วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ฟื้นฟูประเทศ..แบบไม่ต้องกู้

โดยดร.ไก่ Tanond


 
ด้วย ปริมาณทรัพยากรใต้ทะเลของไทยเราที่มีอยู่มากมาย แต่คนไทยเราไม่เคยได้ใช้ประโยชน์มาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว ถึงเวลาหรือยัง? ที่รัฐบาลไทยจะเลิกหลอกคนไทยกันเสียที ..ในวันนี้คนไทยหลายล้านคนได้รู้ ได้เข้าใจเป็นอย่างดีถึงทรัพยากรเหล่านี้ที่ถูกหมกเม็ดไว้ และนำไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตนอย่างไม่น่าให้อภัย เช่นนี้แล้ว การจะปฏิรูปเพื่อฟื้นฟูประเทศไทยในครั้งนี้ หากขาดไร้ซึ่งการนำเอา

1.ทรัพยากรน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ และ
2.หลักเกษตรทฤษฏีใหม่ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

มา เป็นกรอบแนวคิด เพื่อสร้างเป็นต้นแบบในการนำปฏิบัติสำหรับแผนฟิ้นฟูประเทศแล้ว ผมว่ารัฐบาลก็อย่ามาฝันเรื่องการหาเงินกู้สำหรับฟื้นฟูนิวไทยแลนด์ 9แสนล้านเลยครับ..เอาน้ำมันดิบ เอาก๊าซธรรมชาติ ของคนไทยเราขึ้นมาให้คนไทยใช้ ที่เหลือขายเพื่อนบ้าน ส่งออกบ้าง ให้สมกับการเป็นผู้ส่งออกปิโตรเลียมอันดับที่33ของโลกหน่อย

มี ปัญญาทำได้เท่านี้ ก็ไม่ต้องกู้ใครแล้ว เพราะนี่คือแหล่งทุนที่บรรพบุรุษของคนไทยเรา ได้ทิ้งไว้ให้ลูกหลานได้ใช้ในยามที่จำเป็น..มิหนำซ้ำมีเพียงเท่านี้ รับรองได้ว่า บรรษัทข้ามชาติ ไม่มีวันหนีไปไหนแน่นอน ..โดยไม่ต้องไปจ้างใครต่อใครให้มาทำแผนฟื้นฟู เพื่อให้เขาเชื่อถือ

ข้อเสนอแนะในการฟื้นฟู -
1.เพื่อ เยียวยาเกษตรกร - เนื่องด้วยพื้นที่การเกษตรได้รับผลกระทบกันมากมายเช่นนี้ การเริ่มต้นที่จะฟื้นฟูจึงควรมีหลักคิด เพื่อแก้ไขในสิ่งผิดที่มีมาแต่เก่าก่อน ด้วยการนำใช้หลักเกษตรทฤษฏีใหม่เป็นตัวตั้ง ตามขั้นตอนดังนี้-1.1 จัดทำสื่อเพื่อเผยแพร่หลักเกษตรทฤษฏีใหม่ ในรูปแบบต่างๆ เสริมเติมด้วยการใช้ภาษาท้องถิ่นเพื่อใช้รณรงค์ก่อนเริ่มโครงการ1.2 นำเกษตรกรที่เข้าระบบ ขึ้นบัญชี ให้แนวทาง คัดเลือกประเภทของสัตว์และพืชและจัดวางพื้นที่ของตนตามหลักการ1.3 เมื่อเป็นรูปธรรมแล้ว จึงดำเนินการพักหนี้เกษตรกร ให้ยืมพันธุ์พืช พันธุ์ข้าว ปุ๋ย(ในขั้นต้น)ก่อนที่จะผลิตได้เอง ทุกอย่างปลอดสาร โดยควรจะรวมพืชพลังงานใช้ปลูกในพื้นที่ให้มากพอแก่การผลิตไบโอดีเซล ในแต่ละชุมชน/หมู่บ้านด้วย

