กระทั่งเข้าสู่อำนาจไปแล้ว การเข้าถึงตำแหน่งรัฐมนตรีก็มิได้ มีข้อกำหนดที่เหมาะสมไว้คอยจำกัด "นายทุน"เอาไว้ด้วย เช่นนี้แล้วคนของระบบทักษิณ จึงได้เฮโลเข้ามากันเป็นฝูงใหญ่อย่างที่หลายคนไม่คาด คิด กัน ผมเห็นว่ามันเสียของนะรัฐประหารปี49นี่ ผมถึงได้เน้นย้ำเสมอว่า หากจะเปลี่ยนกันครั้งหน้า มันต้องมีพิมพ์เขียว ออกแบบตัวบ้านตัวอาคารและระบบสาธารณูปโภค กันไว้ก่อนมิเช่นนั้นแล้ว ก็คงเสียเปล่าอีกเหมือนเดิมๆ
4. ทำไมแม้กระทั่งมาถึงการเลือกตั้งครั้งนี้แล้ว คนของระบอบทักษิณ ที่ได้ผนวกรวมเอาพวกเสื้อแดงล้มเจ้าเข้าไปด้วย จึงยังดูจะมีภาษีกว่าพรรคอื่นๆโดยเฉพาะปชป.เอง อันนี้ตอบไม่ยากเลย ก้เพราะการเลือกตั้งเมื่อปี51 กับ 54นี้ มันไม่ได้มีปัจจัยนำ ปัจจัยแวดล้อมใดๆที่แตกต่างกันไปมากนัก และยิ่งปชป.ที่อยู่มาในอำนาจ ดันไปเอื้อไปอ่อนข้อให้ "การเผาบ้านเผาเมืองและการล้มเจ้า" ได้กลับกลายเป็นสิ่ง ที่พอจะปรองดองกันได้แบบสุดแสนจะทุเรศต่อความรู้สึกข องประชาชนกันเช่นนี้ เห็นทีประวัติศาสตร์ปี51 จะกลับมาซ้ำรอยเดิมอีกเป็นแน่ ถ้าๆๆๆๆๆๆ
5. "ประชาชนผู้ใต้ปกครอง ยังปล่อยให้การเมืองเป็นไปตามยถากรรมเดิมๆของมัน ใครให้เราไปเลือกตั้งก็ต้องไป ไปแล้วเลือกกันแบบเดิมๆต่อไป" ยังเป็นความคิดที่พวกเราคุ้นเคย เคยชิน และยินดีนำปฏิบัติ รับประกันได้หายนะมาเยือนแน่
แต่ยังดีนะครับ ที่เรามีแกนนำของภาคประชาชนอันทรงพลัง ที่คอยขับเคลื่อนกดดันให้รัฐแก้ไขในสิ่งผิดมาอย่างต่ อเนื่อง ได้นำการรณรงค์โหวตโน นี้มาใช้เป็นไม้ตาย เพื่อต่อกรกับผลของการเลือกตั้งในครั้งนี้ ที่ก็จะสกปรก ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และที่สำคัญสุดจะขาดไร้ซึ่ง "ความชอบธรรมทางการเมือง" อันเป็นการสะท้อนถึงความ"ไม่"พึงพอใจ และความ"ไม่"ต้องการที่จะดำรงไว้ซึ่งระบบการเมืองน้ำ เน่า แบบเดิมๆกันอีกต่อไป
ถ้า เราไม่อยากให้ประวัติศาสตร์การเลือกตั้งปี51 กลับมาซ้ำรอยเดิมในปี 54 นี้ ก็มีเพียงหนทางเดียวที่จะใช้ปฏิเสธได้ นั่นคือ การร่วมมือร่วมใจกันทั้งชาติ "โหวตโน" บอกพวกนักการเมืองน้ำเน่ากันไปว่า ประชาชนผู้มีสิทธิ์อย่างเต็มเปี่ยมนี้ จะไม่ทน ไม่สมยอม จะไม่ปล่อยให้ การเมืองเป็นเรื่องของนักการเมืองอีกต่อไปแล้ว นับแต่นี้ไป การเมืองจะต้องเป็นเรื่องของประชาชน โดยพวกเราจะลิขิตขีดเส้นให้นักการเมืองเดินเอง ด้วยฉันทามติ ด้วยสัญญาประชาชนคมที่พวกเราจะมีร่วมกัน เพื่อแก้ไขในสิ่งผิดที่นักการเมืองได้กระทำมา และเดินหน้าไปเพื่อการเปลี่ยนแปลงไปอย่างพร้อมเพรียง กัน ทุกผู้ทุกนาม
มาร่วมกันเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่กันนะครับ CHANGE FOR GOOD!..FOR THE BETTER AND FOREVER!
