วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

การติดสินบนซ่อนรูป



โดย บรรจง นะแส


       เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา คดีปล้นบ้านนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม ได้ผู้ต้องหาเพิ่มเติมอีก 4 ราย พร้อมกับสามารถยึดเงินสดของกลางได้เพิ่มเติมอีก จำนวน 13,701,000 บาท หลังเกิดเหตุตำรวจสามารถยึดเงินสดของกลางคืนมาได้แล้วทั้งหมด 16,523,000 บาท จากข้อมูลที่จำเลยระบุว่าภายในบ้านหลังนี้มีเงินซุกซ่อนอยู่ถึง 165 ล้านบาท สร้างความตระหนกตกใจให้กับผู้คนในสังคมเป็นอย่างมาก และน่าจะเป็นคดีแรกๆ ของเมืองไทยที่ผู้คนรู้สึกสะใจและเห็นด้วยกับการปล้นในครั้งนี้
      
        ในสังคมโลกออนไลน์ชื่นชมในวีรกรรมของผู้ร้ายมากกว่ารู้สึกเห็นใจท่านปลัดฯ ที่ถูกปล้นและต้องสูญเสียเงินไปเป็นจำนวนมาก บางคนก็บอกว่านี่คือมหกรรม “โจรปล้นโจร” ทำไมความรู้สึก ความคิดของผู้คนในสังคมจึงเป็นเช่นนั้น คำตอบเดียวที่เป็นความรู้สึกร่วมของสังคมไทยมาตลอดนั่นก็คือ สังคมไทยเต็มไปด้วยการทุจริตคอร์รัปชัน การทุจริตคอร์รัปชันที่กำลังกลายเป็นเรื่องปกติของสังคมไทย....
      
        นี่อาจจะเป็นการโกงกินทุจริตคอร์รัปชันในรูปแบบปกติของการได้มาของเงินจำนวน มาก ที่ไม่สามารถแจงที่มาที่ไปของเงิน ดังนั้นเงินที่ได้มาจากค่าจ่ายใต้โต๊ะ ค่าหัวคิวจากผู้รับเหมา หรือเงินค่าซื้อตำแหน่งหน้าที่จากบรรดาข้าราชการที่ต้องการ การเจริญเติบโตในตำแหน่งหน้าที่ หรือจากนักธุรกิจที่ต้องการผลประโยชน์จากงบประมาณของรัฐด้วยวิธีการที่ไม่ ชอบธรรม ไม่ตรงไปตรงมา ซึ่งก็ต้องแบ่งผลประโยชน์ที่ตัวเองได้รับไปให้แก่ผู้ที่มีอำนาจในการอนุมัติ ในการรับเหมา จัดซื้อจัดจ้าง การตรวจงานรับมอบงานหรือผู้เซ็นเช็คเบิกงบประมาณ พฤติกรรมดังกล่าวมีตั้งแต่ในระดับกระทรวงทบวงกรม องค์กรปกครองท้องถิ่นตั้งแต่ระดับใหญ่อย่างกรุงเทพมหานคร ลงไปถึงองค์การบริหารส่วนจังหวัดและเล็กสุดอย่าง อบต.ต่างก็อยู่ในวังวนวงจรอุบาทว์นี้อย่างเสมอหน้ากัน
      
        ภาพที่สังคมไทยคุ้นชินก็คือการแห่แหนกันของข้าราชการ ไปต้อนรับขับสู้ผู้บังคับบัญชากันเต็มสนามบิน ทิ้งหน้าที่การงานไว้เบื้องหลัง ไม่ว่าในวงการตำรวจ ฝ่ายปกครอง ฯลฯ ที่น่าอนาถก็คือลุกลามไปถึงข้าราชการครู ที่ตัวเองมีหน้าที่จะต้องอยู่กับลูกศิษย์ลูกหาในโรงเรียน การจัดเลี้ยงมอบของขวัญรางวัลในโอกาสต่างๆ ของทั้งเหล่าข้าราชการชั้นผู้น้อยและบรรดานักธุรกิจที่ล้วนมีเป้าหมายในผล ประโยชน์ที่ตนจะได้รับแทบทั้งสิ้น
      
        ภาพของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยืนรับมอบเงินช่วยเหลือจากผู้บริหารบริษัทข้ามชาติยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานอ ย่างเชฟรอนเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ก็พูดได้ว่าเป็นการติดสินบนรูปแบบหนึ่งที่เนียนและซ่อนรูปได้อย่างสวยงาม ที่พูดดังนี้ก็เพราะว่าบริษัทเชฟรอนได้เข้ามาเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ในด้าน พลังงานในพื้นที่อาณาจักรของประเทศไทย ที่จะต้องได้รับการเอื้อผลประโยชน์ให้กับทางบริษัท ซึ่งต้องใช้อำนาจรัฐเป็นใบเบิกทางในการอนุมัติในการให้สัมปทาน ภาพที่นายกฯ ยืนฟังนางฮิลลารี คลินตัน รมต.ต่างประเทศของสหรัฐฯ กล่าวชื่นชมบริษัทเชฟรอนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม สะท้อนให้เห็นว่าแหล่งพลังงานของชาติทั้งก๊าซและน้ำมัน ไม่มีทางที่จะหลุดไปจากเงื้อมมือของทุนต่างชาติมหาอำนาจนี้ไปได้ เพราะขนาดรัฐมนตรีต่างประเทศของเขายังมาทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ให้กับบริษัท ด้วยตัวเอง
      
