โดย พิณ พัฒนา
หมายเหตุก่อนอ่าน : งานเขียนชิ้นนี้ ได้พูดถึงวรรณกรรมเทพนิยายเรื่อง Animal Farm โดย ได้เล่าสาระของเรื่องไว้ด้วย หากผู้ใดยังไม่เคยอ่านหรือดู และตั้งใจว่าจะอ่านหรือดูล่ะก็ การอ่านงานเขียนชิ้นนี้อาจมีผลหรือไม่มีผลต่ออรรถรสในการเสพ Animal Farm อันนี้มิทราบได้ ผู้เขียนไม่ขอรับผิดชอบ |
‘โจมตีฝ่ายขวา แต่ก็ไม่ได้ยกย่องฝ่ายซ้าย’ เป็นทัศนะของจอร์จ ออร์เวลที่ปรากฏในหนังสือ Why I Write (1947)
จอร์จ ออร์เวล (1903-1950) เป็นนักประพันธ์ชาวอังกฤษที่เติบโตมาในครอบครัวชนชั้นกลางค่อนไปทางต่ำ เขาผ่านประสบการณ์ชีวิตในสังคมชนชั้นที่หลากหลาย เช่น เรียนหนังสือในโรงเรียนของชนชั้นสูง รับราชการเป็นตำรวจซึ่งไปประจำการอยู่ในพม่า ใช้ชีวิตอย่างคนจรจัด ทำงานใช้แรงงาน สอนหนังสือ เป็นนักข่าว เขาเปลี่ยนงานไปมา และนั่นก็ทำให้เขาสัมผัสการกดขี่ระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง
ในช่วงที่เป็นนักข่าวนี้เอง เขาเขียนนวนิยายเรื่อง Animal Farm (1945) เป็น นวนิยายแนวเสียดสีการเมืองเผด็จการแบบสหภาพรัสเซีย ที่กดขี่ชนชั้นกรรมาชีพ และด้วยความหวาดกลัวในเผด็จการคอมมิวนิสต์ ทำให้เรื่องแอนิมอลฟาร์มนี้ ยังกลายเป็นหนังสือบังคับอ่านของนักเรียนมัธยมในหลายๆ ประเทศ
เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ภาควิชาศิลปการละคร คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ได้หยิบบทละครเรื่อง ‘แอนนิมอลฟาร์ม... การเมืองเรื่องเศร้า’ ขึ้นมาแสดงอีก
แอนิมอลฟาร์ม เล่าเรื่องราวของ ‘แมนเนอร์ฟาร์ม’ ที่นายโจนส์เป็นเจ้าของ ในฟาร์ม มี หมู ม้า แกะ ไก่ หมา ลา
ค่ำ คืนหนึ่ง เฒ่าเมเจอร์ หมูเก่าแก่ที่สัตว์ทุกตัวนับถือ ได้ปลุกอุดมการณ์ของเหล่าสัตว์ว่า มนุษย์เป็นสัตว์ชนิดเดียวที่บริโภคโดยไม่ผลิต ทั้งยังกดขี่สัตว์ให้ทำงานแลกกับส่วนแบ่งอันน้อยนิด แล้วก็กอบโกยผลผลิตไปแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งก็ได้ผล สัตว์ทั้งหมดร่วมกันก่อการปฏิวัติ
"จง จำไว้ว่าอุดมการณ์ของเจ้าจะต้องไม่หยุดชะงัก ไม่มีการตกลงใดๆ ที่จะทำให้เจ้าหลงทาง อย่าฟัง หากมีมันคนใดกล่าวว่ามนุษย์และสัตว์มีผลประโยชน์ร่วมกัน" เฒ่าเมเจอร์ กล่าว ก่อนจะตายจากไปด้วยความชรา
สัตว์ทุกตัวซึมซับอุดมการณ์เหล่านั้น และต่างมีเป้าหมายของการปฏิวัติตรงกันคือ เพื่ออิสรภาพ