2.เพื่อเยียวยาภาคธุรกิจและอุตสหกรรม
2.1แผนแม่บทงานป้องกันน้ำท่วมแบบถาวร จัดหาเจ้าภาพเพื่อเป็นศูนย์กลางการดูแลจัดการแผนงาน
2.2การ นำน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ กลั่น จัดเก็บ และจัดจำหน่ายในประเทศ ในราคาปลอดต้นทุน มีแต่ค่าใช้จ่ายตามจริง ไม่ต้องอิงราคาสิงค์โปร์สำหรับภายในประเทศอีกต่อไป จะอิงเมื่อขายออกนอกประเทศเท่านั้น
2.3 กำหนดมาตรการทางการเงิน การคลัง เพื่อเยียวยาบรรษัทข้ามชาติต่างๆในนิคมฯที่ได้รับผลกระทบทุกราย
สัง เกตุดูวันเดือนปี ที่จัดสรรเขตสัมปทานกันให้ดีนะขอรับ ประเทศไทยนั้นเมื่อปี พ.ศ.2511?(1968) เขมร2540?(1997) และถึงแม้มันจะดูทับซ้อนกันหมด ทั้ง 1.พื้นที่ๆต่างคนต่างอ้าง รวมไปถึง 2. บ.พลังงาน ที่ได้รับสัมปทานไปแล้วทั้ง 2 ฝ่าย ทว่าวันนี้ปริศนาได้ถูกไขแล้ว เมื่อพบว่า บ.พลังงานทั้งหมด มีพ่อคนเดียวกันที่ชื่อ Standard Oil of USA ครับผม ส่วนBP มาขุดถ่านชนิดพิเศษ(ที่ทำได้เจ้าเดียว)ให้กับขาใหญ่เขา
เขต พื้นที่สัมปทานพลังงาน ของไทยใช้ ฺB5-11อ้างอิงตั้งแต่2511 ของเขมรใช้ I - IV(1-4)เพิ่งอ้างอิงเมื่อ2540 (ก่อนMOU43 2ปีกว่า) ดูเหมือนจะทับซ้อน! หากต่างคนต่างให้สัมปทานแก่บ.น้ำมันของใครของมัน แต่ที่ไหนได้ บ.น้ำมันทุกเจ้าต่างเป็นบ.ลูกบ.หลาน ของบ.แม่คนเดียวกัน ที่ชื่อ Standard ของ USA เช่นนี้แล้ว ควรเรียกว่า เขตร่วมลงทุนของฮุนเซน กับ คนในรัฐบาลไทยมากกว่านะผมว่า ส่วนพวกเราประชาชนคงไม่ได้เอี่ยวตามฟอร์ม ใช้มันไปเถอะลิตรละ40-50บาท แทนที่จะถูกลงไปลิตรละ 12-15บาท ไม่โวยกันก้ไม่รู้จะว่าไงแล้ว?

เส้น เขตแดนทางทะเลของเขมร(สีนำ้เงิน)ของไทย(สีแดง) ขอจงเข้าใจง่ายๆว่า เส้นสีแดง=รั้วของประเทศเรา พื้นที่ด้านซ้ายหลังรั้วมาจนถึงประเทศเราก็คือสนามหน้าบ้านเรา ดินแดนเราก็คือบ้านของเรา ดังนั้นทรัพยากรทั้งหมดที่อยู่ตั้งแต่บริเวณรั้ว สนามหน้าบ้าน และในบ้านเรา คือ ของเราทั้งสิ้น เส้นของเขมรจอมปลอมขึ้นมาเอง ตัดผ่าเกาะกูดของไทยไปตั้งครึ่งค่อนเกาะได้เช่นไร?

