แม้ว่าจะเกิดปรากฏการณ์และข่าวลือสะพัดว่าจะเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองทำให้ไม่มีการเลือกตั้งทั่วไป แต่นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ประกาศย้ำส่งสัญญาณชัดเจนว่าการเลือกตั้งทั่วไปจะต้องมีขึ้นอย่างแน่นอน โดยยืนยันที่จะประกาศยุบสภาในช่วงสัปดาห์แรกของเดืองพ.ค.นี้ ซึ่งน่าจะเป็นวันที่ 6 พ.ค. ซึ่งจากสัญญาณการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขี้นอย่างชัดเจนทำให้พรรคการเมืองต่างๆเริ่มมีการเคลื่อนไหวกันอย่างคึกคักซึ่งที่สำคัญก็คือความเคลื่อนไหวของพรรคเพื่อแม้วที่มุ่งมั่นจะเอาชนะการเลือกตั้งหวังช่วงชิงอำนาจรัฐฟื้นระบอบทักษิณกลับมายึดครองประเทศอีกครั้งให้ได้
การเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส.ทั้งระบบเขตและแบบบัญชีรายชื่อ(ปาร์ตี้ลิสต์)รวมทั้งการแถลงนโยบายหาเสียงของพรรคเพื่อแม้วที่หอประชุมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิตเมื่อวันเสาร์ที่แล้วสะท้อนให้เห็นชัดเจนถึงความเป็นพรรคหุ่นเชิดโดยนักโทษชายแม้ว ของนักโทษชายแม้ว และเพื่อนักโทษชายแม้ว อย่างแท้จริง ขณะเดียวกันก็สะท้อนให้เห็นว่าพรรคเพื่อแม้วกำลังถูกยึดครองโดยเหล่าแกนนำคนเสื้อแดงที่ได้รับการสนับสนุนจาก นักโทษชายแม้ว ผู้เป็นนายใหญ่มากขึ้นตามลำดับ
ในการแถลงนโยบายของพรรคเพื่อแม้วครังนี้ นักโทษชายแม้ว เป็นผู้คิดนโยบายและแถลงนโยบายดุจเป็นผู้นำพรรคว รวมทั้งบัญชาการรบกำหนดทิศทางแนวทางการทำสงครามชิงอำนาจรัฐครั้งนี้ด้วยตัวเอง ซึ่งนอกจาก นักโทษชายแม้ว จะขายฝันบรรดาโครงการประชานิยมและอภิมหาโปรเจท์ทั้งหลายเพื่อเกทับบลั๊ฟแหลกพรรคประชาธิปัตย์อันเป็นคู่แข่งสำคัญแล้ว ยังประกาศนโยบายทางการเมือง 7 ข้อเพื่อนำชาติไปสู่ความปรองดอง ซึ่งในจำนวนนี้ นักโทษชายแม้ว พยายามลบล้างจุดอ่อนสำคัญของตัวเองและสร้างภาพว่ามีความจงรักภักดีต่อสถาบันเบื้องสูง และที่สำคัญคือนโยบายข้อสุดท้ายซึ่งอำพรางเป้าหมายที่แท้จริงของตัวเองนั่นคือข้อเสนอให้ออกกฏหมายนิรโทษกรรมฟอกโทษความผิดแก่ทุกฝ่ายที่ได้รับผลกระทบหลังจากที่เกิดการรัฐประหารโค่นล้มระบอบทักษิณเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549
ภาพพจน์เรื่องความไม่จงรักภักดีจาบจ้วงเบื้องสูง รวมทั้งการอยู่เบื้องหลังขบวนการเพื่อแม้วที่เผาบ้านทำลายเมืองเพื่อตัวเองของ นักโทษชาแม้ว ถือเป็นชะนักปักหลัง 2 เรื่องสำคัญที่จนวันนี้ นักโทษชายแม้ว ก็ยังแก้ไม่ตกและอาจจะเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อผลการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้น
แม้ นักโทษชายแม้ว จะพยายามสร้างภาพเอาตัวรอดด้วยการประกาศว่า หากได้กลับ ประเทศไทยแล้วตัวเองแสดงให้เห็นถึงความไม่จงรักภักดีก็พร้อมที่จะให้ประชาชนรุมประชาทัณฑ์ แต่กลับถูกตั้งข้อสังเกตุว่า นั่นเป็นเพียงเล่ห์เหลี่ยมสร้างภาพเอาตัวรอดในยามที่พรรคเพื่อแม้วกำลังเพลี่ยงพล้ำหลังจากที่ 2 ส.ส.ของพรรคเพื่อแม้วซึ่งเป็นแกนนำคนสำคัญของขบวนการเสื้อแดงคือ นายจตุพร พรหมพันธุ์ และ นายวิเชียร ขาวขำ ปราศรัยบนเวทีคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมาส่อเจตนาจาบจ้วงเบื้องสูงจนกองทัพรับไม่ได้ประกาศกร้าวแจ้งความดำเนินคดี ขณะที่หน่วยคุมกำลังสำคัญทั้งหมดของกองทัพต่างตบแถวออกมาดับเครื่องชนขบวนการจาบจ้วงเบื้องสูงซึ่งทำให้แผลเก่าภาพพจน์ความไม่จงรักภักดีของขบวนการเพื่อแม้วถูกจุดกระแสลุกโชนขึ้นอีกครั้งซึ่งเป็นผลเสียอย่างมากต่อสงครามช่วงชิงอำนาจรัฐผ่านการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้น
ทั้งนี้ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าพฤติกรรมของ นักโทษชายแม้ว รวมทั้งเหล่าแกนนำขบวนการคนเสื้อแดงตลอดช่วงที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นถึงการจวบจ้วงเบื้องสูงมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบางคนถูกดำเนินคดีฐานหมิ่นเบื้องสูง และหลายคนหลบหนีหมายจับไปอยู่ต่างประเทศ อาทิ นายจักรภพ เพ็ญแข นายใจ อึ้งภากรณ์ น.ส.ดารณี ชาญเชิงศิลปชัย หรือ "ดาร์ ตอร์ปิโด" นายสุชาติ นาคบางไทร และอีกหลายต่อหลายคนล้วนส่อเจตนาจาบจ้วงเบื้องสูงจนบางคนถูกจับดำเนินคดีและบางคนหนีหมายจับออกนอกประเทศ
นอกจากนี้การจาบจ้วงเบื้องสูงของขบวนการเพื่อแม้วยังเคลื่อนไหวอย่างเป็นระบบและเหิมเกริมมากขึ้นทุกขณะ ทั้งด้วยเว็บไซต์ทั้งในและนอกประเทศ สื่อในเครือคนเสื้อแดงทั้งหนังสือหรือวิทยุชุมชน ใบปลิวเถื่อน รวมทั้งการจัดตั้งปลุกระดมมวลชนให้โค่นล้มระบอบอำมาตย์และเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศไปสู่ความเป็น"รัฐไทยใหม่" และแม้ในปัจจุบันสื่อในเครือคนเสื้อแดงก็ยังจาบจ้วงเบื้องสูงอย่างเหิมเกริมจนล่าสุดกำลังตำรวจและทหารบุกเข้าจับกุมและปิดสถานีวิทยุชุมชุมหลายสิบสถานีเนื่องจากพบว่ามีการจวบจ้วงสถาบันเบื้องสูงอย่างชัดเจน
ที่สำคัญตลอดช่วงที่ผ่านมา นักโทษชายแม้ว เองก็ส่อเจตนาจาบจ้วงเบื้องสูงมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ ในช่วงที่นักโทษชายแม้ว เป็นผู้บริหารประเทศได้พูดในรายการ"นายกฯพบประชาชน" เมื่อวันที่ 4 ก.พ.49 ตอนหนึ่งความว่า " คนที่จะให้ผมออกจากตำแหน่งนายกฯได้ไม่ต้องหลายคนเลย คนเดียวให้ออกได้เลย นั่นคือพระเจ้าอยู่หัว ถ้าพระเจ้าอยู่หัวกระซิบผม......รับรองกราบพระบาทออกแน่นอน " หรือการวีดีโอลิงก์มายังเวทีคนเสื้อแดงด้วยคำกล่าวตอนหนึ่งว่า "อำมาตย์อายุ 80 กว่าแล้ว อีกไม่กี่ปีก็ตายแล้ว " หรืออีกครั้งหนึ่งที่กล่าวว่า "อำมาตย์ร่ำรวยแล้ว มีมรดกให้ลูกหลานอย่างเพียงพอแล้ว ปล่อยประชาชนไปเถอะ"
นอกจากนิ้ นักโทษชายแม้ว เคยให้สัมภาษณ์นิตยสารไทม์ฉบับวันที่ 1 ก.พ.50 โดยตอบคำถามเกี่ยวกับการถูกรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย.49 ว่า " มันก็เหมือนกับการทำรัฐประหารในอดีตของไทยที่ผ่านมา 17 ครั้ง ตอนแรกประชาชนอาจรู้สึกตกใจ จากนั้นพวกเขาจะเริ่มแสดงความวิตกกังวล แล้วจึงเริ่มยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่การรัฐประหารได้รับการรับรองจากองค์พระมหากษัตริย์ พวกเขาอยู่ในกรอบระเบียบมากๆ พวกเขาเชื่อฟัง "
หรือการให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์อาราเบียน บิซิเนสของสหรัฐอาหรับอิมิเรสต์เมื่อวันที่ 24 พ.ย.51 ตอนหนึ่งความว่า " ผมคิดว่าหลายๆอย่างขึ้นอยู่กับอำนาจของประชาชน หากพวกเขารู้สึกว่าอยู่อย่างยากลำบาก และต้องการให้ผมช่วย ผมก็จะกลับไป หากพระมหากษัตริย์ทรงเห็นว่าผมยังสามารถทำคุณประโยชน์ได้ ผมจะกลับไป และพระองค์อาจพระราชทานอภัยโทษให้แก่ผม แต่ถ้าพวกเขาไม่ต้องการผม และพระองค์ทรงเห็นว่าผมกลับไปก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ผมก็จะอยู่ที่นี่ทำธุรกิจไป "
อีกตัวอย่างหนึ่ง นักโทษชายแม้ว ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทม์ฉบับวันที่ 20 เม.ย.52 มีใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า " ก่อนเกิดการรัฐประหารเมื่อเดือนก.ย.49 นั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ และองคมนตรีบางคนเข้าเฝ้าทูละอองธุลีพระบาทและผู้ที่เข้าเฝ้ากราบบังคมทูลว่าจะกำจัดผมถวายเพราะผมไม่จงรักภักดี .....เมื่อผมพยายามจะปราบปรามการประท้วงที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาลก็ไม่มีผู้ใดร่วมมือเพราะมีบางคนส่งเสริมอยู่เบื้องหลัง "
แม้แต่คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตแกนนำพรรคไทยรักไทยที่เป็นสมาชิกบ้านเลขที่ 111 ซึ่งถูกเว้นวรรคทางการเมือง 5 ปี และเป็นหนึ่งในคนสนิทของนักโทษชายแม้ว ก็ยังให้ความเห็นผ่านสื่อแสดงความวิตกว่าเรื่องจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงถือเป็นจุดอ่อนสำคัญที่สุดสำหรับขบวนการเพื่อแม้วซี่งจะต้องมีการแก้ไขเป็นการด่วน เพราะเป็นอุปสรรคสำหรับความสำเร็จของพรรคเพื่อแม้วในวันข้างหน้า
นอกจากภาพพจน์ความไม่จงรักภักดีแล้ว ชะนักปักหลังที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งของ นักโทษชายแม้ว ก็คือการอยู่เบื้องหลังการเผาบ้านทำลายเมืองสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมาล้วนทำเพื่อตัวเองทิ้งสิ้น โดยมีเป้าหมายเบื้องต้นอยู่ที่ความพยายามออกกฏหมายฟอกโทษความผิดทั้งหมดให้ตัวเองและเหล่าแดงก่อการร้ายที่เผาบ้านทำลายเมือง รวมทั้งทวงทรัพย์สิน 46,000 ล้านบาทของตัวเองที่ถูกยึดตกเป็นของแผ่นดินคืน
แม้ในคำประกาศนโยบายสร้าความปรองดองข้อสุดท้ายที่ต้องการให้มีการออกกฏหมายนิรโทษกรรมแก่ทุกฝ่ายที่ได้รับผลกระทบหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549 แต่สาธารณชนย่อมมองออกว่านั่นเป็นเพียงภาพลวงตาเพราะเป้าหมายที่แท้จริงของนักโทษชายแม้ว ก็คือการฟอกโทษความผิดทั้งหมดให้ตัวเอง
เพราะฉะนั้นชะนักปักหลังนักโทษชายแม้วทั้งข้อสงสัยในเรื่องไม่จงรักภักดีรวมทั้งการอยู่เบื้องหลังการเผาบ้านทำลายเมืองมุ่งช่วงชิงอำนาจรัฐเพื่อตัวเองจึงถือเป็นวิบากกรรมและเป็นปัจจัยเสื่อมที่นักโทษชายแม้วและชบวนการเพื่อแม้วยังแก้ไม่ตก ขณะเดียวกันจะส่งผลกลับมาทำลายขบวนการเพื่อแม้วทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อกองทัพแสดงจุดยืนชัดเจนว่ารับไม่ได้อีกต่อไปกับการจวบจ้วงสถาบันเบื้องสูง และพร้อมที่จะปฏิบัติการทุกรูปแบบเพื่อจัดการกับขบวนการที่ไม่จงรักภักดีซึ่งหมาถจึงขบวนการเพื่อแม้วนั่นเอง ขณะที่จากบทบาทของพรรคเพื่อแม้วที่เคลื่อนไหวเป็นเนื้อเดียวกับม็อบคนเสื้อแดงจนเกิดกรณีจาบจ้วงเบื้องสูงได้กลายเป็นชนวนสร้างรอยร้าวแตกแยกและกำลังนำไปสู่การแยกทางของแกนนำและส.ส.กลุ่มต่างๆในพรรคเพื่อแม้ว อาทิ กลุ่มพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ กลุ่มนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ รวมทั้งการยกเลิกแผนเข้าร่วมกับพรรคเพื่อแม้วของนายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช ขณะที่แนวคิดของนักโทษชายแม้วที่พยายามผลักดันกฏหมายฟอกโทษความผิดของตัวเองกลายเป็นระเบิดเวลาทางการเมืองที่คาดว่าจะนำไปสู่กระแสต่อต้านอย่างรุนแรงและเชื่อว่าจะส่งผลต่อพรรคเพื่อแม้วในการเลือกตั้งทั่วไปที่กำลังจะมีขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น