ได้ให้แนวคิดเกี่ยวกับผลที่ตามมาเมื่อสิ้นสุดการปฏิวัติ รัฐประหาร ไว้อย่างน่าสนใจว่า “ในท้ายสุด การปฏิวัติเกือบทั้งสิ้นก็จบลง ด้วยการวกกลับไปสู่ที่ที่มันเริ่มต้น มีแนวคิดใหม่ๆเกิดขึ้นบ้าง ผู้คนในโครงสร้างอำนาจเปลี่ยนมือไปบ้างเล็กน้อย ควบคู่ไปกับ การปฏิรูปในส่วนโน้นส่วนนี้ และที่สำคัญคือการตัดทิ้งส่วนที่เลวร้ายที่สุดของระบบเก่า นั้นออกไป หากแต่ว่า สถานภาพของชนชั้นปกครองนั้นกลับไม่ได้เปลี่ยนตามไป คงอยู่และเป็นไปตามเดิม ในทันทีที่การหยิบฉวยอำนาจได้เริ่มขึ้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง”
กรอบ แนวคิดทฤษฏีข้างต้นนี้ หากได้เข้าใจกันแล้ว ผมเชื่อมั่นว่า สามารถนำใช้เพื่ออธิบายขยายความ การเมืองการปกครองของบ้านเรา นับแต่ช่วงที่เกิดการรัฐประหาร 19 กันยา 2549 ผ่านเลยมาจนถึงการเลือกตั้ง เมื่อปลายปี2551และสำหรับปี2554 ที่กำลังลุ้นกันตัวโก่งได้เป็นอย่างดี ว่าทำไม "ระบอบทักษิณ" ถึงไม่ยอมตาย ไม่แผ่วปลาย กระทั่งไม่ยอมล่มสลายไป ได้ดังนี้ครับ -
1.จากทฤษฏีข้างต้น พิสูจน์ให้เราได้เห็นแล้วว่า ..ถึงแม้จะมีการตัดส่วนที่เลวร้ายที่สุดของอำนาจเก่า
2.คำตอบของข้อ1. ก็คือ เพราะระบบ วัฒนธรรมทางการเมือง ยังคงถูกปล่อยให้อยู่ตามเดิม และเมื่อ2สิ่งนี้ยังดำรงอยู่ "คน"จึงไม่ใช่อุปสรรค จะใส่ใครเข้าไปแทนก็ย่อมทดแทนกันได้ ตราบใดที่ 2 สิ่งนี้ยังเป็น Process ที่พร้อมจะให้กำเนิด Output แบบเดิมๆ เช่นนี้แล้ว สำหรับอนาคตการเมืองข้างหน้า ขอให้ตระหนักถึงจุดให้มากเข้าไว้ ว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เช่นฉบับเมื่อครั้งปี50 ที่คณะรัฐประหารหยิบจับขึ้นมาทำนั้น ไม่เวิร์ค แล้วก็ไม่เคยเวิร์คเลย เพราะเป็นการเกาไม่ถูกที่คัน มิหนำซ้ำยังเป็นการทำให้เสียเวลา เสียโอกาส และเสียความรู้สึกของผู้คนในชาติอีกต่างหาก
3. ทำไมรัฐธรรมนูญปี50จึงไม่เวิร์ค? โดยหัวใจสำคัญก็เพราะ เป็นการแก้แต่เพียงเฉพาะวิธีการทางการเมือง ในบางเรื่องบางประเด็นที่ไม่ได้แตะไปที่หัวใจสำคัญ เช่น ของปี40 มีลักษณะของ Strong Executive ให้อำนาจฝ่ายบริหารมาก / พยายามให้รัฐบาลมีความมั่นคง ส่วนของปี 50 ก็เพียงแก้ให้การเลือกตั้งนั้นยุ่งยากขึ้น จะได้ซื้อเสียงกันยากขึ้น อำนาจจะได้ไม่กระจุกตัวอีก เพื่อคลาย strong executiveนี้ลง สาระสำคัญสำหรับผมเองมีอยู่เท่าเนี่ย