 
 พื้นที่ทางทะเลของเขมรเอง





ดร.ไก่ Tanond
อย่าเอาความไม่รู้..มาฉุดความเจริญของผู้อื่นเขานะครับ ถ้าเป็นเพื่อนในเพจนี้ยังไม่รู้ว่ามี..ก็อย่าเม้นท์เลยครับ ผมอายคนอื่นเขาว่ะ!
http://hereisthai1.blogspot.com/2011/09/blog-post.html?spref=fb   
 
 
ใครที่ยังมาเม้นท์ว่าไทยเราไม่มี หรือ ไม่รู้อย่าเม้นท์โง่อีกนะ ผมจะลบเพื่อนออกเลย..เซ็งว่

เห็นมากับตา

 by สายลมที่ผ่านมา

หลังจากนัดกับ Blogger JoyGangster เพื่อไปจัดเก็บนิทรรศการ ศิลปะเพื่อการแบ่งปัน "วาดน้ำใจ ช่วยน้ำท่วม" ที่โรงแรม S15 ถนนสุขุมวิท 15 เมื่อวันจันทรที่ 31 ตุลาคม ที่ผ่านมา ด้วยว่ามีเวลาเหลืออยู่อีกประมาณ 3-4 ชม. ก็เลยชวนกันไปเป็น "อาสาสมัคร"
โดยให้ Joy เลือกว่าจะไป อาคารมาลีนนท์ (ช่อง 3) หรือไปอาคารจันทนยิ่งยง (ศปภ.) ดี เพราะว่าใกล้ทั้งสองที่มากกว่าที่อื่น ด้วยการเดินทางที่สะดวกกว่า Joy เลยเลือกที่จะไปศูนย์ของ ศปภ. ที่อาคารจันทนยิ่งยง สนามศุภชลาศรัย
ทันที ที่ลงจากรถไฟฟ้าสถานีสนามกีฬาแห่งชาติ ต้องตกในเพราะเห็นเตนท์สีขาวกางเรียงรายกันอยู่ทั่วไป นึกว่าเป็นเตนท์ของผู้ประสบภัย ที่ไหนได้ เป็นเด้นท์ที่ร้านค้าต่าง ๆ มาออกร้านขายของกันที่วางเต็มอยู่หน้าและด้านข้างอาคารนิมิบุตร
เราเดินผ่านเส้นทางออกร้านและค้าขายแทบจะนึกว่าเราเดินอยู่ในงานคาลนิวัลอะไรซักอย่าง กว่าจะเดินไปถึงอาคารจันทนยิ่งยงเล่นเอามึน
ทันที ที่ไปถึงสิ่งแรกที่เรามองเห็นคือ รถทหารมากมาย และเต้นท์บริการอาหารที่ผู้มีจิตศรัทธา ซึ่งประกาศตนด้วยเสือที่ใส่ ทำการแจกจ่ายอาหารให้กับบรรดาเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครในบริเวณนั้นอย่างขัน แข็ง เช่นเดียวกับเต้นท์อาหารที่ได้รับความเอื้อเผื้อจาก พระพรหมโมลี (เจ้าคณะใหญ่หนกลาง กทม.) ที่นำอาหารมาแจกจ่ายเช่นกัน
เรา เดินมึนไปมึนมาอยู่รอบ ๆ ก็ยังหาไม่เจอว่าบรรดาผู้ประสบภัย และโต๊ะลงทะเบียนอาสาสมัครอยู่ตรงไหน จนปัญญาเลยหาทางด้วยปาก และก็พบว่า ที่นี่ไม่มีผู้ประสบภัยอาศัยอยู่เพราะทั้งหมดถูกย้ายจากดอนเมืองไปยัง สนามรัชมังคลาหมดแล้ว ที่นี่เป็นเพียงศูนย์รับบริจาค และจัดการสิ่งของที่ได้รับบริจาคเท่านั้น
เรา เดินเข้าไปในอาคารจันทนยิ่งยงตามที่ป้าที่เตนท์อาหารชี้บอก พอเข้าไปด้านใน เรายิ่งงงหนักเข้าไปอีก เพราะมีเด็กหนุ่มสาวที่อาสามาช่วยงานนั่งกันเกลื่อน มีโต๊ะอยู่ด้านใน 2 โต๊ะ ๆ หนึ่งเป็นโต๊ะพยาบาล อีกโต๊ะหนึ่งเป็นโต๊ะลงทะเบียนอาสาสมัคร