ชนชั้น ผู้ปกครอง ผู้ถูกปกครอง
เหล่าหมู ซึ่งถือกันว่าเป็นสัตว์ที่ฉลาดที่สุดในบรรดาสรรพสัตว์ที่มีอยู่ ได้จัดระบบความคิดตามคำสอนของเฒ่าเมเจอร์ออกมาเป็น ‘ลัทธิสัตว์นิยม’ หมูเหล่านี้ ได้แก่
นโปเลียน - - เป็นหมูที่ไม่ค่อยพูด ดูเป็นตัวของตัวเอง
สโนว์บอล - - หมูคล่องแคล่ว สร้างสรรค์
สเควลเลอร์ - - ปราดเปรื่องในการพูด ถนัดเบี่ยงประเด็น ทำดำให้เป็นขาว
แนวคิดแบบสัตว์นิยมก่อร่างขึ้น แต่ก็เกิดคำถามที่ท้าทายสวนทางกับจิตวิญญาณของสัตว์นิยม สัตว์บางตัวพูดถึง ความภักดีต่อ ‘เจ้านาย’ ผู้ให้อาหาร โดยเฉพาะเจ้าม้ามอลลี่ที่ถามว่า เมื่อปฏิวัติแล้วจะมีน้ำตาลก้อนกินไหม แล้วจะมีริบบิ้นผูกคอไหม
คำตอบ ที่มอลลี่ได้ก็คือ สัตว์ไม่มีเครื่องมือสำหรับทำน้ำตาลก้อน และน้ำตาลก้อนจะไม่ใช่สิ่งจำเป็นอีกต่อไป เพราะสัตว์จะได้ครอบครองข้าวโอ้ตและฟางทั้งหมด และริบบิ้นเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นทาส
มอลลี่เห็นด้วย แต่ไม่ค่อยสบายใจ…
แล้ว การปฏิวัติก็สำเร็จ นายโจนส์ถูกเหล่าสัตว์ขับไล่ออกไป แมนเนอร์ฟาร์มถูกเปลี่ยนชื่อเป็นแอนิมอลฟาร์ม โดยพวกหมูสรุปหลักการแนวคิดแบบลัทธิสัตว์นิยม ออกมาเป็นบัญญัติเจ็ดประการ คือ
อะไรก็ตามที่เดินด้วยสองขาคือศัตรู
อะไรก็ตามที่เดินด้วยสี่ขาหรือมีปีกคือมิตร
สัตว์จะต้องไม่สวมเสื้อผ้า
สัตว์จะต้องไม่นอนบนเตียง
สัตว์จะต้องไม่ดื่มเหล้า
สัตว์จะต้องไม่ฆ่าสัตว์ด้วยกันเอง
สัตว์ทุกตัวมีความเท่าเทียมกัน
สัตว์ ทุกตัวต้องเรียนวิธีอ่านและเขียน แต่ไม่ใช่ทั้งหมดที่สามารถอ่านและเขียนได้คล่องแคล่ว บัญญัติเจ็ดประการจึงถูกย่อลงสั้นๆ เหลือคติพจน์ที่ว่า ‘สี่ขาดี สองขาเลว’
ภายใน ฟาร์มเปลี่ยนระบบการปกครองใหม่ สโนว์บอลประกาศว่า "เก็บเกี่ยวให้เร็วกว่าที่โจนส์และลูกน้องของมันเคยทำไว้" ส่วนนโปเลียนรับหน้าที่ดูแลผลผลิตที่ได้จากการเก็บเกี่ยว และยังแอบเอาลูกหมาที่เพิ่งคลอดไปเลี้ยงเอาไว้เอง ๙ ตัว
สัตว์ทุกตัวขยันขันแข็งในการเก็บเกี่ยว โดยเฉพาะเจ้าม้าบ็อกเซอร์ ที่พูดอยู่เสมอว่า “ข้าจะทำงานให้หนักขึ้น”
พวกพ้อง