และหากนำทฤษฏีระบบ input - process - output มาใช้เทียบเคียง เราจะพบว่า ตัว input ที่หมายรวมถึงมาตรการ และข้อกำหนดที่เป็นปราการด่านแรกต่างๆ ที่"ควรจะมี" ทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้ง ไม่ได้ถูกจับต้องเพื่อสกัดกั้น เพื่อสกรีน การเข้าสู่อำนาจแบบเดิมๆกันเลย กระทั่งเข้าสู่อำนาจไปแล้ว การเข้าถึงตำแหน่งรัฐมนตรีก็มิได้ มีข้อกำหนดที่เหมาะสมไว้คอยจำกัด "นายทุน"เอาไว้ด้วย เช่นนี้แล้วคนของระบบทักษิณ จึงได้เฮโลเข้ามากันเป็นฝูงใหญ่อย่างที่หลายคนไม่คาด
4. ทำไมแม้กระทั่งมาถึงการเลือกตั้งครั้งนี้แล้ว คนของระบอบทักษิณ ที่ได้ผนวกรวมเอาพวกเสื้อแดงล้มเจ้าเข้าไปด้วย จึงยังดูจะมีภาษีกว่าพรรคอื่นๆโดยเฉพาะปชป.เอง อันนี้ตอบไม่ยากเลย ก้เพราะการเลือกตั้งเมื่อปี51 กับ 54นี้ มันไม่ได้มีปัจจัยนำ ปัจจัยแวดล้อมใดๆที่แตกต่างกันไปมากนัก และยิ่งปชป.ที่อยู่มาในอำนาจ ดันไปเอื้อไปอ่อนข้อให้ "การเผาบ้านเผาเมืองและการล้มเจ้า" ได้กลับกลายเป็นสิ่ง ที่พอจะปรองดองกันได้แบบสุดแสนจะทุเรศต่อความรู้สึกข
5. "ประชาชนผู้ใต้ปกครอง ยังปล่อยให้การเมืองเป็นไปตามยถากรรมเดิมๆของมัน ใครให้เราไปเลือกตั้งก็ต้องไป ไปแล้วเลือกกันแบบเดิมๆต่อไป" ยังเป็นความคิดที่พวกเราคุ้นเคย เคยชิน และยินดีนำปฏิบัติ รับประกันได้หายนะมาเยือนแน่
แต่ยังดีนะครับ ที่เรามีแกนนำของภาคประชาชนอันทรงพลัง ที่คอยขับเคลื่อนกดดันให้รัฐแก้ไขในสิ่งผิดมาอย่างต่
ถ้า เราไม่อยากให้ประวัติศาสตร์การเลือกตั้งปี51 กลับมาซ้ำรอยเดิมในปี 54 นี้ ก็มีเพียงหนทางเดียวที่จะใช้ปฏิเสธได้ นั่นคือ การร่วมมือร่วมใจกันทั้งชาติ "โหวตโน" บอกพวกนักการเมืองน้ำเน่ากันไปว่า ประชาชนผู้มีสิทธิ์อย่างเต็มเปี่ยมนี้ จะไม่ทน ไม่สมยอม จะไม่ปล่อยให้ การเมืองเป็นเรื่องของนักการเมืองอีกต่อไปแล้ว นับแต่นี้ไป การเมืองจะต้องเป็นเรื่องของประชาชน โดยพวกเราจะลิขิตขีดเส้นให้นักการเมืองเดินเอง ด้วยฉันทามติ ด้วยสัญญาประชาชนคมที่พวกเราจะมีร่วมกัน เพื่อแก้ไขในสิ่งผิดที่นักการเมืองได้กระทำมา และเดินหน้าไปเพื่อการเปลี่ยนแปลงไปอย่างพร้อมเพรียง
มาร่วมกันเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่กันนะครับ CHANGE FOR GOOD!..FOR THE BETTER AND FOREVER!