เราสองคนเดินเข้าไปลงทะเบียน แล้วออกมายืนงง ๆ ว่า "กรูจะทำไรดีวะ" สุดท้ายต้องมายืนกองกันอยู่ในอาคารจันทนยิ่งยง ไอ้ครั้นจะว่าไม่มีอะไรให้ทำเหรอ ก็คงไม่ใช่ เพราะข้าวของกองอยู่เต็มอาคาร แต่เหมือนไม่มีใครสั่งการให้ทำอะไร
บรรดา น้อง ๆ ที่มาเป็นอาสาก็เริ่มจับกลุ่มนั่งคุย นั่งเล่น บางคนนอนเล่น รอว่าจะมีใครมาเรียกให้ไป่ทำอะไร ซักพักมีคนถือโทรโข่งเสียงแตก ๆ ฟังไม่รู้เรืองมาประกาศอะไรซักอย่าง ประมาณว่า ให้รอก่อนเดี๋ยวจะมีอะไรให้ช่วยทำ แล้วเขาก็หายไป
เรา ยืนดูลาดเลากันอยู่ซักพักเห็นว่าไม่มีอะไรให้ทำแน่แล้ว เลยคิดจะเดินออกจากอาคารไปด้านอื่น แต่พอเปิดประตูมามีคนร้องขออาสาชาย 5 คนไปช่วยยกน้ำ แต่อาจจะเสียงเบาไปหน่อยไม่มีใครขยับ (ทั้ง ๆ ที่มีผู้ชายนั่งอยู่ตรงนั้นเต็มเลย)
อดรนทนไม่ได้ เลยตะโกนด้วยเสียงอันดัง น่าจะได้ยินไปถึงครึ่งอาคารว่า ต้องการอาสาชาย 5 คนไปยกน้ำ เงียบ ไม่มีใครขยับ รอบที่สองจึงมีเด็กชายอายุ 9 ขวบยกมือและเดินเข้ามาหา บอกว่า "ให้ผมช่วยนะ" ไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดี
ซัก พักถึงมีเด็กหนุ่ม ๆ (บางคนที่ไม่ได้นั่งตรงประตูที่สะดวกนั่งสะดวกกินที่สุด) ลุกขึ้นและเดินตามมาเป็นแถว แถมยังมีเด็กสาวอีกจำนวนหนึ่ง เดินกันไปอาคารใกล้เคียง ซึ่งมีของบริจาควางไว้เป็นกองท่วมหัวท่วมหู ที่ยังไม่ได้จัดการอะไร ลองเอามือเข้าไปจับเพราะนึกว่าเป็นเสื้อผ้า แต่ทีไหนได้ กลายเป็นข้าวสาร
เด็ก ๆ เดินไปต่อคิวยกน้ำไปขึ้นรถกะบะคันหนึ่งที่จอดอยู่ด้านหน้าอาคาร ชักเริ่มไม่แน่ใจว่าไอ้คนที่มาให้ยกนี่เป็นเจ้าหน้าที่หรือเปล่า ถ้ามันไม่ใช่ และอาศัยช่วงชุลมุลมาใช้ให้ยกของบริจาคจะทำไง เพราะทุกคนแต่งตัวเหมือนกันหมด คือ ไปรเวท ไม่มีสัญญลักษณ์ใด ๆ ระบุบอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่ หรืออาสาฯ ที่มีสิทธิสั่งการได้
แถม อาคารที่เราเข้าไปก็ไม่ได้มีเจ้าหน้าที่ใด ๆ มาดูแล ลงทะเบียน รับของจ่ายของ มีเพียงผู้หญิงคนนึ่งเดินก้ม ๆ เงย ๆ อยู่กับกองข้าวของเท่านั้น อย่างนี้ใครจะมาหยิบอะไร ใครเป็นใคร ดูแล้วไม่น่าจะรู้เรืองรู้ราวกันได้เลย