หมู ซึ่งถือกันว่าเป็นสัตว์ที่ฉลาดที่สุด ทำหน้าที่ควบคุมกำกับสัตว์อื่นๆ ไปโดยปริยาย สโนว์บอล ซึ่งพูดเก่ง มักได้ชัยชนะจากเสียงส่วนใหญ่หลังมีการอภิปราย ส่วนนโปเลียน เชี่ยวชาญในการหาเสียงระหว่างพักการประชุม โดยเฉพาะเสียงจากพวกแกะ พวกแกะเหล่านี้ ชอบร้องประสานเสียงกันว่า ‘สี่ขาดี สองขาเลว’ โดยไม่ได้ดูกาลเทศะ และมักร้องตอนสโนว์บอลอภิปรายเสมอ
การคอรัปชั่น เบี่ยงประเด็น
แล้ว ความจริงก็ถูกเปิดเผย จากข้อตกลงเดิมที่ว่า ผลผลิตทั้งหลายจะได้รับการปันส่วนแก่ทุกตัวเท่าๆ กัน แต่ก็พบว่าน้ำนมและแอปเปิ้ล ถูกลำเลียงไปเก็บที่ห้องของพวกหมู
สเควลเลอร์ จึงต้องออกมาทำหน้าที่สื่อสารกับสัตว์ทุกตัวว่า อ๊ะ อย่าคิดว่าพวกหมูกำลังทำในสิ่งที่เห็นแก่ตัวและมีอภิสิทธิ์นะ หมูน่ะ ไม่ได้ชอบนมและแอปเปิ้ลหรอก แต่เราเหล่าหมูเป็นสัตว์ที่ต้องใช้สมอง จำเป็นต้องรักษาสุขภาพของตนเอง เพราะคงไม่มีใครอยากให้นายโจนส์กลับมาหรอกใช่ไหม
เพียงแค่พูดชื่อนายโจนส์ สัตว์ทุกตัวก็หัวหดและยอมรับโดยปริยายว่า น้ำนมและแอปเปิ้ล จะสงวนไว้เพื่อพวกหมูเท่านั้น
ข่มขวัญ หลอกลวง
ความ ขัดแย้งครั้งใหญ่เกิดขึ้นเมื่อสโนว์บอลเสนอในที่ประชุมว่า แอนิมอลฟาร์ม ควรจะสร้างกังหันลมเพื่อสร้างพลังงานไฟฟ้าทดแทนแรงงานสัตว์และให้พลังงานแก่ เครื่องทำความอบอุ่นในหน้าหนาว แต่นั่นต้องใช้แรงงานสร้าง 1 ปี ซึ่งหลังจากมีกังหันลมแล้ว สัตว์ทุกตัวจะสบายขึ้น และทำงานน้อยลงเหลือเพียง 3 วันต่อสัปดาห์
เมื่อสโนว์บอลอภิปราย นโปเลียนนิ่งเงียบไม่เสนอแผนการใดๆ แต่มักพูดว่า สิ่งที่สโนว์บอลทำจะต้องล้มเหลว
เหล่าสัตว์พูดกันว่า “สนับสนุนสโนว์บอล สามวันต่อสัปดาห์” , “สนับสนุนนโปเลียน อาหารเต็มราง”
เจ้าลา เบนจามิน เป็นตัวเดียวที่ดูนิ่งเฉย ไม่อยู่ฝ่ายใด มันไม่เชื่อว่าจะมีอาหารสมบูรณ์กว่าเดิม ไม่เชื่อว่ากังหันลมจะลดเวลาทำงานได้ ไม่ว่าทางไหน ชีวิตก็ต้องดำเนินอย่างเคย คือ ทุกข์ยากลำเค็ญ
เบนจามินไม่ค่อยคุยกับใคร ดูเหมือนจะมีแต่บ็อกเซอร์ ผู้ซึ่งพูดเสมอว่าข้าจะทำงานให้หนักขึ้น เพียงตัวเดียวที่เบนจามินนับถือ
เมื่อถึงวันลงคะแนนเสียงเรื่องสร้างกังหันลม สโนว์บอลก็ลุกขึ้นอภิปรายด้วยคำพูดสวยหรู นโปเลียนอภิปรายกลับโดยใช้เวลาไม่ถึง 30 วินาทีด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบาว่า กังหันลมเป็นเรื่องเหลวไหล
แล้วนโปเลียนก็ยืนขึ้น เรียกหมาทั้ง 9 ตัวที่แอบเลี้ยงเอาไว้ ออกมาไล่งับสโนว์บอล จนสโนว์บอลต้องหนีออกไปจากแอนิมอลฟาร์ม ไม่ได้กลับมาอีกเลย