นายกอภิสิทธิ์เป็นคนยังไงครับ
ได้มีโอกาสสอบถามความคิดวัยรุ่นไทยกับการเมืองปัจจุบัน กับคำถามสำคัญที่เราอยากรู้
เอ่อ..... น้องๆครับ พี่เกรงว่า มันจะไม่สามารถออกสื่อได้ครับ
พี่ว่ามันแรงไปครับ เอากันไม่มีเม้มเลยนะครับ
ยังไงขอบคุณน้องๆครับ พี่ขอตัวไปไปถามกลุ่มอื่นละกันครับ
เจอแล้ว!! น้องครับ พี่ขอสอบถามอะไรหน่อยนะครับ
น้องๆคิดว่านายกอภิสิทธิ์เป็นคนยังไงครับ
มาฟังความคิดของวัยรุ่นกลุ่มตัวอย่างนี้กันครับ
คิดยังไงกับการเมืองภายใต้นายกอภิสิทธิ์
ผมขอเริ่ม คำถามแรกเลยนะครับ
น้องๆคิดว่านายกอภิสิทธิ์เป็นคนยังไงครับ
เอ่อ..... น้องๆครับ พี่เกรงว่า มันจะไม่สามารถออกสื่อได้ครับ
พี่ว่ามันแรงไปครับ เอากันไม่มีเม้มเลยนะครับ
ยังไงขอบคุณน้องๆครับ พี่ขอตัวไปไปถามกลุ่มอื่นละกันครับ
เจอแล้ว!! น้องครับ พี่ขอสอบถามอะไรหน่อยนะครับ
น้องๆคิดว่านายกอภิสิทธิ์เป็นคนยังไงครับ
แล้ว ผมก็ได้ถามคำถามเดียว เพราะเกรงว่า น้องๆเค้าจะทนไม่ไหว
ขอจบการสอบถามก่อนนะครับ ดูจากอาการน้องๆแล้ว ผมอาจตายได้ครับ
ท่านนายกถ้ามาเห็นละก็ เอาผิดกับน้องๆเองนะครับ
ผมไม่ได้พูด ผมไม่เกี่ยวครับ!!!!
ตัวใครตัวมันนะน้องๆ ไปล่ะ เฟี้ยวววววววว
นารีขี่ม้าลายแข่งกับชายขี่ม้าด่าง (ตาโป๋เป่าปี่)
นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป การเมืองบ้านเราจะเข้มข้นรุนแรงยิ่งขึ้นจากการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจของพวก "สัตว์การเมือง" กลุ่มต่างๆ
คำว่า "สัตว์การเมือง" เป็นนิยามที่มีผู้ตั้งให้กับนักการเมือง ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีจนคุ้นหู โดยอาศัยพฤติกรรมในการแสดงออกของนักการเมือง ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกทางกาย ทางวาจา หรือทางความคิด เป็นตัวกำหนด
มนุษย์กับสัตว์นั้นแม้จะมีบางอย่างที่เหมือนกันก็จริง เช่น กิน นอน สืบพันธุ์ กลัวภัย หรือโกรธ เป็นต้น แต่มนุษย์กับสัตว์ก็ยังมีความแตกต่างกันที่เรื่องของธัมมะในจิตใจ มนุษย์นั้นยังรู้จักคุณธรรมความถูกต้องชั่วดี ซึ่งสัตว์ไม่มี
เพราะฉะนั้น นักการเมืองที่ถูกนำไปเปรียบเทียบว่าเป็น "สัตว์การเมือง" จึงตีความได้ว่านักการเมืองที่ไม่มีธัมมะอยู่ในหัวใจ สามารถที่จะทำอะไรก็ได้เยี่ยงสัตว์ ไม่ว่าจะแสดงออกทางกาย ทางวาจา หรือความคิด