อาสาฯ เองด้วยใจบริสุทธิใครให้เฮไปช่วยทางไหนก็ไป เพราะตั้งใจจะมาช่วย แต่เรืองของการบริหารจัดการ เราสามารถประเมินได้ด้วยตาเปล่าเลยว่า หาได้น้อยมาก (อาจจะมีแต่เราไม่เห็นนิ) เราไม่สามารถแยกได้เลยว่าใครคือ เจ้าหน้าที่ ใครคืออาสาฯ ใครมีหน้าที่ในการบริหารจัดการ ใครมีหน้าที่ในการดูแล ดูเปะปะปนเปกันไปหมด ยกเว้นคนที่ใส่เสื้อระบุว่าเป็น "ตำรวจ" นั่นหละ ถึงได้รู้ว่าเป็นตำรวจ ซึ่งจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้
ใน เมือขาดคนสั่งการ ที่ได้รับการยอมรับ หรือมีอยู่น้อย แถมไม่มีสัญญลักษณ์ใด ๆ เมือมีใครมาเรียกก็เฮตามกันไป ไม่สามารถบอกได้ว่าอันไหนจริง อันไหนเท็จ
อาสาฯ เองก็พกกำลังใจ และกำลังกายอยากที่จะมาช่วยกันเต็มเปี่ยม ข้าวของก็มีให้ทำกัน แต่ไม่มีคนสั่งการ สิ่งที่เราเห็นคือ บรรดาอาสาสมัครที่จะมาทำงาน จึงนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่กันจนเต็มอาคารจันทนยิ่งยง
จริง ๆ จะบอกว่าข้าวของยังไม่ครบ จึงยังไม่บรรจุลงถุงยังชีพก็จริงอยู่ แต่บางส่วนอย่างข้าวสาร หรือของที่ควรจะจับเป็นแพ็คก็สามารถนำมาแพ็ครอไว้ก่อนได้ โดยใช้แรงงานอาสาฯ ที่มีความต้องการมาช่วยเหล่านี้ ให้ช่วยกันทำรอไว้ก่อนได้เลย เมื่อข้าวของมาครบตามรายการแล้ว ค่อยเอาแพ็คลงถุงอีกทีก็ยังได้ ไม่ต้องรอให้ของครบก่อนแล้วค่อย ๆ แพ็คทีละอย่าง
ทำ ให้นึกถึง สส. เขตคลองสามวา เขตที่ประชาชนทำลายคันกั้นน้ำ และบอกว่า ไม่ได้รับการเยี่ยวยา เพราะไปหาของบริจาค และพบว่ามีถุงยังชีพเพียง 200 ชุดเท่านั้น แต่สิ่งทีเราเห็นอยู่ตรงนี้มันไม่ใช่ ข้าวของมีอยู่มากมาย อะไรส่งไปให้ได้ก่อนก็ควรส่งไปก่อน ไม่ต้องรอ เพราะคนจะต้องกินต้องอยู่ มากน้อยก็ให้ไปก่อนได้
เราได้แต่ส่ายหัวกับการบริหารจัดการภายใน ศปภ. ที่อาคารจันทนยิ่งยง
เรา เดินออกจากอาคารดังกล่าวด้วยความ ง๊ง งง ในระบบการจัดการ ออกมาด้านนอก รถที่มารับน้ำไปก็เป็นรถกะบะธรรมดา ที่ไม่ได้มีป้ายหรือสิ่งใดบอกเลยว่า เป็นรถขนของ ๆ ศปภ. เหมือนกับว่ารถใครก็มาขนของเอาไปได้ ไม่มีการตรวจ ไม่มีเจ้าหน้าที่ ไม่มีอาสาฯ ที่มีอำนาจในการปล่อยของใด ๆ
เดิน ออกมาที่ด้านหน้าอาคาร พบพี่นที่ ๆ ระบุว่า เป็น "พี้นที่ควบคุม เจ้าหน้าที่" ทำให้สงสัยไปอีกว่า จะควบคุมทำไม เจ้าหน้าที่นี่ หรือโดนควบคุมหมดเลยไม่มีใครออกไปทำงานซักกะคน
ว่า ไม่ทันขาดคำ ซักพักเจ้าหน้าที่ (ตำรวจ) ก็ได้ทำงาน รถทหารเข้าเทียบหน้าพื้นที่ควบคุมเจ้าหน้าที่ แล้วก็เริ่มขนน้ำกันอีกรอบ คราวนี้ไม่ใช่น้ำแร่อย่างครั้งที่แล้ว แต่เป็นน้ำดื่มจากลาว ของบริษัท เบียร์ลาว ที่เอามาช่วย