เสแสร้ง สร้างภาพ กดขี่ หลอกลวง
เมื่อ สโนว์บอลจากไป นโปเลียนประกาศยกเลิกการประชุมทุกวันอาทิตย์ ยกให้ปัญหาทุกอย่างเกี่ยวกับการปฏิบัติงานในฟาร์มเป็นหน้าที่คณะกรรมการหมู คณะพิเศษ ที่มีนโปเลียนเป็นประธาน
สเควลเลอร์ ก็ออกมาทำหน้าที่อีกครั้ง โดยการบอกว่า คงไม่มีใครคิดหรอกนะว่า การเป็นผู้นำเป็นเรื่องสนุกสนาน ในทางตรงกันข้าม มันเป็นความรับผิดชอบที่ลึกซึ้งและหนักอึ้ง
"ไม่ มีสหายตัวไหนที่จะมีความเชื่ออย่างหนักแน่นกว่าสหายนโปเลียนอีกแล้วที่ว่า สัตว์ทุกตัวมีความเสมอภาคกัน สหายนโปเลียนจะมีความสุขมากหากพวกเจ้าจะสามารถตัดสินใจเรื่องราวต่างๆ ด้วยตัวพวกเจ้าเอง แต่เพราะบางครั้งพวกเจ้าอาจจะตัดสินใจผิดพลาด"
"ความ กล้าหาญยังเป็นสิ่งที่ไม่เพียงพอ ความภักดีและความเชื่อฟังเป็นเรื่องที่สำคัญมากกว่า การก้าวเดินที่ผิดพลาดเพียงครั้งเดียวอาจทำให้ศัตรูมีชัยเหนือเรา แน่นอน คงไม่มีใครอยากให้นายโจนส์กลับมา"
ข่มขู่ หลอกใช้ เอารัดเอาเปรียบ
และแล้ว โครงการสร้างกังหันลมก็ดำเนินต่อไป กำหนดแล้วเสร็จภายใน 2 ปี และสัตว์ทุกตัวจะได้รับส่วนแบ่งอาหารที่ลดลง
คำพูดของสเควลเลอร์อาจจะไม่ได้ทำให้สัตว์ทุกตัวเข้าใจได้ แต่เสียงขู่ของสุนัขก็ทำให้สัตว์ทุกตัวยอมรับไปโดยปริยาย
แล้วพวกหมู ก็ย้ายจากเล้าไปอยู่ในบ้าน
โคลเวอร์ ม้าอีกตัวซึ่งรู้สึกได้ว่าตัวเองไม่สบายใจต่อการเปลี่ยนแปลงก็อึดอัด มันอ่านหนังสือไม่แตก แต่ก็พอจำได้ว่า การนอนบนเตียงผิดเพี้ยนไปจากบัญญัติ 7 ประการกล่าวไว้ ได้แต่รำพึงกับเบนจามิน ซึ่งดูไม่เห็นด้วยและไม่แยแสกับอะไรเลย เหล่าสัตว์มาค้นพบภายหลังว่า บัญญัติถูกแก้เป็น
“สัตว์จะไม่นอนบนเตียง พร้อมสิ่งปกคลุม”
แอ นิมอลฟาร์ม เริ่มค้าขายแลกเปลี่ยนกับมนุษย์ ไข่ถูกนำไปขาย มันผิดความรู้สึกของแม่ไก่ ที่ถือว่าการพรากไข่ไปถือเป็นการฆาตกรรม ไก่จึงต่อต้านด้วยการปีนไปที่จันทันแล้วออกทิ้งไข่ลงบนพื้น ผลที่แม่ไก่ได้รับคือ ถูกลงโทษไม่ให้รับส่วนแบ่งอาหาร ทำให้แม่ไก่ 5 ตัวต้องตายไป
ปั่นกระแส ปั้นเรื่อง แปลงสาร สาดโคลน ใส่ความ อุ้มฆ่า และตัดตอน
ตลอด เวลาในแอนิมอลฟาร์ม แม้สโนว์บอลจะจากไปแล้ว แต่มีข่าวลือเสมอๆ ว่า สิ่งที่ผิดปกติล้วนเป็นฝีมือของสโนว์บอล สโนว์บอลกลายเป็นอิทธิพลมืดที่ครอบงำให้ทั้งฟาร์มอยู่ภายใต้ความหวาดกลัว มีการปล่อยข่าวว่าสโนว์บอลกำลังวางแผนล้มล้างแอนิมอลฟาร์ม