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจอะไรกับการกระทำของพวก "สัตว์การเมือง" บ้านเราขณะนี้ ที่สามารถทำได้ทุกอย่างที่มนุษย์ทั่วไปไม่ทำกัน ต่อสู้ช่วงชิงอำนาจกันอย่างผิดทำนองคลองธรรม ไม่คำนึงถึงกฎกติกาใดๆ ทั้งสิ้นเพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะเท่านั้น
ดูการแย่งชิงอำนาจของบรรดาสัตว์บก สัตว์น้ำ และสัตว์อากาศ ขณะนี้แล้ว เห็นว่าคู่ต่อสู้สำคัญในศึกของสัตว์การเมืองครั้งนี้มีเพียงคู่เดียว คือ คู่ระหว่างหญิงกับชาย ซึ่งฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายแย่งชิงอำนาจ และฝ่ายชายเป็นฝ่ายรักษาอำนาจของตนที่เคยมีอยู่ในช่วงสองปีเศษที่ผ่าน มา โดยหวังว่าจะได้กลับมามีอำนาจต่อไปอีกครั้งหนึ่ง
จุดแข็งของฝ่ายหญิงอยู่ที่เงินและมวลชนที่ห่างไกลข้อมูลข่าวสารและ เคยตัวกับการได้รับแจก เป็นมวลชนที่ได้รับการจัดตั้งอย่างเป็นล่ำเป็นสันต่อเนื่องกันมาไม่ ต่ำกว่าสิบปี ในขณะที่จุดอ่อนของฝ่ายหญิงนั้น นอกจากประสบการณ์ทางการเมืองที่ไม่ค่อยจะมีแล้ว จุดอ่อนที่สำคัญยิ่งก็คือ เป็นตัวแทนของนักโทษเร่ร่อนที่เคยสร้างความเสียหายมากมายแก่บ้าน เมืองมาแล้วระหว่างมีอำนาจทางการเมือง รวมทั้งการทุจริตคดโกงอย่างมโหฬารเป็นที่เลื่องลือไปทั่วทั้งในประ เทศและต่างประเทศ ไม่นับพฤติกรรมที่มีผลกระทบสถาบันสูงสุด
ส่วนจุดแข็งของฝ่ายชายนั้นอยู่ที่รูปร่างหน้าตาและการศึกษา มีประสบการณ์ทางการเมืองพอควรในระดับหนึ่ง ข่าวอื้อฉาวทางทุจริตไม่ค่อยได้ยิน แต่จุดอ่อนของฝ่ายชายนั้นเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันไปทั่วในเรื่องการ ทำงานที่ไม่เอาไหน ไม่มีความกล้าหาญเด็ดขาดในการแก้ไขปัญหานอกจากการซื้อเวลาเท่า นั้น ดีแต่พูด ไม่เคยจดจำว่าเคยพูดไว้อย่างไร เป็นคนดื้อตาใส ไม่รับฟังความคิดเห็นดีๆ ของคนอื่น ยอมเป็นหุ่นเชิดให้กับคนบางคนเช่นเดียวกับฝ่ายหญิง แม้กระทั่งสมยอมให้มีการทุจริตหาเงินหาทองจากผู้ร่วมงานโดยไม่ห้าม ปราม จนได้รับสมญานามว่าเป็นคนดูต้นทางให้โจรปล้น
ด้วยคุณสมบัติของฝ่ายหญิงและฝ่ายชายดังกล่าวนี้ ถ้าคนใดคนหนึ่งได้อำนาจมาบริหารบ้านเมือง ก็ต้องกล่าวได้เต็มปากเต็มคำว่าบ้านเมืองคงต้องฉิบหายกันต่อไปไม่ สิ้นสุด เรื่องที่คิดว่า "จะมีนารีขี่ม้าขาวมากอบกู้บ้านเมือง" นั้นต้องเลิกคิด
เพราะมีแต่ "นารีขี่ม้าลาย แข่งกับชายขี่ม้าด่าง"เท่านั้น ไว้วางใจอะไรไม่ได้เลยทั้งหญิงและชายที่ว่านี้ โหวตโนไปเลยดีกว่า
