เมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๖๖ เวลา ๑๑.๔๐ น. พล.ร.อพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงประชวร และสิ้นพระชมน์ที่หาดทรายรีปากน้ำเมืองชุมพร ยังความโศกเศร้ามาสู่บรรดาทหารเรืออย่างยิ่ง และเพื่อรำลึกถึงวันคล้ายวันสิ้นพระชมน์ จึงกำหนดให้วันที่ ๑๙ พ.ค. ของทุกปีเป็น "วันอาภากร"
คล้อยหลังไป ๘๗ ปี
วันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓ เวลา ๔.๐๐ น. ศอฉ.ได้เริ่มปฏิบัติการ "กระชับวงล้อม" เพื่อกดดันผู้ชุมนุม ให้ออกจากพื้นที่ย่านราชประสงค์ หลังจากที่ ศอฉ.ได้กดดันอย่างต่อเนื่องมาหลายวัน
ผลคือ...แกนนำมอบตัว
ไม่ผิดความคาดหมายของเซียนการเมืองที่มองเห็น "จุดจบ" ของการชุมนุมนี้มาอย่างเนิ่นนาน และผลพวงของการ "มอบตัว" ครั้งนั้นก็ทำให้ "ไพร่ไร้หัว" บรรดาฮาร์ดคอต่างได้ที "เผากรุง" ตามทฤษฎีตกใจ(ทฤษฎีตกใจนี้แต่เริ่มเดิมทีทำเพื่อต้านรัฐประหาร)ของนักปราศรัยที่เก่งกาจที่สุดในประวัติศาสตร์สยามใหม่ "ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ" !! และผลกระทบในวันนั้นอีกด้านคือ
เสื้อแดงกรุงแตก! แยกทำลายศาลากลาง
นับตั้งแต่มีการชุมนุมของคนเสื้อแดงในเวลานั้น รัฐบาลดูเหมือน "ปล่อยปะ" และทำที "ละเลย" กับการกระทำของคนเสื้อแดง เป็นหนึ่งยุทธวิธี "บีบสิว" ที่ต้องอาศัยจังหวะที่สิวบวมเปล่งเต็มที่ แล้วบีบทีเดียวให้ "หัวสิว" หลุดออกมาพร้อมหนองและเลือด หากดูตามรูปการณ์คือ "กระชับพื้นที่" และปล่อยให้ไร้การควบคุม "อาละวาด" เผาบ้านเผาเมืองใช้มูลค่าทางเศรษฐกิจและความเสียหายของรัฐเป็น "เดิมพัน" เป็นอาวุธเพื่อสร้างภาพลักษณ์ "เห็นแดงที่ไหนให้แขยงไปที่นั่น"
จนวันนี้ภาพความรุนแรงกลายเป็นของคนเสื้อแดงไปแล้ว!
ความสำเร็จทางยุทธวิธี "บีบสิว" นั้นจะต้องเจ็บตัวและเสียเลือด(ผมกล่าวไว้ในการเมืองเรื่องบีบสิว)เป็นธรรมดา "เจ็บตัว" คือโดนประณามว่ารัฐใช้กำลังทหารเข้าสลายการชุมนุม ใช้กระสุนจริง ใช้ความรุนแรง "เสียเลือด" ในที่นี้คือ "ความตาย" ทั้งของทหารและพลเรือนที่ไม่อาจจะประมาณประเมินเป็น "เม็ดเงินเยียวยา" ได้เพราะสิ่งที่เสียไปเหล่านั้นคือ "ชีวิต" !