สัตว์หลายตัวในแอนิมอลฟาร์ม ถูกฆ่าตายอย่างโหดร้าย เพียงเพราะรับสารภาพว่า ฝันถึงสโนว์บอล
เวลานี้ บัญญัติ 7 ประการ ได้ถูกทำให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น
สัตว์จะต้องไม่ฆ่าสัตว์ด้วยกันเอง โดยไร้เหตุผล
สัตว์จะต้องไม่ดื่มเหล้า มากเกินไป
โปรยยาหอม – ลวงให้หลง
เวลาผ่านไป ยุคของนายโจนส์หายไปจากความทรงจำแล้ว เหล่าสัตว์รู้แต่ว่าชีวิตปัจจุบันนั้น ลำเค็ญ พวกมันหิวและหนาว
สิ่ง ที่ทำให้มันยังอยู่ได้ก็คือ ศักดิ์ศรีในความรู้สึกของพวกมัน แต่ก่อนพวกมันเป็นทาส แต่เดี๋ยวนี้เป็นอิสระ เป็นชีวิตที่มีศักดิ์ศรีมากกว่าที่เคยมีมาก่อน
บอก เซอร์ ผู้มีคติประจำใจว่า ข้าจะทำงานให้หนักขึ้น ก็ทำงานจนล้มป่วยลงไป นโปเลียนแสดงความเป็นห่วงจึงบอกว่าจะพาไปโรงพยาบาล แต่แท้จริงแล้ว ส่งไปโรงฆ่าสัตว์ ได้เงินมาซื้อเหล้าให้กลุ่มท่านผู้นำในฟาร์ม
สเควลเลอร์ จะคอยบอกสถิติตัวเลขของผลผลิตให้เหล่าสัตว์รับรู้เสมอว่า มีปริมาณอาหารที่เพิ่มขึ้นจากยุคก่อนอย่างไร ซึ่งพวกสัตว์ก็ได้แต่รับรู้ แต่ไม่เคยรู้ว่า ผลผลิตนั้นหายไปไหน และเมื่อเทียบกับยุคของนายโจนส์ มีผลผลิตเท่าไร
ท้ายที่สุด เหล่าหมูก็ลุกขึ้นยืนด้วยขาหลังสองขา พวกแกะที่เคยพร่ำร้องว่า สี่ขาดี สองขาเลว ก็เปลี่ยนมาร้องว่า ‘สี่ขาดี สองขาดีกว่า’
บัญญัติได้ถูกทำให้ชัดเจนเพิ่มขึ้น ว่า
‘สัตว์ทุกตัวมีความเท่าเทียมกัน แต่สัตว์บางตัวมีความเท่าเทียมมากกว่าสัตว์อื่นๆ’
ฉาก สุดท้ายของแอนิมอลฟาร์ม เป็นฉากที่มนุษย์เข้ามาในแอนิมอลฟาร์มตามคำเชิญของท่านผู้นำนโปเลียน เพื่อยืนยันว่า สัตว์และมนุษย์มีความเท่าเทียมกัน และแสดงให้มนุษย์ดูเป็นตัวอย่างว่า ที่แอนิมอลฟาร์มนี้ สัตว์ชั้นต่ำทำงานได้มากกว่า ขณะที่รับอาหารน้อยสุด จนเป็นที่เลื่องลือไปว่า แอนนิมอลฟาร์มมีการปันส่วนที่ต่ำ และเวลาทำงานยาวขึ้น
เดาแทนใจหลายคนว่า ขณะที่ได้อ่านหรือดูเรื่องแอนิมอลฟาร์ม คงอดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบตัวละครต่างๆ ว่าเป็นดั่งใครในเวทีการเมือง
แต่ เราก็พบว่า บุคลิกของตัวละครต่างๆ พบเห็นได้กับทุกยุคสมัย แต่ไม่ชัดเจน ตายตัว มีความลื่นไหล แถมยังมีพัฒนาการที่ซับซ้อนแยบยลขึ้นอีกด้วย เพียงแต่อารมณ์ในตอนนี้ อาจพาใจให้คิดไปว่ามันช่างคล้าย...