        เรามาทำความรู้จักกับเชฟรอนกันอีกครั้งก็ได้ บริษัทเชฟรอนได้ทำการผนวกรวมกิจการกับยูโนแคลไทยแลนด์เมื่อเดือนสิงหาคม 2548 เป็นผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติชั้นนำของประเทศไทย ขณะนี้มีแท่นที่ดำเนินการผลิตปิโตรเลียมมากกว่า 180 แท่นในอ่าวไทย ซึ่งผลิตน้ำมันดิบได้ประมาณ 90,000 บาร์เรลต่อวัน ก๊าซธรรมชาติเหลว (คอนเดนเสท) 46,000 บาร์เรลต่อวัน และก๊าซธรรมชาติอีกกว่า 1,600 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ปัจจุบันเชฟรอนมีแปลงสัมปทานครอบคลุมพื้นที่ทั้งสิ้นมากกว่า 20,000 ตารางกิโลเมตรในอ่าวไทย นอกจากนี้ เชฟรอนยังถือหุ้นร้อยละ 16 ในแหล่งก๊าซอาทิตย์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ผลิตปิโตรเลียมนวมินทร์อีก ด้วย
      
        “ถึงวันนี้บริษัทนี้ดูดพลังงานของคนไทยไปคิดเป็นมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านบาท น้ำมันและก๊าซธรรมชาติในแผ่นดินไทยทั้งบนบกและในทะเลมีมูลค่าถึง 100 ล้านล้านบาท ตลอดระยะเวลา 25 ปี เฉลี่ยแล้วคนไทยได้รับผลประโยชน์ปีละ 17,320 ล้านบาท และข้อมูลจากบริษัทเชฟรอนประเทศไทยพบว่า ในปี 2550 บริษัทเชฟรอนถือส่วนแบ่งการผลิตน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติถึง 66% และ 68% ที่มีการผลิตในประเทศไทย ช่วงระยะเวลา 45 ปีบริษัทจ่ายค่าภาคหลวง 515,235 ล้านบาท
      
        ถ้าคำนวณกลับไปโดยใช้ฐานที่บริษัทต้องจ่ายค่าภาคหลวงร้อยละ 12.6% ของรายได้ จะพบว่าบริษัทนี้มีรายได้ทั้งหมด 1.247 ล้านล้านบาท และมีกำไรจากการดำเนินการประมาณ 3.9 แสนล้านบาท หรือร้อยละ 77% ของเงินลงทุนทั้งหมด”
(ประสาท มีแต้ม ปิโตรธิปไตย) ประเทศไทยมีแหล่งก๊าซ/น้ำมันอยู่มหาศาล แต่เราต้องซื้อน้ำมันราคาแพง เพราะนักการเมืองเอาแหล่งปิโตรเลียมซึ่งเป็นสมบัติส่วนรวมไปสัมปทานให้กับ บริษัทต่างชาติจนหมดสิ้น
      
        การมอบเงินให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศไทยในกรณีอุทกภัยเพียง 30 ล้านบาทของบริษัทเชฟรอน ในทางจิตวิทยาสังคม มองว่าเป็นเงินก้อนโต ที่ควรได้รับการขอบคุณ แต่เมื่อเรามาดูข้อเท็จจริงจากผลกำไรของบริษัทที่ได้ผลประโยชน์ไปจาก ทรัพยากรของชาติไทยไปถึง 1.247 ล้านล้านบาท เงิน 30 ล้านบาทจึงเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย แต่สิ่งที่บริษัทเชฟรอนจะได้ไปก็คือการคงไว้ซึ่งสัญญาสัมปทาน ที่ไม่ต้องมีการรื้อฟื้นสัญญาผลตอบแทนที่รัฐไทยควรจะได้รับ ไม่ว่ากรณีภาษีเงินได้หรือค่าภาคหลวงที่คงไว้เพียงร้อยละ 12.6% ในขณะที่ประเทศอื่นๆ เขาคิดในอัตราก้าวหน้าจากผลของการผลิตกันหมดแล้ว หยั่งงี้ ..จะไม่ให้เรียกว่าการติดสินบนซ่อนรูปแล้วจะให้เรียกว่าอะไร?

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น