เรา เดินไปพบป้ายนี้เข้า ได้แต่อมยิ้ม เขาใช้คนถูกกับงานมั้ยนี่ จะว่าอ่านไม่รู้เรืองก็ไม่เชิง จะว่ารู้เรืองก็แทบจะไม่ใช่ ทำไมไม่หาคนเขียนให้รู้เรื่องกว่านี้หน่อยมาเขียนก็ไม่รู้ อาสาสมัครก็นั่งกันอยู่เต็มอาคารฯ
เรา เดินย้อนกลับมายังเต้นท์แจกอาหารอีกครั้ง ที่ยังคึกคักกว่าส่วนอื่น ๆ บางคนเห็นหน้าตั้งแต่มายันตอนนี้ กินกันไม่อิ่มเสียทีเดินวนกันจนจำหน้าได้ ยิ่งบางคนด้วยแล้ว เวลาทำงานแทบไม่เห็นหน้ากันทีเดียว แต่เวลากินอยู่แถวหน้า ๆ ไม่ต้องให้เรียกนาน เหมือนที่ JoyGangster บอกว่า มีทั้ง "อาสามาทำงาน" และ "อาสามากิน" กันจริง ๆ
แต่ คนทำครัวก็ยังขันแข็ง เรียวแรงดีทำแจกไม่มีเกี่ยงงอน มือตักก็ตักกันแบบมือเป็นระวิง มือผัดก็ควงตะหลิวกันว่องไว มือขูด มือปอก ก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ของตัวเองอย่างขมีขมัน เหนื่อยนักก็มี "มือนวด" อีกต่างหาก
เรา เดินย้อนกลับเข้าไปในอาคารจันทนยิ่งยงอีกครั้งหนึ่งเผื่อว่าจะมีอะไรให้เรา ช่วยได้อีก มุม ๆ หนึ่งที่เราเห็นแต่แรก ดูท่าแข็งขัน คือ กลุ่มที่นั่งอยู่บนอัศจรรย์กลุ่มใหญ่ เลยชวนกันเดินขึ้นไปดูว่าเขาทำอะไรกัน
กลุ่ม นี้คือ กลุ่มนักศึกษาแพทย์ที่มาช่วยกันแพ็คยากับเหล่าอาสาฯ อีกหลาย ๆ ท่าน ที่ทำงานกันอย่างขมีขมัน ยาเพียงสามอย่างที่ถูกส่งมาให้แพ็คลงถุงพลาสติกเพื่อป้องกันน้ำเข้า อันได้แก่ ยาใส่แผลสด ยาแก้น้ำกัดเท้า และยาแก้ปวดลดไข้
ทั้ง อาสาไทย อาสาเทศ ช่วยเหลือเจือจานกันเป็นอย่างดี ว่องไว ไม่มีเกี่ยง เราได้ที่เลยนั่งช่วยเขาแพ็คยากันตรงนี้ หลายครังที่มีความคิดเห็นไม่ตรงกัน ระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ ซึ่งต้องใช้ความใจเย็น และตัวกลางในการประสานเป็นอย่างมาก การทำงานกับอาสาฯ จำนวนมาก ไม่ใช่งานที่ง่ายเลยทีเดียว แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี
จน กระทั้ง มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกระดาษแผ่นหนึ่ง และบอกว่าต้องการยาอะไรซักอย่างหนึ่ง ประมาณ 300 กล่อง และคุณป้าผู้หญิงแถวนั้นเรียกหาน้อง ๆ ว่าใครเป็นเภสัชฯ หรือเรียนเภสัชฯ ให้มาจัดยาให้เขาหน่อย เด็ก ๆ มองหน้ากันเลิกลัก บอกแต่ว่าผมเรียนหมอ
คุณ ป้าก็ยังพยายามคะยั้นคะยอให้พวกเขาไปจัดยาให้ชายผู้นั้น ดูแล้วไม่เข้าที เลยบอกเขาว่า ให้ไปติดต่อเจ้าหน้าที่ด้านนอก คนที่ใส่เสื้อกาวน์ เพราะมันไม่ได้รีบเร่งออะไร ทำไมต้องให้เด็ก ๆ ที่มาเป็นอาสาสมัครรับผิดชอบจ่ายยาจำนวนมาก ทั้ง ๆ ที่ไมได้รู้เลยว่า ชายคนนั้นคือใคร มาจากไหน ตามคำสั่งใคร หากจะมองในแง่ร้ายสุด ๆ ว่าเขาเป็นมิจฉาชีพ เด็ก ๆ มิต้องมี่ตราบาปในลานบุญกันเลยเร้อ
แต่ ถึงแม้นมองโลกในแง่ดีสุด ๆ หากเขามาด้วยงานอาสาจริง เขาก็ควรติดต่อเจ้าหน้าที่ ๆ รับผิดชอบให้ถูกต้องเพื่อที่จะได้บันทึกเป็นทะเบียนไว้ว่า ใครมารับอะไรไปบ้าง เราได้แต่ส่ายหัวให้กับการจัดการของศูนย์แห่งนี้
จำนวน อาสาในอาคารจันทนยิ่งยงเริ่มน้อยลง ๆ ไปจากแต่แรกที่เรามา เราไม่รู้ว่าเขาไปทำงานกันตรงไหน หรือนั่งเบื่อกันจนหนีกลับบ้านกันไปหมด แต่สิ่งที่เราเห็นอยู่ตรงหน้านั่นคือ ข้าวของบริจาคมากมายที่บรรดาผู้ประสพภัยมีความต้องการอย่างยิ่งในยามนี้ ที่ขาดระบบการจัดการที่ดี ต้องมากองเกลือนอยู่ในอาคาร ที่มีคนรอช่วยปฏิบัติงานอย่างเต็มที่ แต่ "ขาดคนสั่งการ"
ได้ แต่หวังว่า ศปภ. จะเร่งหาคนมาจัดการได้โดยเร็ว และลำเลียงสิ่งของเหล่านี้ไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้อย่างรวดเร็วทันความ ต้องการที่พวกเขาต้องการอย่างรีบเร่ง อย่าให้ต้องเป็นกรณีที่ปฏิเสธไม่ได้อย่างที่ สส. คลองสามวา พูดเอาไว้ว่า
"มาตรการ เยียวยาช่วยเหลือก็ไม่มี ของบริจาคมีเพียง 200 ชุด แล้วชาวบ้านจะอยู่กันได้อย่างไร" ก็เลยต้องมาพังประตูน้ำและปล่อยให้น้ำไหลเข้ากรุง และพื้นที่โดยรวม
มัน เป็นข้ออ้างของคนเห็นแก่ตัว ขี้ขลาด และขี้อิจฉาโดยแท้ ที่จะอ้างเช่นนั้น เพราะ สส. เหล่านั้นย่อมรู้ได้ดีว่า เขาสามารถขอความช่วยเหลือได้ที่ใด และจากใคร ดังนั้น มันจึงไม่ใช่ข้ออ้างที่คะแนนเสียงของคุณจะเอามาใช้ในการทำลายประตูน้ำคลอง สามวาได้
หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ระบบการจัดการของบริจาค และการบริหารอาสาสมัครจะดีขึ้น เพราะตอนนี้สิ่งที่ ศปภ. กำลังเผชิญมากไปกว่าปัญหาน้ำท่วมคือ "วิกฤตศรัทธา" ของประชาชน ที่ทำให้เงินบริจาคและของบริจาค รวมถึงอาสาสมัครต่าง ๆ ลดลงเป็นอย่างมากทีเดียว
หวังว่า ศปภ. และรัฐบาลจะแก้ปัญหา "วิกฤตศรัทธา" ได้แต่โดยไว ไม่ใช่เพื่อใคร เพื่อ "ประชาชนตาดำ ๆ ที่กำลังประสบเคราะห์กรรมของท่าน" ได้รอดพ้นวิกฤตการณ์ครั้งนี้ไปด้วยกัน ....