คำว่า "สัตว์การเมือง" เป็นนิยามที่มีผู้ตั้งให้กับนักการเมือง ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีจนคุ้นหู โดยอาศัยพฤติกรรมในการแสดงออกของนักการเมือง ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกทางกาย ทางวาจา หรือทางความคิด เป็นตัวกำหนด
มนุษย์กับสัตว์นั้นแม้จะมีบางอย่างที่เหมือนกันก็จริง เช่น กิน นอน สืบพันธุ์ กลัวภัย หรือโกรธ เป็นต้น แต่มนุษย์กับสัตว์ก็ยังมีความแตกต่างกันที่เรื่องของธัมมะในจิตใจ มนุษย์นั้นยังรู้จักคุณธรรมความถูกต้องชั่วดี ซึ่งสัตว์ไม่มี
เพราะฉะนั้น นักการเมืองที่ถูกนำไปเปรียบเทียบว่าเป็น "สัตว์การเมือง" จึงตีความได้ว่านักการเมืองที่ไม่มีธัมมะอยู่ในหัวใจ สามารถที่จะทำอะไรก็ได้เยี่ยงสัตว์ ไม่ว่าจะแสดงออกทางกาย ทางวาจา หรือความคิด
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจอะไรกับการกระทำของพวก "สัตว์การเมือง" บ้านเราขณะนี้ ที่สามารถทำได้ทุกอย่างที่มนุษย์ทั่วไปไม่ทำกัน ต่อสู้ช่วงชิงอำนาจกันอย่างผิดทำนองคลองธรรม ไม่คำนึงถึงกฎกติกาใดๆ ทั้งสิ้นเพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะเท่านั้น
บนเทวีการเมืองจึงเต็มไปด้วยความสกปรก
บ้านเมืองต้องเสียหายตราบถึงทุกวันนี้
"เสือสิงห์กระทิงแรด" ที่เคยเรียกขานนักการเมืองบ้านเรามาในสมัยหนึ่งนั้น บัดนี้ได้มีสัตว์บางประเภทเพิ่มเติมขึ้นมาอีกจากป้ายมหึมาที่สะพาน มัฆวานรังสรรค์ เรียกร้อง "อย่าปล่อยสัตว์เข้าสภา" ในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงในวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 นี้ โดยสัตว์ที่ไม่ควรปล่อยเข้าสภาครั้งนี้มีภาพคนใส่สูทที่หัวเป็นควาย เป็นเสือ เป็นหมา เป็นเหี้ย และเป็นลิงถือกล้วย ประกอบอยู่ด้วยมีทั้งสัตว์บกและสัตว์น้ำ
แต่ในความเป็นจริงแล้ว "สัตว์การเมือง" ที่กำลังต่อสู้แย่งชิงกันเข้าสภาในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงใน ไม่ช้านี้นั้น มีทั้งสัตว์บก สัตว์น้ำ และสัตว์อากาศ ทีเดียว ประกอบด้วย "แรด ควาย กระซู่ ปูปลิง ลิงเหี้น เพลี้ยหมา อีกาเสือและแมลงสาบ" ซึ่งสัตว์ประเภทต่างๆ เหล่านี้กำลังต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันอย่างเอาเป็นเอาตาย เพื่อให้ได้ชัยชนะในการเลือกตั้งเวทีการเมืองจะต้องสกปรกยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ใครมีพละกำลังเท่าไรจะเอาออกมาใช้