เดาว่า จอร์จ ออ ร์เวลคงมิได้คิดจะให้หนังสือเล่มนี้เป็นเครื่องมือในการต่อต้านระบบใดๆ ตัวเขายึดมั่นในแนวคิดแบบสังคมนิยมประชาธิปไตยที่ไม่มีระบบชนชั้น ไม่เชื่อในบทบาทของรัฐ และไม่เชื่อในระบบทุนนิยม สิ่งที่แอนิมอลฟาร์มจะบอก จึงไม่ใช่การหนีจากระบอบการปกครองแบบใด แต่หลีกหนีจากการกดขี่ของมนุษย์ที่กระทำต่อมนุษย์ด้วยกัน และชี้ให้เห็นถึงโครงสร้างอำนาจที่ต่อสู้กันระหว่างผู้ปกครองกับผู้ถูก ปกครอง
ออร์เวลไม่ได้เสนอทางออกใดๆ ให้แก่เหล่าสัตว์ แต่ดูเหมือนเขาจะบอกว่า การปฏิวัติไม่ได้นำไปสู่การปลดปล่อยที่ ‘ยั่งยืน’
และเขาทำให้เรารู้ด้วยว่า พล็อตบางพล็อต มันก็เกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก
คำถามท้าทายที่คณะผู้จัดละคร ภาควิชาศิลปะการละคร คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ ถามคนดู คือ คุณคิดว่า คุณคือใครในแอนิมอลฟาร์ม
นโปเลียน - - เป็นหมูที่ไม่ค่อยพูด ดูเป็นตัวของตัวเอง
สโนว์บอล - - หมูคล่องแคล่ว สร้างสรรค์
สเควลเลอร์ - - ปราดเปรื่องในการพูด ถนัดเบี่ยงประเด็น ทำดำให้เป็นขาว
เจ้าม้ามอลลี่ - - "ปฏิวัติแล้วจะยังมีน้ำตาลก้อนกินไหม"
เจ้าม้าบ็อกเซอร์ - - “ข้าจะทำงานให้หนักขึ้น”
พวกแกะ - - ชอบร้องประสานเสียงกันว่า "สี่ขาดี สองขาเลว" โดยไม่ได้ดูกาลเทศะ
เจ้าลา เบนจามิน - - นิ่งเฉย ไม่อยู่ฝ่ายใด ไม่เชื่อว่าจะมีอาหารสมบูรณ์ ไม่เชื่อว่าจะเหนื่อยน้อยลง ชีวิตก็ต้องดำเนินอย่างเคย คือ ทุกข์ยากลำเค็ญ
เจ้าม้าโคลเวอร์ - - ผู้ซึ่งรู้สึกไม่สบายใจเมื่อมีความเปลี่ยนแปลงอันไม่ชอบมาพากล
สุดยอดจริงน้องช้าง
ตอบลบอ.ปู