ใน ประเด็นเรื่องความตายนั้นทั้งสองฝ่ายคือรัฐและเสื้อแดงสูญเสียทั้งสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งคือทหารที่มาทำตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา ต้องอยู่แนวหน้าปะทะประชาชน ทำแรงก็โดนทั้งนายทั้งแดงด่า ซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆในเวลานั้น ความตายของทหารเหล่านั้นได้รับการยกย่องสดุดีเลื่อนชั้นยศตามความดีความชอบ และก็ลับเลือนหายไปจากสังคมตามประสาคนไทยลืมง่ายอีกเช่นเคย
ฝ่ายหนึ่งคือเสื้อแดง ความตายของประชาชนนั้น "ยิ่งใหญ่" ที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมในมุมใดของโลกถ้าได้ชื่อว่าประชาชนโดนสังหารโดยทหาร รัฐบาลประเทศนั้นเตรียมรับคำประณามจากนานาชาติไปก่อนเลย หลังจากนั้นค่อยไปดูกันทีหลังว่าประชาชนที่ตายนั้น ทำไมถึงตาย? ความสูญเสียที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะมาจากการยิงกันเองหรือทหารยิงผลเสียคือครอบ ครัวผู้เสียชีวิตที่ประเมินราคาไม่ได้เช่นเดียวกับทหาร "ศักดิ์ศรีความเป็นคนที่เท่าเทียม" ถูกหยิบยกเป็นประเด็นในแวดวงการเมือง วิชาการ และวงสนทนาสภากาแฟ "เสื้อแดงตาย" เพียงคนเดียวก็สามารถเป็นประเด็นจุดไฟอีกครั้งได้ ครั้งนี้ตายเกือบร้อยคนนั่นไม่เท่ากับว่าเป็น "น้ำมันเบนซิน" ชั้นดีที่รอการปะทุอีกครั้งหรือ?
ผม ขอชมเชยการไม่เอาเรื่อง "ทหารตาย" ของฝ่ายรัฐมาพูดเพื่อให้แสดงความเห็นอกเห็นใจ หรือพูดง่ายๆคือ "หากินกับศพ" แบบที่แกนนำเสื้อแดงหลายคนกำลังทำในเวลานี้ น่าเสียดายที่วันนั้นเก้าสิบศพไม่ควรตายแต่ควรเป็น "แกนนำ" ตายเสียมากกว่า จะได้พูดกันเต็มๆปากหน่อย !
วัน นั้นเวลานั้นกรุงเทพ เมืองฟ้าอมร ก็โด่งดังจากข่าวการเผา CTW เกรียวกราวไปทั้งโลก สุทธิชัย หยุ่น ยกย่องให้เป็น 911 เมืองไทย ต่างกับอเมริกาตรงที่ "คนไทยเผาเอง"
เหตุการณ์ "519 สยามยิ้มไม่ออก" คงจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วสำหรับ "ไพร่แดง" หลังจากผ่านมาแล้วสองเมษาลงเอย "เผาเมือง" ตลอด ภาพลักษณ์ย่ำแย่ ยากกู้คืน
จน เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้มีการชุมนุมของคนเสื้อแดงสุพรรณบุรีตั้งเวที ใหญ่และระดมยางอีกครั้ง เจ้าหน้าที่รัฐสอดส่องดูแลด้วยนะครับ
เพราะ ความบังเอิญหรืออย่างไร ปฏิบัติการครั้งนี้ถึงได้ตรงเผงกับ "วันอาภากร" วันที่ระลึกการสิ้นพระชมน์ของเสด็จเตี่ย ซึ่งหลังจากนั้นเสด็จเตี่ยถูกสถาปนาเป็น "พระสยามเทวาธิราช องค์ที่๓" ปกป้องบ้านเมืองร่วมกับพระสยามเทวาธิราชองค์อื่นๆ
กรม หลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ พระองค์นี้ทรงเข้มแข็งและเด็ดขาดและทรงมีหลายพระภาค เรื่องต่อสู้เพื่อประเทศชาติบ้านเมืองแล้วรับรองได้ว่ามิได้เคยทรงย่อท้อต่อ ไพรีเลยแม้แต่ก้าวเดียว เรื่องรักชาติแล้วเป็นหนึ่งไม่มีสอง
ดังบันทึกของพระองค์ที่ว่า....
"กูกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์"
ผู้เป็นโอรสของพระปิยะมหาราช ขอประกาศให้พวกมึงรับรู้ไว้ว่า
แผ่นดินสยามนี้ บรรพบุรุษได้เอาเลือด เอาเนื้อ เอาชีวิตเข้าแลกไว้
ไอ้อีมันผู้ใด คิดบังอาจทำลายแผ่นดิน ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
ฤๅ กระทำการทุจริตก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อส่วนรวม
จงหยุดการกระทำนั้นเสียโดยเร็ว
ก่อนที่กูจะสั่งทหารผลาญสิ้นทั้งโครต
ให้หมดเสนียดของแผ่นดินสยามอันเป็นที่รักของกู
ตราบใดที่คำว่า "อาภากร" ยังยืนหยัดอยู่ในโลก
กูจะรักษาผืนแผ่นดินสยามของกู
ลูกหลานทั้งหลาย แผ่นดินใดให้เรากำเนิดมา
แผ่นดินใดให้ที่ซุกหัวนอน ให้ความร่มเย็นเป็นสุข
มิให้อนาทรร้อนใจ จงซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินนั้น.
ผู้เป็นโอรสของพระปิยะมหาราช ขอประกาศให้พวกมึงรับรู้ไว้ว่า
แผ่นดินสยามนี้ บรรพบุรุษได้เอาเลือด เอาเนื้อ เอาชีวิตเข้าแลกไว้
ไอ้อีมันผู้ใด คิดบังอาจทำลายแผ่นดิน ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
ฤๅ กระทำการทุจริตก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อส่วนรวม
จงหยุดการกระทำนั้นเสียโดยเร็ว
ก่อนที่กูจะสั่งทหารผลาญสิ้นทั้งโครต
ให้หมดเสนียดของแผ่นดินสยามอันเป็นที่รักของกู
ตราบใดที่คำว่า "อาภากร" ยังยืนหยัดอยู่ในโลก
กูจะรักษาผืนแผ่นดินสยามของกู
ลูกหลานทั้งหลาย แผ่นดินใดให้เรากำเนิดมา
แผ่นดินใดให้ที่ซุกหัวนอน ให้ความร่มเย็นเป็นสุข
มิให้อนาทรร้อนใจ จงซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินนั้น.
ธรรมดาแล้ว "ทหารกับโหราศาสตร์" เดินทางเดียวกันมาแต่โบราณ ฤกษ์ยามกำหนดการเดินทัพจับศึก เคลื่อนพลพยุหยาตรา จะต้องดูเวลา ดูวัน แม้แต่ "พล.อ.สนธิ" หัวหน้าคณะรัฐประหารคนล่าสุดยังใช้ "โหราศาสตร์" ร่วมในการรัฐประหาร ผมจึงไม่รู้ว่า "แค่บังเอิญ" หรือ "ตั้งใจ" สถานการณ์ถึงได้ลงตัว แม้จะยังไม่จบแบบราบคาบก็ตามทีเพราะหลังจาก "เสธแดง" เสียชีวิต สถานการณ์รุกคืบของศอฉ.ดูรวดเร็ว และกดดันได้ผลเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าจะมีการสูญเสียบ้างก็ตามที
หลายคนวิเคราะห์แล้วว่าศึกครั้งนี้คือ "ทหารรบทหาร" มาแฝงในคราบการเมือง หลายสิ่งพัวพันกันจนจับต้นจนปลายไม่ถูก แต่ทุกสิ่งนั้นขึ้นกับคนๆเดียวคือ "ทักษิณ"
"ทักษิณ" ยุแหย่ให้คนไทยเผาเมืองมาสองรอบแล้ว พื้นที่ยืนในโลกก็น้อยลงเต็มที ทำไมเขาถึงยังกล้าที่จะทำ หรือเพราะคำว่า "ถ้าผมไม่มีความสุข ก็อย่าหวังว่าจะสงบ" หลายฝ่ายที่สูญเสีย "ผลประโยชน์" และ "อำนาจ" หรือทหารจำพวก "อกหัก" ต่างหลั่งไหลไปอยู่กับ "ทักษิณ" เพราะเชื่อว่าทักษิณสามารถมอบในสิ่งที่เขาปรารถนาได้ ซึ่งจุดนี้ต้องพึงระวังในอนาคต เพราะคนที่มี "อุปนิสัย" แบบทักษิณอาจจะใช้และฉวยโอกาสแบบนี้ สร้างอำนาจขึ้นมาอีกรอบ
โดยใช้วาทะกรรมอำพราง "ประชาธิปไตย" เช่นเดิม!
ผ่านไป ๑ ปี ทักษิณรู้ตัวเองดีว่า "มวลชนเสื้อแดง" ไม่เหมาะกับการชุมนุมเพื่อสร้างกระแสอีกแล้ว เพราะเข้ารู้ดีว่าภาพลักษณ์คนเสื้อแดงนั้นคือ "ล้มเจ้า เผากรุง" ติดตาตรึงใจคนไทยทั้งประเทศ การขยับของคนเสื้อแดงทีก็โดนด่าที พลังคนเสื้อแดงของทักษิณนั้นเหมาะกับสถานการณ์นี้มากกว่า
การเลือกตั้ง
ผมมองในมุมกลับอีกด้านของการชุมนุมของคนเสื้อแดง การสลายการชุมนุมเมื่อหนึ่งปีที่ผ่านของรัฐบาลนั้นถ้ามองในฝั่ง "ตรงข้าม" คนเสื้อแดงคือชัยชนะที่กำราบคนเสื้อแดงได้ แต่ถ้ามองในฝั่งคนเสื้อแดงนั่นคือ "ความพ่ายแพ้" ที่รอวันแก้แค้น คราวนี้หลังจากการสลายการชุมนุมนั้นยังไม่มีการเลือกตั้งทันทีทันใด กระแสในสังคมไทยนั้นก็รู้กันดีว่า "ลืมง่าย" บรรดาแกนนำจึงใช้การรำลึกวันต่างๆ ตั้งวงเสวนาทางวิชาการ และการออกสื่อให้บ่อยขึ้นเพื่อให้คนเสื้อแดงไม่ลืมความเจ็บปวดที่ต้องพ่าย แพ้ให้กับ "อำมาตย์" อย่างที่เขาว่ากัน
จน เมื่อถึงเวลาเลือกตั้ง ทักษิณไม่โง่ที่จะให้คนเสื้อแดงก่อหวอดจนทำให้ต้องเลื่อนการเลือกตั้งแน่นอน เพราะถ้าการเลือกตั้งครั้งนี้ชนะ คือการกลับเข้าสู่ครรลองประชาธิปไตยตามระบบที่ยากจจะมาล้มล้างอำนาจได้ นอกเสียไปจากการรัฐประหาร!
ทักษิณ เข้าใจ และรู้จุดนี้ดี ดังนั้นพลังคนเสื้อแดงที่พ่ายแพ้จะแปรเปลี่ยนเป็นคะแนนการเลือกตั้งจำนวน มหาศาลให้พรรคเพื่อไทยหรือไม่นั้นต้องรอดู!
แม้ หลายฝ่ายและหลายคนที่อยู่ในสังคมออนไลน์จะเปิดโปงระบอบทักษิณสารพัด แต่อย่าลืมว่าประชาชนอีกจำนวนมากไม่ได้มาสนใจสิ่งเหล่านี้ เขาทั้งเข้าไม่ถึง และไม่อยากเข้าถึงก็มี ผมจึงอยากจะบอกว่าอย่าหลงคำประโลมที่เชียร์กันเองในพื้นที่นี้เท่านั้น ต้องมองไปกว้างๆกว่านี้ เราเชียร์กันในนี้มีคนอ่านพันคน แต่อีกเป็นล้านคนไม่ได้อ่าน ไม่รับรู้ พันคนที่อ่านก็ใช่อ่านทั้งหมด หรือเห็นพ้องกับเรา นี่คือความจริงที่ยากจะปฏิเศษ
ในพื้นที่อิทธิพลของตระกูลดังมากมายในแต่ละจังหวัดอีก จะมีปรากฎการณ์คว่ำช้างได้มากน้อยเพียงใดกัน!
เท่าที่ผมคุยกับหลายๆคน ไม่ได้อยู่วงการสื่อ ไม่ได้รับข่าวไปมากกว่าหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ ล้วนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า "ไม่มีม๊อบดีที่สุด" ผมเข้าใจตรงจุดนี้ว่า "ม๊อบ" คือสัญลักษณ์ความขัดแย้ง การขาดความน่าเชื่อถือในสายตาของหลายๆคน การต่อสู้ทางการเมืองหรือจะปฏิรูปการเมืองต้องทำในระบบ ทำในสภา ไม่ใช่ทำกันข้างถนน มันจึงตกเป็นเรื่องของจิตสำนึกของ "นักการเมือง" ทั้งหลายทั้งปวงให้พึงสำเหนียกและสังวรณ์ไว้ว่า
เพราะประชาชนเบื่อพวกคุณเต็มทนแล้ว
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น