ไม่ว่าพละกำลังนั้นจะออกมาในรูปแบบใด เช่น กำลังคน กำลังเงิน กำลังอิทธิพล และกำลังอำนาจแฝงต่างๆที่จะนำออกมาใช้ดูการแย่งชิงอำนาจของบรรดาสัตว์บก สัตว์น้ำ และสัตว์อากาศ ขณะนี้แล้ว เห็นว่าคู่ต่อสู้สำคัญในศึกของสัตว์การเมืองครั้งนี้มีเพียงคู่เดียว คือ คู่ระหว่างหญิงกับชาย ซึ่งฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายแย่งชิงอำนาจ และฝ่ายชายเป็นฝ่ายรักษาอำนาจของตนที่เคยมีอยู่ในช่วงสองปีเศษที่ผ่าน มา โดยหวังว่าจะได้กลับมามีอำนาจต่อไปอีกครั้งหนึ่ง
ฝ่ายอื่นๆ นอกนั้นเป็นเพียงตัวประกอบรอเสียบ
ทั้งสองฝ่ายกำลังโรมรันฟันตูกันหาเสียงอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อชัยชนะ แต่ละฝ่ายมีจุดแข็งและจุดอ่อนของตนอยู่ในตัวจุดแข็งของฝ่ายหญิงอยู่ที่เงินและมวลชนที่ห่างไกลข้อมูลข่าวสารและ เคยตัวกับการได้รับแจก เป็นมวลชนที่ได้รับการจัดตั้งอย่างเป็นล่ำเป็นสันต่อเนื่องกันมาไม่ ต่ำกว่าสิบปี ในขณะที่จุดอ่อนของฝ่ายหญิงนั้น นอกจากประสบการณ์ทางการเมืองที่ไม่ค่อยจะมีแล้ว จุดอ่อนที่สำคัญยิ่งก็คือ เป็นตัวแทนของนักโทษเร่ร่อนที่เคยสร้างความเสียหายมากมายแก่บ้าน เมืองมาแล้วระหว่างมีอำนาจทางการเมือง รวมทั้งการทุจริตคดโกงอย่างมโหฬารเป็นที่เลื่องลือไปทั่วทั้งในประ เทศและต่างประเทศ ไม่นับพฤติกรรมที่มีผลกระทบสถาบันสูงสุด
ส่วนจุดแข็งของฝ่ายชายนั้นอยู่ที่รูปร่างหน้าตาและการศึกษา มีประสบการณ์ทางการเมืองพอควรในระดับหนึ่ง ข่าวอื้อฉาวทางทุจริตไม่ค่อยได้ยิน แต่จุดอ่อนของฝ่ายชายนั้นเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันไปทั่วในเรื่องการ ทำงานที่ไม่เอาไหน ไม่มีความกล้าหาญเด็ดขาดในการแก้ไขปัญหานอกจากการซื้อเวลาเท่า นั้น ดีแต่พูด ไม่เคยจดจำว่าเคยพูดไว้อย่างไร เป็นคนดื้อตาใส ไม่รับฟังความคิดเห็นดีๆ ของคนอื่น ยอมเป็นหุ่นเชิดให้กับคนบางคนเช่นเดียวกับฝ่ายหญิง แม้กระทั่งสมยอมให้มีการทุจริตหาเงินหาทองจากผู้ร่วมงานโดยไม่ห้าม ปราม จนได้รับสมญานามว่าเป็นคนดูต้นทางให้โจรปล้น
ด้วยคุณสมบัติของฝ่ายหญิงและฝ่ายชายดังกล่าวนี้ ถ้าคนใดคนหนึ่งได้อำนาจมาบริหารบ้านเมือง ก็ต้องกล่าวได้เต็มปากเต็มคำว่าบ้านเมืองคงต้องฉิบหายกันต่อไปไม่ สิ้นสุด เรื่องที่คิดว่า "จะมีนารีขี่ม้าขาวมากอบกู้บ้านเมือง" นั้นต้องเลิกคิด
เพราะมีแต่ "นารีขี่ม้าลาย แข่งกับชายขี่ม้าด่าง"เท่านั้น ไว้วางใจอะไรไม่ได้เลยทั้งหญิงและชายที่ว่านี้ โหวตโนไปเลยดีกว่า
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
รีโมท
ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน